สุเมธเลิกคิ้ว “อื้อหือ”
“อื้อหืออะไรคะ”
หล่อนมองตาขวางจนเขายิ้มมุมปาก “ก็ผมแปลกใจอีกแล้ว ไม่นึกว่ารสนิยมคุณชอบแบดบอย”
หญิงสาวถอนใจ “สมัยก่อนเขาไม่สักขนาดนี้หรอกนะคะ น่าจะเริ่มสักครั้งแรกตอนเพิ่งคบกันด้วยซ้ำ เขายังชวนฉันดูรอยสักนั่นอยู่เลย”
“แล้วสักรูปอะไรล่ะครับ”
“ไม่รู้หรอกค่ะ ไม่เคยเห็น”
“หือ? ไม่ยอมดูรอยสักใช่ไหม ทำไมล่ะ หรือคุณไม่ชอบการสัก”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การสัก แต่อยู่ตรงตำแหน่งที่สักต่างหาก” หล่อนนิ่งนิดหนึ่ง “ตอนฉันขึ้นไปบนห้องเขาถึงเพิ่งรู้ว่าแทนสักตรงใต้สะดือมา พอเขาทำท่าจะถอดกางเกงฉันก็รีบขอตัว แล้ววันรุ่งขึ้นเราเลยเลิกกัน”
สุเมธปล่อยก๊ากอย่างสุดกลั้น ส่วนหล่อนเองตอนแรกยังทำบึ้งแต่สุดท้ายก็ส่ายหัวขำๆ “นี่แหละ ฉันถึงเซ็งพวกผู้ชาย”
หนึ่งใน “พวกผู้ชาย” เลิกคิ้วน้อยๆ ประกายคมกริบพาดผ่านดวงตายามเอ่ยค้าน “เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นหมดซะหน่อย ไม่เชื่อถามแฟนคุณดูสิ”
“ถ้าฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยฉันมาเที่ยวกับผู้ชายแบบนี้”
“ไม่ครับ” ตอบเสียงจริงจัง “เป็นผม...ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
หญิงสาวสะดุดกึก คล้ายประโยคเมื่อกี้มันทะ

ๆ พิกล สุเมธหมายถึงถ้าเขามีแฟนไม่ใช่ถ้าเขาเป็นแฟนหล่อนใช่ไหม รีบตวัดมองแต่ชายหนุ่มกลับผิวปากเดินขึ้นหน้าไปเสียแล้ว และไม่รู้ทำไม จนกระทั่งถึงตอนมาบอกลาพวกหล่อนก่อนเข้านอน สุเมธก็ยังคงอารมณ์ดีไม่สร่างซา
*****
วันรุ่งขึ้น ผลจากการหกคะเมนเมื่อวาน ธีร์วราจำต้องเบี้ยวนัดหลานสาวอีกครั้ง
“ทำไมละคะ” ปานเรขาโวย “วันนี้เราจะขึ้นสปีดโบ๊ทไปเกาะที่เป็นแหล่งพายเรือคายัค เขาว่าวิวสวยสุดๆ เลยนะคะ”
ธีร์วราแง้มประตูไว้ครึ่งๆ ใช้บานไม้บังมือที่กำลังคลึงสะโพกเขียวช้ำไปมา “อายังเพลียอยู่ ขอพักอีกสักวัน”
แม้ผลหลังตรวจร่างกายจะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หล่อนยังคงห้ามสุเมธบอกใครเรื่องเมื่อวาน ก็มันน่าอาย
“ป่าน” พฤกษ์ตะโกนเรียกจากชั้นล่าง “อาเมธไม่ไปเล่นเรือคายัคกับเรานะ”
“อ้าว” สองสาวอุทานพร้อมกัน ต่างเดินไปเกาะราวระเบียงชั้นลอย มองลงยังห้องอาหารส่วนที่ต่อจากครัว สุเมธนั่งหน้าคอมพิวเตอร์แบบพกพาบนโต๊ะอาหาร โบกมือให้
“งานด่วนสองวันติด พวกคุณไปสนุกกันเถอะ”
“แค่หนูกับพี่พฤกษ์ต่างหากคะ อาแก้วก็บายเหมือนกัน บ่นว่ายังเมื่อยตัว”
สุเมธทำท่าประหลาดใจไม่สมจริงสักนิดในสายตาธีร์วรา แต่กลับหลอกพวกหลานได้สนิทใจ หลังมื้อเช้าปานเรขาและพฤกษ์แยกตัวไปเที่ยว ส่วนอาสาวปักหลักยังเตียงริมสระว่ายน้ำกับหนังสือเล่มโปรด ไม่นานเตียงข้างหล่อนก็มีสุเมธมาใช้งานพร้อมคอมพิวเตอร์แบบพกพาบนตัก หญิงสาวเหล่มอง
“ไม่ต้องแกล้งทำขยันหลอกหลานแล้วคุณ ทำไมขี้เกียจไปเที่ยวล่ะคะ”
“ผมแกล้งที่ไหน ประชุมเมื่อวานกรรมการเขาอยากได้ข้อมูลเพิ่มอีก เฮ้อ...เป็นมวยรองเขาก็ต้องอดทนแบบนี้แหละ ใครจะไปขายดีเทน้ำเทท่าเหมือนลายหงส์”
“อันดับสองไม่ดีตรงไหน ถ้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้วเลิกขวนขวายก็สบายไปแล้ว”
“คำแนะนำใช้ได้เลย” เขาทำท่ากวักมือเรียก “มามะ ลงมาอยู่สบายๆ ตรงนี้กันไหมคุณ”
ธีร์วราปรายตามา สุเมธชักสงสัยขึ้นติดหมัด หล่อนฝึกวิธีมองเย็นๆ ชนิดแช่แข็งคนได้แบบนี้มาจากไหน
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ชวนนะคะ เสียดายการหล่นอยู่อันดับสองฉันดันทำไม่เป็นซะด้วยสิ แต่คุณเมธดูจะคุ้นเคยเอาการ ลองสอนหน่อยได้ไหมคะ”
“อย่าต้องลำบากเลยครับ คุณอยู่บนนั้นไปก่อนเถอะ และจะให้ดีช่วยปีนต่อสูงๆ ซะด้วยนะ เพราะการดึงที่หนึ่งลงต่ำกับการปีนชนะด้วยตนเองน่ะ อย่างหลังสนุกกว่าเยอะ”
พลางยิ้มกริ่มปิดท้าย หญิงสาวทำท่าจะเอ่ยโต้แต่แล้วกลับชะงัก ยักไหล่น้อยๆ ก้มอ่านหนังสือต่อเสียอย่างนั้น เล่นเอาคนที่เตรียมปะทะคารมรอเก้อจนต้องประท้วง
“เฮ้ๆ ไหงหยุดคุยซะเฉยๆ”
“มาเกาะกงเทียนคราวนี้ฉันตั้งใจจะทำแค่สองอย่าง พักผ่อนและคอยดูแลป่านค่ะ ขี้เกียจเอาเรื่องอื่นมารกสมอง”
“เถียงผมไม่ทันเลยแกล้งยอมแพ้เนียนๆ หรือเปล่าคุณ” แต่ธีร์วรายังคงนิ่ง เขาจึงพยายามแหย่ต่อ “ทำเฉยได้นานแค่ไหนกัน ผมจะ...”
“ชู่...” หล่อนยกนิ้วจุปาก “เงียบหน่อยได้ไหมคะ นิยายกำลังสนุกเลย”
สุเมธใบ้รับประทาน และยิ่งเห็นหล่อนอ่านหนังสือเพลินมากเท่าไร คอมพิวเตอร์บนตักก็ดูจะหนักมากขึ้นเท่านั้น ให้ตายสิ นี่มันวันหยุดของเขาเหมือนกันนะ!
ชายหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์ทันที ลุกยืนพลางเอ่ยลอยๆ “ผมไปเปลี่ยนชุดมาว่ายน้ำดีกว่า”
ธีร์วรากลั้นยิ้ม นี่ถ้าเข้าข้างตัวเองมากขึ้นอีกนิด คงนึกว่าเขากำลังงอนเพราะหล่อนไม่ยอมทะเลาะด้วย
เวลาผ่านไปสักครู่เสียงกริ่งประตูพลันดังกังวาน ได้ยินสุเมธร้องบอกจะเปิดเอง ธีร์วรานึกว่าเขาสั่งรูมเซอร์วิสจึงไม่สนใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอม เงยหน้าเห็นชายหนุ่มผู้ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดพิงเสาตรงห้องนั่งเล่นติดสระ ยิ้มให้แบบแปลกๆ มารู้ความหมายรอยยิ้มนั่นก็ตอนที่แทนไทเดินเฉียดสุเมธตรงมาหาหล่อน
“ไงแก้ว เห็นคุณมีชื่อจองไปเล่นคายัคแต่ไม่ยักกะลงเรือตอนเช้า เลยมาเยี่ยมเพราะสงสัยว่าคุณป่วยตั้งแต่เมื่อวาน”
ธีร์วรากลืนก้อนเหนียวๆ ลงคอ ขี้เกียจซักไซ้ว่าเขาเห็นตารางจองเรือหรือรู้เบอร์ห้องหล่อนได้อย่างไร “ไม่ได้ป่วยค่ะ แต่เพลียเพราะเล่นกิจกรรมเยอะไปหน่อย เลยขอพักสักวัน”
แทนไทพยักหน้ารับรู้ จะเดินไปยังเตียงริมสระที่ตั้งข้างหล่อน แต่สุเมธโผล่พรวดแซงเขาไปนั่งตรงที่เดิมของตัว หยิบคอมพิวเตอร์ทำงานคล้ายไม่ใส่ใจ แทนไทตาขวาง
“วิลล่าใหญ่โต พวกคุณพักกันสองคนเองรึ”
“เปล่านะคะ” หล่อนปฏิเสธเสียงหลง “มีพวกหลานๆ ด้วย แต่วันนี้เขาไปเล่นเรือคายัดกัน”
แทนไทดูผ่อนคลายลง “แก้วอยู่ว่างๆ น่าจะเบื่อ”
“ไม่หรอกค่ะ อยู่กรุงเทพฯ ต้องทำแต่งาน ได้พักเฉยๆ ก็ดีเหมือนกัน”
“จริงสิ แก้วทำงานกับบริษัทที่บ้านนี่ ลายหงส์ใช่ไหม”
หญิงสาวอดเลิกคิ้วเบาๆ ไม่ได้ “ไม่นึกว่าแทนรู้จักลายหงส์ด้วย แก้วเองตอนเรียนก็ไม่ค่อยพูดถึงที่บ้านเท่าไหร่”
“อยู่ยุโรปไม่เคยได้ยินชื่อหรอก แต่เขาว่าที่ไทยดังเหมือนกันนะ แก้วคงทำงานหนักถึงได้ขนาดนี้ ก็สมควรพักหาความสนุกใส่ตัวเยอะๆ” เขาโน้มหน้าเข้าใกล้ “เอางี้ไหม คืนนี้กลุ่มผมจัดปาร์ตี้กันที่พูลวิลล่า หลังใหญ่สุดในรีสอร์ทนั่นไง อยากเชิญแก้ว...เอ้อ ผมหมายถึงพวกของแก้วทุกคนร่วมงานด้วย”
ธีร์วรานิ่งคิดเล็กน้อย “ก็ดีนะคะ เดี๋ยวจะลองถามหลานๆ ดู”
แทนไทยิ้มกริ่มชวนคุยต่อสักพักเสียงกริ่งประตูพลันดังก้องอีกครั้ง คราวนี้ธีร์วราเป็นฝ่ายลุกไปเปิดรับ เจอสาวฝรั่งผมแดงคนเดียวกับเมื่อวานยืนกอดอกอยู่หน้าประตู พูดอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ
“ฉันมาตามเท็ดดี้”
“เท็ดดี้?” หล่อนตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน “อ๋อ หมายถึงแทนไทใช่ไหมคะ”
เจ้าของชื่อรีบวิ่งออกมาพอดี “เมลิซ่า นึกว่าเธอนั่งสปีดโบ๊ทขึ้นฝั่งไปหาไวน์ดีๆ สำหรับคืนนี้ซะอีก”
“เปลี่ยนใจให้คนอื่นไปแทน” จ้องแทนไทเขม็ง “ไม่งั้นคงไม่จับได้ว่าเธอดอดมาหาผู้หญิงสองต่อสองแบบนี้หรอก!”
“เฮ้ๆ” สุเมธผู้ตามหลังเป็นคนสุดท้ายโบกมือหย็อยๆ “ผมยังอยู่นี่นะคร้าบ”
“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันมาเยี่ยมเพราะแก้วป่วยต่างหากละ” แทนไทลุกลนดันตัวแฟนสาวพ้นทางเข้าบ้านพัก “งั้นฉันขอตัวก่อนดีกว่าแก้ว เจอกันคืนนี้”
“คืนนี้?” สาวผมแดงอุทาน “เท็ดดี้! คุณเชิญแขกทำไมไม่ปรึกษากันก่อน แล้วผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าที่คุณโทร. คุยเมื่อคืน...”
หล่อนยังพล่ามต่ออีกยาวแต่ธีร์วรารีบปิดประตูหนี ถอนหายใจดังเฮือกเมื่อเสียงโวยวายหยุดลง สุเมธพูดขำๆ
“แหมนาย ‘ด่าง’ นี่ ฤทธิ์เยอะจริงๆ”
“หือ? คุณเรียกใครด่าง”
“ก็แฟนเก่าคุณไง สักทั้งตัวซะด่างพร้อยไปหมด ผมเลยย่อเหลือเรียกแค่ด่าง”
“คุณนี่ดีแต่ว่าฉัน ตัวเองก็ใช่ย่อยนะคะ ปากจัดผิดหน้าตาเหมือนกัน!”
“ใช่ที่ไหน ต้องบอกว่าผมปากดีเหมือนหน้าตาต่างหากครับ” เขามายืนข้างหล่อน แนบหูกับประตูฟังให้แน่ใจว่าทางสะดวกค่อยเปิดมันอีกครั้ง “ผมไปธุระเดี๋ยวแล้วจะมารับคุณออกไปกินข้าวนะ กลัวนายด่างกลับมารังควานอีกรอบ ยกเว้นคุณอยากอยู่รอเขาไปปาร์ตี้คืนดีด้วยกัน”
หล่อนขมวดคิ้ว “นี่คุณ ฉันไม่ได้อยากปาร์ตี้เพื่อคืนดี...”
“แค่แซวน่า...ผมรู้” เขาตัดบท “คุณไม่ได้มีใจให้แฟนเก่าอีกแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ฮึ! อย่างคุณจะรู้อะไร”
“ทำไมจะไม่รู้” เขาก้าวเท้าออกนอกตัวบ้าน “ถ้าคุณยังมีใจอยู่คงรีบห้ามผมเรียกเขานายด่างตั้งนานแล้ว ไม่ใช่มัวแต่กระแนะกระแหนผมเรื่องปากเสีย”
พูดเสร็จรีบปิดประตูปัง จึงรอดพ้นสายตาเยียบเย็นของธีร์วราไปแบบหวุดหวิด!
*****
สุเมธหายตัวร่วมชั่วโมงถึงติดต่อเรียกหล่อนออกจากบ้าน ครั้นหญิงสาวเปิดประตูรั้วค่อยเจอเขาอยู่หลังพวงมาลัยบนรถกอล์ฟไฟฟ้า กวักมือเรียก ธีร์วราจึงนั่งที่เบาะข้างตัวเขาแบบงงๆ
“ยืมรถโรงแรมขับส่งฉันที่ห้องอาหารเหรอ แต่มันใกล้นิดเดียวเอง”
“ใครบอกว่าวันนี้เราจะไปกินที่ห้องอาหาร” ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนรถ ถนนเส้นหลักของรีสอร์ทลาดยางกว้างพอให้รถกอล์ฟแล่นอย่างสบาย ผ่านตามเส้นทางที่ธีร์วราไม่เคยสังเกตมาก่อน สักพักก็เห็นรั้วของรีสอร์ทตรงหน้า สุเมธล้วงรีโมทกดเปิดประตูรั้วก่อนขับผ่านไป ค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาทีละนิดจนพ้นบริเวณกลุ่มอาคารมาไกล สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเป็นระยะแต่เมื่อถึงจุดสูงสุดต้นไม้ข้างทางกลับโดนถางเรียบ เห็นวิวทะเลรอบด้าน ชายหาดทอดโค้งยาวสุดเกาะแทบบรรจบกับกลุ่มเมฆฟูฟ่องตรงเส้นขอบฟ้า สปีดโบ๊ทแล่นโต้คลื่นเป็นจุดเล็กๆ ข้างเกาะแก่งน้อยใหญ่ ดูแปลกตายามมองจากมุมสูงขนาดนี้
เสน่ห์ของทะเลคือทุกคลื่นน้ำ สายลม ก้อนเมฆ ล้วนผันแปรไม่ย้ำกับรอยวาน
ธีร์วราอดมองคนข้างตัวไม่ได้ ผู้ชายที่หล่อนเคยเกลียดขี้หน้าจนเข้ากระดูก แต่เวลานี้กลับยอมตามเขามาโดยไม่อิดออดสักคำ หรือที่แปรเปลี่ยนตามทะเล...จะไม่ได้มีแค่ท้องฟ้าและสายน้ำ
ความคิดหยุดลงเมื่อสุเมธจอดรถข้างสนามหญ้าที่ปลูกรอบไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเป็นวงกว้าง เขาปูผ้าพลาสติกบนผืนหญ้า ตามด้วยตะกร้ามีฝาปิดอีกสองใบ ผายมือทางพวกมันแล้วยิ้มให้หล่อน
“ปิกนิกนอกสถานที่ไงครับ”
หญิงสาวลงจากรถแบบงงๆ “คุณรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“ฟังมาจากพฤกษ์ที่ฟังมาจากป่านที่คงฟังมาจากเพื่อนอีกที เจ้าของเกาะเขาเคยจะปรับปรุงแถวนี้เป็นที่เที่ยวของรีสอร์ท แต่แล้วเปลี่ยนใจเก็บไว้เป็นที่ปิกนิกส่วนตัว ผมถามพนักงานจนเขายอมให้กุญแจรั้ว แต่เพราะบอกฉุกละหุกเลยทำได้แค่อาหารง่ายๆ” เขาเปิดฝาตะกร้า มีแซนวิชและผลไม้เรียงเต็ม
“น่ากินจัง แล้วอีกใบใส่อะไรคะ”
เขาเลื่อนตะกร้าหาหล่อนที่หย่อนตัวบนผ้าพลาสติก “ก็แซนวิชเหมือนกันแต่เฉพาะของผม” เขาเปิดโชว์ “เนื้อสัตว์ทั้งนั้น ไม่เหมือนตะกร้านั่นที่มีแต่ไส้ผักกับปลา ก็คุณน่ะสายสุขภาพเลยกลัวจะไม่กินกับผม”
หล่อนใช้ทิชชู่เปียกเช็ดมือก่อนหยิบแซนวิช “ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอกค่ะ แต่โรคหัวใจของพ่อต้องจำกัดอาหารมาหลายปี ฉันกับแม่เลยกินเหมือนกันเป็นเพื่อน”
“แสดงว่าไม่ได้แอนตี้พวกกินเนื้อกินเหล้า”
“เปล่าค่ะ แค่กินอาหารเพื่อสุขภาพบ่อยจนชินเท่านั้น” พูดจบเตรียมจะยกแซนวิชขึ้นกัด แต่ชายหนุ่มกลับฉวยมันไปพลางยัดแซนวิชของตัวเองให้แทน
“แลกกันสักชิ้นดูไหม”
แล้วก่อนธีร์วราจะทันค้านอะไรเขาพลันงับแซนวิชผักโขมคำใหญ่ พริบตามันก็ลงท้องหมด หล่อนอึ้ง มองแซนวิชในมือสลับกับหน้าเขาไปมา ชายหนุ่มนอนตะแคงเอาศอกยันตัว หรี่ตาใส่หล่อน
“เอาหน่อยเถอะน่า คิดซะว่าช่วยทำบุญให้ผมกินผักนะเอ้อ”
ธีร์วราส่ายหน้าเอือมๆ ยอมกัดแซนวิชเคี้ยวช้าๆ “เอ๋ ที่นี่ทำแฮมชีสอร่อยดีนะคะ”
“ใช่ไหมๆ เมื่อวานผมกินก็ว่าอร่อย” น้ำเสียงเขาดีใจเหมือนเด็กๆ “งั้นอีกชิ้นเนอะ”
หล่อนทั้งฉิวทั้งขำ “ปกติชอบบังคับคนแบบนี้หรือคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้น ผมอยากดูแลให้เพื่อนได้กินของดีๆ ต่างหาก”
“งั้นคุณครามเพื่อนสนิทคุณคงได้กินแซนวิชแฮมชีสทั้งวันทั้งคืนเลยสิ”
เขาหัวเราะ “รายนั้นน่ะไม่ต้องดูแลมันหรอก มันต่างหากที่คอยดูแลผม”
ธีร์วราเลิกคิ้ว แม้รู้จักลายครามแค่ผิวเผินยามทักทายกันเวลาออกงานสังคม ทว่าก็ทราบนิสัยอีกฝ่ายพอสมควร คนเอ้อระเหยแบบนั้นคอยดูแลคนจริงจังแบบสุเมธ? น่าจะกลับกันเสียมากกว่า
คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 12
“อื้อหืออะไรคะ”
หล่อนมองตาขวางจนเขายิ้มมุมปาก “ก็ผมแปลกใจอีกแล้ว ไม่นึกว่ารสนิยมคุณชอบแบดบอย”
หญิงสาวถอนใจ “สมัยก่อนเขาไม่สักขนาดนี้หรอกนะคะ น่าจะเริ่มสักครั้งแรกตอนเพิ่งคบกันด้วยซ้ำ เขายังชวนฉันดูรอยสักนั่นอยู่เลย”
“แล้วสักรูปอะไรล่ะครับ”
“ไม่รู้หรอกค่ะ ไม่เคยเห็น”
“หือ? ไม่ยอมดูรอยสักใช่ไหม ทำไมล่ะ หรือคุณไม่ชอบการสัก”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การสัก แต่อยู่ตรงตำแหน่งที่สักต่างหาก” หล่อนนิ่งนิดหนึ่ง “ตอนฉันขึ้นไปบนห้องเขาถึงเพิ่งรู้ว่าแทนสักตรงใต้สะดือมา พอเขาทำท่าจะถอดกางเกงฉันก็รีบขอตัว แล้ววันรุ่งขึ้นเราเลยเลิกกัน”
สุเมธปล่อยก๊ากอย่างสุดกลั้น ส่วนหล่อนเองตอนแรกยังทำบึ้งแต่สุดท้ายก็ส่ายหัวขำๆ “นี่แหละ ฉันถึงเซ็งพวกผู้ชาย”
หนึ่งใน “พวกผู้ชาย” เลิกคิ้วน้อยๆ ประกายคมกริบพาดผ่านดวงตายามเอ่ยค้าน “เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นหมดซะหน่อย ไม่เชื่อถามแฟนคุณดูสิ”
“ถ้าฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยฉันมาเที่ยวกับผู้ชายแบบนี้”
“ไม่ครับ” ตอบเสียงจริงจัง “เป็นผม...ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
หญิงสาวสะดุดกึก คล้ายประโยคเมื่อกี้มันทะ
*****
วันรุ่งขึ้น ผลจากการหกคะเมนเมื่อวาน ธีร์วราจำต้องเบี้ยวนัดหลานสาวอีกครั้ง
“ทำไมละคะ” ปานเรขาโวย “วันนี้เราจะขึ้นสปีดโบ๊ทไปเกาะที่เป็นแหล่งพายเรือคายัค เขาว่าวิวสวยสุดๆ เลยนะคะ”
ธีร์วราแง้มประตูไว้ครึ่งๆ ใช้บานไม้บังมือที่กำลังคลึงสะโพกเขียวช้ำไปมา “อายังเพลียอยู่ ขอพักอีกสักวัน”
แม้ผลหลังตรวจร่างกายจะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หล่อนยังคงห้ามสุเมธบอกใครเรื่องเมื่อวาน ก็มันน่าอาย
“ป่าน” พฤกษ์ตะโกนเรียกจากชั้นล่าง “อาเมธไม่ไปเล่นเรือคายัคกับเรานะ”
“อ้าว” สองสาวอุทานพร้อมกัน ต่างเดินไปเกาะราวระเบียงชั้นลอย มองลงยังห้องอาหารส่วนที่ต่อจากครัว สุเมธนั่งหน้าคอมพิวเตอร์แบบพกพาบนโต๊ะอาหาร โบกมือให้
“งานด่วนสองวันติด พวกคุณไปสนุกกันเถอะ”
“แค่หนูกับพี่พฤกษ์ต่างหากคะ อาแก้วก็บายเหมือนกัน บ่นว่ายังเมื่อยตัว”
สุเมธทำท่าประหลาดใจไม่สมจริงสักนิดในสายตาธีร์วรา แต่กลับหลอกพวกหลานได้สนิทใจ หลังมื้อเช้าปานเรขาและพฤกษ์แยกตัวไปเที่ยว ส่วนอาสาวปักหลักยังเตียงริมสระว่ายน้ำกับหนังสือเล่มโปรด ไม่นานเตียงข้างหล่อนก็มีสุเมธมาใช้งานพร้อมคอมพิวเตอร์แบบพกพาบนตัก หญิงสาวเหล่มอง
“ไม่ต้องแกล้งทำขยันหลอกหลานแล้วคุณ ทำไมขี้เกียจไปเที่ยวล่ะคะ”
“ผมแกล้งที่ไหน ประชุมเมื่อวานกรรมการเขาอยากได้ข้อมูลเพิ่มอีก เฮ้อ...เป็นมวยรองเขาก็ต้องอดทนแบบนี้แหละ ใครจะไปขายดีเทน้ำเทท่าเหมือนลายหงส์”
“อันดับสองไม่ดีตรงไหน ถ้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้วเลิกขวนขวายก็สบายไปแล้ว”
“คำแนะนำใช้ได้เลย” เขาทำท่ากวักมือเรียก “มามะ ลงมาอยู่สบายๆ ตรงนี้กันไหมคุณ”
ธีร์วราปรายตามา สุเมธชักสงสัยขึ้นติดหมัด หล่อนฝึกวิธีมองเย็นๆ ชนิดแช่แข็งคนได้แบบนี้มาจากไหน
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ชวนนะคะ เสียดายการหล่นอยู่อันดับสองฉันดันทำไม่เป็นซะด้วยสิ แต่คุณเมธดูจะคุ้นเคยเอาการ ลองสอนหน่อยได้ไหมคะ”
“อย่าต้องลำบากเลยครับ คุณอยู่บนนั้นไปก่อนเถอะ และจะให้ดีช่วยปีนต่อสูงๆ ซะด้วยนะ เพราะการดึงที่หนึ่งลงต่ำกับการปีนชนะด้วยตนเองน่ะ อย่างหลังสนุกกว่าเยอะ”
พลางยิ้มกริ่มปิดท้าย หญิงสาวทำท่าจะเอ่ยโต้แต่แล้วกลับชะงัก ยักไหล่น้อยๆ ก้มอ่านหนังสือต่อเสียอย่างนั้น เล่นเอาคนที่เตรียมปะทะคารมรอเก้อจนต้องประท้วง
“เฮ้ๆ ไหงหยุดคุยซะเฉยๆ”
“มาเกาะกงเทียนคราวนี้ฉันตั้งใจจะทำแค่สองอย่าง พักผ่อนและคอยดูแลป่านค่ะ ขี้เกียจเอาเรื่องอื่นมารกสมอง”
“เถียงผมไม่ทันเลยแกล้งยอมแพ้เนียนๆ หรือเปล่าคุณ” แต่ธีร์วรายังคงนิ่ง เขาจึงพยายามแหย่ต่อ “ทำเฉยได้นานแค่ไหนกัน ผมจะ...”
“ชู่...” หล่อนยกนิ้วจุปาก “เงียบหน่อยได้ไหมคะ นิยายกำลังสนุกเลย”
สุเมธใบ้รับประทาน และยิ่งเห็นหล่อนอ่านหนังสือเพลินมากเท่าไร คอมพิวเตอร์บนตักก็ดูจะหนักมากขึ้นเท่านั้น ให้ตายสิ นี่มันวันหยุดของเขาเหมือนกันนะ!
ชายหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์ทันที ลุกยืนพลางเอ่ยลอยๆ “ผมไปเปลี่ยนชุดมาว่ายน้ำดีกว่า”
ธีร์วรากลั้นยิ้ม นี่ถ้าเข้าข้างตัวเองมากขึ้นอีกนิด คงนึกว่าเขากำลังงอนเพราะหล่อนไม่ยอมทะเลาะด้วย
เวลาผ่านไปสักครู่เสียงกริ่งประตูพลันดังกังวาน ได้ยินสุเมธร้องบอกจะเปิดเอง ธีร์วรานึกว่าเขาสั่งรูมเซอร์วิสจึงไม่สนใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอม เงยหน้าเห็นชายหนุ่มผู้ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดพิงเสาตรงห้องนั่งเล่นติดสระ ยิ้มให้แบบแปลกๆ มารู้ความหมายรอยยิ้มนั่นก็ตอนที่แทนไทเดินเฉียดสุเมธตรงมาหาหล่อน
“ไงแก้ว เห็นคุณมีชื่อจองไปเล่นคายัคแต่ไม่ยักกะลงเรือตอนเช้า เลยมาเยี่ยมเพราะสงสัยว่าคุณป่วยตั้งแต่เมื่อวาน”
ธีร์วรากลืนก้อนเหนียวๆ ลงคอ ขี้เกียจซักไซ้ว่าเขาเห็นตารางจองเรือหรือรู้เบอร์ห้องหล่อนได้อย่างไร “ไม่ได้ป่วยค่ะ แต่เพลียเพราะเล่นกิจกรรมเยอะไปหน่อย เลยขอพักสักวัน”
แทนไทพยักหน้ารับรู้ จะเดินไปยังเตียงริมสระที่ตั้งข้างหล่อน แต่สุเมธโผล่พรวดแซงเขาไปนั่งตรงที่เดิมของตัว หยิบคอมพิวเตอร์ทำงานคล้ายไม่ใส่ใจ แทนไทตาขวาง
“วิลล่าใหญ่โต พวกคุณพักกันสองคนเองรึ”
“เปล่านะคะ” หล่อนปฏิเสธเสียงหลง “มีพวกหลานๆ ด้วย แต่วันนี้เขาไปเล่นเรือคายัดกัน”
แทนไทดูผ่อนคลายลง “แก้วอยู่ว่างๆ น่าจะเบื่อ”
“ไม่หรอกค่ะ อยู่กรุงเทพฯ ต้องทำแต่งาน ได้พักเฉยๆ ก็ดีเหมือนกัน”
“จริงสิ แก้วทำงานกับบริษัทที่บ้านนี่ ลายหงส์ใช่ไหม”
หญิงสาวอดเลิกคิ้วเบาๆ ไม่ได้ “ไม่นึกว่าแทนรู้จักลายหงส์ด้วย แก้วเองตอนเรียนก็ไม่ค่อยพูดถึงที่บ้านเท่าไหร่”
“อยู่ยุโรปไม่เคยได้ยินชื่อหรอก แต่เขาว่าที่ไทยดังเหมือนกันนะ แก้วคงทำงานหนักถึงได้ขนาดนี้ ก็สมควรพักหาความสนุกใส่ตัวเยอะๆ” เขาโน้มหน้าเข้าใกล้ “เอางี้ไหม คืนนี้กลุ่มผมจัดปาร์ตี้กันที่พูลวิลล่า หลังใหญ่สุดในรีสอร์ทนั่นไง อยากเชิญแก้ว...เอ้อ ผมหมายถึงพวกของแก้วทุกคนร่วมงานด้วย”
ธีร์วรานิ่งคิดเล็กน้อย “ก็ดีนะคะ เดี๋ยวจะลองถามหลานๆ ดู”
แทนไทยิ้มกริ่มชวนคุยต่อสักพักเสียงกริ่งประตูพลันดังก้องอีกครั้ง คราวนี้ธีร์วราเป็นฝ่ายลุกไปเปิดรับ เจอสาวฝรั่งผมแดงคนเดียวกับเมื่อวานยืนกอดอกอยู่หน้าประตู พูดอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ
“ฉันมาตามเท็ดดี้”
“เท็ดดี้?” หล่อนตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน “อ๋อ หมายถึงแทนไทใช่ไหมคะ”
เจ้าของชื่อรีบวิ่งออกมาพอดี “เมลิซ่า นึกว่าเธอนั่งสปีดโบ๊ทขึ้นฝั่งไปหาไวน์ดีๆ สำหรับคืนนี้ซะอีก”
“เปลี่ยนใจให้คนอื่นไปแทน” จ้องแทนไทเขม็ง “ไม่งั้นคงไม่จับได้ว่าเธอดอดมาหาผู้หญิงสองต่อสองแบบนี้หรอก!”
“เฮ้ๆ” สุเมธผู้ตามหลังเป็นคนสุดท้ายโบกมือหย็อยๆ “ผมยังอยู่นี่นะคร้าบ”
“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันมาเยี่ยมเพราะแก้วป่วยต่างหากละ” แทนไทลุกลนดันตัวแฟนสาวพ้นทางเข้าบ้านพัก “งั้นฉันขอตัวก่อนดีกว่าแก้ว เจอกันคืนนี้”
“คืนนี้?” สาวผมแดงอุทาน “เท็ดดี้! คุณเชิญแขกทำไมไม่ปรึกษากันก่อน แล้วผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าที่คุณโทร. คุยเมื่อคืน...”
หล่อนยังพล่ามต่ออีกยาวแต่ธีร์วรารีบปิดประตูหนี ถอนหายใจดังเฮือกเมื่อเสียงโวยวายหยุดลง สุเมธพูดขำๆ
“แหมนาย ‘ด่าง’ นี่ ฤทธิ์เยอะจริงๆ”
“หือ? คุณเรียกใครด่าง”
“ก็แฟนเก่าคุณไง สักทั้งตัวซะด่างพร้อยไปหมด ผมเลยย่อเหลือเรียกแค่ด่าง”
“คุณนี่ดีแต่ว่าฉัน ตัวเองก็ใช่ย่อยนะคะ ปากจัดผิดหน้าตาเหมือนกัน!”
“ใช่ที่ไหน ต้องบอกว่าผมปากดีเหมือนหน้าตาต่างหากครับ” เขามายืนข้างหล่อน แนบหูกับประตูฟังให้แน่ใจว่าทางสะดวกค่อยเปิดมันอีกครั้ง “ผมไปธุระเดี๋ยวแล้วจะมารับคุณออกไปกินข้าวนะ กลัวนายด่างกลับมารังควานอีกรอบ ยกเว้นคุณอยากอยู่รอเขาไปปาร์ตี้คืนดีด้วยกัน”
หล่อนขมวดคิ้ว “นี่คุณ ฉันไม่ได้อยากปาร์ตี้เพื่อคืนดี...”
“แค่แซวน่า...ผมรู้” เขาตัดบท “คุณไม่ได้มีใจให้แฟนเก่าอีกแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ฮึ! อย่างคุณจะรู้อะไร”
“ทำไมจะไม่รู้” เขาก้าวเท้าออกนอกตัวบ้าน “ถ้าคุณยังมีใจอยู่คงรีบห้ามผมเรียกเขานายด่างตั้งนานแล้ว ไม่ใช่มัวแต่กระแนะกระแหนผมเรื่องปากเสีย”
พูดเสร็จรีบปิดประตูปัง จึงรอดพ้นสายตาเยียบเย็นของธีร์วราไปแบบหวุดหวิด!
*****
สุเมธหายตัวร่วมชั่วโมงถึงติดต่อเรียกหล่อนออกจากบ้าน ครั้นหญิงสาวเปิดประตูรั้วค่อยเจอเขาอยู่หลังพวงมาลัยบนรถกอล์ฟไฟฟ้า กวักมือเรียก ธีร์วราจึงนั่งที่เบาะข้างตัวเขาแบบงงๆ
“ยืมรถโรงแรมขับส่งฉันที่ห้องอาหารเหรอ แต่มันใกล้นิดเดียวเอง”
“ใครบอกว่าวันนี้เราจะไปกินที่ห้องอาหาร” ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนรถ ถนนเส้นหลักของรีสอร์ทลาดยางกว้างพอให้รถกอล์ฟแล่นอย่างสบาย ผ่านตามเส้นทางที่ธีร์วราไม่เคยสังเกตมาก่อน สักพักก็เห็นรั้วของรีสอร์ทตรงหน้า สุเมธล้วงรีโมทกดเปิดประตูรั้วก่อนขับผ่านไป ค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาทีละนิดจนพ้นบริเวณกลุ่มอาคารมาไกล สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเป็นระยะแต่เมื่อถึงจุดสูงสุดต้นไม้ข้างทางกลับโดนถางเรียบ เห็นวิวทะเลรอบด้าน ชายหาดทอดโค้งยาวสุดเกาะแทบบรรจบกับกลุ่มเมฆฟูฟ่องตรงเส้นขอบฟ้า สปีดโบ๊ทแล่นโต้คลื่นเป็นจุดเล็กๆ ข้างเกาะแก่งน้อยใหญ่ ดูแปลกตายามมองจากมุมสูงขนาดนี้
เสน่ห์ของทะเลคือทุกคลื่นน้ำ สายลม ก้อนเมฆ ล้วนผันแปรไม่ย้ำกับรอยวาน
ธีร์วราอดมองคนข้างตัวไม่ได้ ผู้ชายที่หล่อนเคยเกลียดขี้หน้าจนเข้ากระดูก แต่เวลานี้กลับยอมตามเขามาโดยไม่อิดออดสักคำ หรือที่แปรเปลี่ยนตามทะเล...จะไม่ได้มีแค่ท้องฟ้าและสายน้ำ
ความคิดหยุดลงเมื่อสุเมธจอดรถข้างสนามหญ้าที่ปลูกรอบไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเป็นวงกว้าง เขาปูผ้าพลาสติกบนผืนหญ้า ตามด้วยตะกร้ามีฝาปิดอีกสองใบ ผายมือทางพวกมันแล้วยิ้มให้หล่อน
“ปิกนิกนอกสถานที่ไงครับ”
หญิงสาวลงจากรถแบบงงๆ “คุณรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“ฟังมาจากพฤกษ์ที่ฟังมาจากป่านที่คงฟังมาจากเพื่อนอีกที เจ้าของเกาะเขาเคยจะปรับปรุงแถวนี้เป็นที่เที่ยวของรีสอร์ท แต่แล้วเปลี่ยนใจเก็บไว้เป็นที่ปิกนิกส่วนตัว ผมถามพนักงานจนเขายอมให้กุญแจรั้ว แต่เพราะบอกฉุกละหุกเลยทำได้แค่อาหารง่ายๆ” เขาเปิดฝาตะกร้า มีแซนวิชและผลไม้เรียงเต็ม
“น่ากินจัง แล้วอีกใบใส่อะไรคะ”
เขาเลื่อนตะกร้าหาหล่อนที่หย่อนตัวบนผ้าพลาสติก “ก็แซนวิชเหมือนกันแต่เฉพาะของผม” เขาเปิดโชว์ “เนื้อสัตว์ทั้งนั้น ไม่เหมือนตะกร้านั่นที่มีแต่ไส้ผักกับปลา ก็คุณน่ะสายสุขภาพเลยกลัวจะไม่กินกับผม”
หล่อนใช้ทิชชู่เปียกเช็ดมือก่อนหยิบแซนวิช “ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอกค่ะ แต่โรคหัวใจของพ่อต้องจำกัดอาหารมาหลายปี ฉันกับแม่เลยกินเหมือนกันเป็นเพื่อน”
“แสดงว่าไม่ได้แอนตี้พวกกินเนื้อกินเหล้า”
“เปล่าค่ะ แค่กินอาหารเพื่อสุขภาพบ่อยจนชินเท่านั้น” พูดจบเตรียมจะยกแซนวิชขึ้นกัด แต่ชายหนุ่มกลับฉวยมันไปพลางยัดแซนวิชของตัวเองให้แทน
“แลกกันสักชิ้นดูไหม”
แล้วก่อนธีร์วราจะทันค้านอะไรเขาพลันงับแซนวิชผักโขมคำใหญ่ พริบตามันก็ลงท้องหมด หล่อนอึ้ง มองแซนวิชในมือสลับกับหน้าเขาไปมา ชายหนุ่มนอนตะแคงเอาศอกยันตัว หรี่ตาใส่หล่อน
“เอาหน่อยเถอะน่า คิดซะว่าช่วยทำบุญให้ผมกินผักนะเอ้อ”
ธีร์วราส่ายหน้าเอือมๆ ยอมกัดแซนวิชเคี้ยวช้าๆ “เอ๋ ที่นี่ทำแฮมชีสอร่อยดีนะคะ”
“ใช่ไหมๆ เมื่อวานผมกินก็ว่าอร่อย” น้ำเสียงเขาดีใจเหมือนเด็กๆ “งั้นอีกชิ้นเนอะ”
หล่อนทั้งฉิวทั้งขำ “ปกติชอบบังคับคนแบบนี้หรือคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้น ผมอยากดูแลให้เพื่อนได้กินของดีๆ ต่างหาก”
“งั้นคุณครามเพื่อนสนิทคุณคงได้กินแซนวิชแฮมชีสทั้งวันทั้งคืนเลยสิ”
เขาหัวเราะ “รายนั้นน่ะไม่ต้องดูแลมันหรอก มันต่างหากที่คอยดูแลผม”
ธีร์วราเลิกคิ้ว แม้รู้จักลายครามแค่ผิวเผินยามทักทายกันเวลาออกงานสังคม ทว่าก็ทราบนิสัยอีกฝ่ายพอสมควร คนเอ้อระเหยแบบนั้นคอยดูแลคนจริงจังแบบสุเมธ? น่าจะกลับกันเสียมากกว่า