
World War I: Gallipoli Campaign

The Lone Pine Cemetery at Gallipoli. Photo credit: Jorge Láscar/Flickr
อนุสรณ์สถานที่เกี่ยวกับสงครามหลายแห่งทั่วประเทศออสเตรเลีย
จะมีการปลูกต้นสนในบริเวณดังกล่าว
ต้นไม้เหล่านี้เรียกว่า
Lone Pines
และบรรพบุรุษของต้นสนเหล่านี้
จะสามารถสืบย้อนกลับไปยังสายพันธุ์ต้นสนพื้นเมืองเพียงต้นเดียว
จากหมู่ต้นสนที่เคยยืนตระหง่านอยู่ในบริเวณสนามรบที่นองเลือดมากที่สุด
คือ สงครามขั้นแตกหัก
Gallipoli Campaign ที่เคยเกิดขึ้นที่นั่น
สงคราม Lone Pine มีการสู้รบกันรอบ ๆ อ่าวเล็ก ๆ
Anzac Cove
หรือที่เรียกกันว่า Plateau 400 แถวคาบสมุทร
Gallipoli ในประเทศตุรกี
ในปี 1915 สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังเข้าขั้นแตกหัก
กลุ่มพันธมิตรที่มีกองกำลังผสมออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์
ที่ต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันที่คาบสมุทร Gallipoli
เริ่มส่ออาการไม่ค่อยดีแล้วในการสู้รบ
กลุ่มพันธมิตรจึงได้ตัดสินใจ
ที่จะเบี่ยงแบนความสนใจจักรวรรดิออตโตมัน
ด้วยการรุกรบเอาชัยที่
Anzac Cove
ก่อนไปโจมตีหนักที่
Sari Bair Chunuk Bair และ
Hill 971 เนินเขาสูงสุดของบริเวณสู้รบ

400 Plateau Aerial GALLIPOLI
วันที่ 6 สิงหาคม 1915
2 วันก่อนที่จะเริ่มทำการโจมตี Chunuk Bair
กองทหารราบที่ 1 ของออสเตรเลียได้ทำการรุกหนักที่ Plateau 400 ใน Anzac Cove
บนสันเขาแนวที่ราบสูงที่เคยปกคลุมไปด้วยต้นสนจำนวนหลายต้น
เป็นต้นสนพื้นเมืองของตุรกี สายพันธุ์
Pinus brutia
แต่กองทัพตุรกีได้ตัดต้นสนทิ้งเพื่อเสริมสร้างร่องคูแนวรบ/สนามเพลาะ
เหลือแต่เฉพาะต้นสนเพียงต้นเดี่ยวที่ยืนโด่เด่ไว้
แต่ไม่นาน หลังการสู้รบที่รุนแรงในเวลาต่อมา
ต้นสนต้นนั้นก็ถูกทำลายฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กองทัพออสเตรเลียต้องใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที
ในการบุกเข้าแนวป้องกัน/ค่ายคูสนามเพลาะของตุรกี
แต่การสู้รบที่ดุเดือดเลือดพล่านกลับต้องใช้เวลาถึง 5 วัน
ภายในค่ายคูสนามเพลาะที่เสมือนเขาวงกต
ที่ค่อนข้างคับแคบและสลับซับซ้อนเป็นร่องลึก
ทั้งทหารออสเตรเลียและทหารตุรกีต่างต่อสู้กัน
ด้วยการขว้างปาระเบิดมือและใช้ดาบปลายปืนเข้าปะทะกันตัวต่อตัว
แทนที่จะยิงปืนเข้าใส่เพราะอาจจะเสี่ยงต่อยิงถูกเพื่อนทหารด้วยกันในความมืดสลัว
บางครั้งพวกทหารต่างขว้างระเบิดมือใส่ซึ่งกันและกัน
แต่ระเบิดมือมีช่วงปลอดระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะระเบิด
ทำให้มักจะมีการโยนกลับหรือโยนไปข้างหน้าก่อนที่จะระเบิด
ผลการสู้รบที่ Lone Pine
ทหารออสเตรเลียจาก 6 กองพัน
เสียชีวิต 2,287 นายรวมทั้งนายทหาร 80 นาย
และทหารตุรกีเสียชีวิตประมาณ 7,000 ราย
จนทางการตุรกีตั้งชื่อว่า สันเขาเลือด

Detail from “The taking of Lone Pine”, 1921, oil-on-canvas, by Fred Leist.
หลังจากการสู้รบยุติลง
ทหารออสเตรเลียบางรายได้หยิบกรวยสนหลายลูก
(กรวยสนจะมีเมล็ดสนอยู่ภายในหลายเมล็ดมาก
เมล็ดสน บางสายพันธุ์สามารถรับประทานได้)
กรวยสนที่ปะปนอยู่กับกิ่งก้านและต้นสน
ที่ทหารตุรกีตัดลงมาเพื่อทำที่กำบังในค่ายคูสนามรบ
ทหารออสเตรเลียหลายคนได้หยิบกรวยสนกลับบ้านที่ออสเตรเลีย
ตำนานแรก จ่า Keith McDowell จากกองพันทหารราบที่ 23
ได้หยิบกรวยสนจากซากต้นสนที่เหลือเป็นต้นสุดท้าย (Lone Pine Tree)
ท่านได้ใส่กรวยสนไว้ในกระเป๋าเป้ทหารของท่าน
เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการรบที่ผ่านมา
และเมื่อท่านเดินทางกลับถึงบ้านที่ออสเตรเลีย
ท่านได้มอบกรวยสนลูกนี้ให้กับ Emma Gray ป้าของท่าน
ที่พักอาศัยอยู่ใกล้กับ
Warrnambool รัฐ
Victoria
หลายปีต่อมา
Emma Gray ได้นำกรวยสนลงดินเพื่อปลูก
และมีต้นกล้า 4 ต้นที่งอกขึ้นมา
ซึ่งต้นกล้าดังกล่าวได้มีการนำไปปลูก
ในสถานที่ต่าง ๆ 4 แห่งในรัฐ Victoria
Wattle Park และ
Shrine of Remembrance ใน
Melbourne
Soldiers Memorial Hall ที่ The Sisters ใกล้กับ Terang และ
Warrnambool Botanic
ผลการศึกษาจาก
Mike Wilcox นักพฤกษศาสตร์จากนิวซีเแลนด์
David Spencer กับ Roger Arnold นักวิทยาศาสตร์ด้านป่าไม้จากออสเตรเลีย
ได้รายงานใน Australian Geographic Magazine ในปี 2011
ยืนยันว่าต้นสน Lone Pine ที่ Melbourne Shrine of Remembrance
คือสายพันธุ์
Pinus brutia เป็นต้นไม้พื้นถิ่น Gallipoli Peninsula
แต่นัยสำคัญของการวิเคราะห์ต้นสนครั้งนี้
คือ ความทรงจำทางประวัติศาสตร์
วีรกรรมทหารออสเตรเลียและตุรกี
ที่ต่างสู้รบจนตายในสนามรบ Lone Pine
ตำนานที่สอง สิบตรี Benjamin Charles Smith จากกองพันทหารราบที่ 3
ได้หยิบกรวยสนจำนวนมากจากสถานที่รบ
แล้วส่งกลับไปให้ Jane McMullin แม่ที่ออสเตรเลีย
เพื่อรำลึกถึง Mark น้องชายที่เสียชีวิตในวันที่ 6 สิงหาคม ปีนั้น
อีก 13 ปีต่อมา
Jane McMullin จึงได้พยายามที่จะเพาะต้นสนหลายต้นมาก
แต่เมล็ดสนงอกขึ้นบางส่วน มีเพียงกล้าสน 2 ต้นที่รอดตาย
ต้นหนึ่งจึงปลูกไว้ที่บ้านเกิดของเธอ
Inverell ในรัฐ
New South Wales
เพื่อรำลึกถึงลูกชายทั้งสองคนของเธอ
และอีกต้นนำไปปลูกที่
Australian War Memorial ใน
Canberra
เพื่อรำลึกถึงหทารกล้าหาญทุกนายที่เสียชีวิตในสงคราม Lone Pine
ในทุก ๆ ปีเมล็ดต้นสนหลายร้อยเมล็ด
จะถูกเก็บรวบรวมจากต้นสนเหล่านี้
แล้วนำไปปลูกไว้ทั่วออสเตรเลีย
เพื่อรำลึกถึงการสู้รบที่รุนแรงที่เมือง Gallipoli เมื่อ 100 กว่าปีก่อน
ทุกวันนี้ยังสามารถซื้อกล้าต้นสน Lone Pine
ได้ที่
Australian War Memorial
และที่
The Gallipoli lone pine
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/2Lm95Pd
http://bit.ly/2Mr0AYC
http://bit.ly/2wjE0Xe
http://bit.ly/2BRXJDt
เรื่องเล่าไร้สาระ
มีรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ที่ระบุว่า ต้นตาลโตนดมีสายพันธู์มาจากอินเดีย
โดยพ่อค้า นักเดินเรือ นักบวช นำมาปลูกหรือทิ้งให้งอกในพื้นที่
ต่อมา มีการนำไปปลูกขยายพันธุ์มากแถวสุโขทัย เพชรบุรี เขมร
ที่เขมรจะนิยมปลูกต้นตาลโตนดเป็นแนวรั้ว/แนวเขตเมือง
จนมีคำพูดกันเล่นว่า จะดูว่าเป็นเขตเขมรหรือญวน ให้ดูที่ต้นตาลโตนด
แต่สายพันธุ์ต้นตาลโตนด ยังไม่มีการนำไปตรวจ DNA อย่างจริงจัง
ที่สงขลา มีอำเภอชื่อ ระโนฎ
สะกดตามพงศาวดารเมืองสงขลา
โดย พระยาวิเชียรคิรี(ชม) เจ้าเมืองสงขลา
สอบถาม ปแฏง มหา บุญเรือง คัชมาย์
ระโนฎ ภาษาเขมรคือ ตะโนด ตะโหนด=ต้นตาลโตนด
มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ
ที่มา
เปรมินทร์ คาระวี
สมัยก่อนที่คาบสมุทรจะทิ้งพระ
(จะทิ้ง=ชัก เดิมมีประเพณีลอยเรือชักพระทางเรือในทะเล)
แถวอำเภอจะทิ้งพระ อำเภอระโนฏ
จะมีการปลูกต้นตาลโตนดจำนวนมากพอ ๆ กัน
นัยว่าเป็นแนวเขตที่ดินของแต่ละคน
ทั้งยังช่วยชักน้ำจากดิน จับความชื้นจากอากาศ เป็นร่มเงา
เป็นที่ล่ามวัวและนำมาใช้สารพัดประโยชน์
ส่วนที่นิยมมากที่สุดคือ หวาก (น้ำตาลเมา)
รสชาติดีต้องใส่เศษไม้เคี่ยม
จึงมีรสขม/บูดช้าเหมือนดอก Hop ที่ใส่ในเบียร์
ยุคเขมรแดงชอบเอาทางใบตาล
ปาดคอนักโทษเพื่อลงโทษให้ตาย
มีตำนานเวลาสู่ขอลูกสาว
ระหว่างคนจะทิ้งพระกับคนระโนฎ
ต่างฝ่ายต่างต้องถ่อมตนไว้(เล่ห์)เหลี่ยมว่า
ต้นตาลโตนดบ้านตนน้อยกว่าบ้านเตินต้นเดียว
ไม่กล้าข่มทับว่ามีมากกว่า
นัยกลัวว่าจะไม่ได้แต่งงาน/ได้ลูกสาวอีกฝ่ายมาเป็นภริยา
เติน เป็นคำเรียกอีกฝ่ายแบบคำไทยโบราณ สู คิง แก ม.ง เอ็ง
ที่ใช้แบบกันเองหรือใช้เหยียด(หยาม)อีกฝ่าย แล้วแต่บริบท
ยังมีตำนาน สมเด็จวัดพะโคะ/หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
ตอนที่ท่านยังเป็นทารก พ่อแม่ต้องไปทำนา
แม่ท่านได้วางท่านนอนหลบแดดที่ใต้ต้นตาลโตนด
แล้วขอฝากพระแม่ธรณี/สิ่งศักดิสิทธิ์คุ้มครองท่าน
พอพ่อแม่ท่านไถนาเสร็จกลับไปดูท่าน
ก็เจอทวดงูบ้องหลา(จงอาง) แผ่แม่เบี้ยบังแดดเหนือศีรษะของท่าน
(ทวด คือ ตัวใหญ่มาก อายุมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก)
พ่อแม่จึงสวดอ้อนวอนขอชีวิตท่าน
ทวดงูบ้องหลาจึงคายลูกแก้วดวงหนึ่งไว้ที่พื้นก่อนเลื้อยหายไป
ทุกวันนี้ ลูกแก้วในตำนานยังอยู่ที่วัดพะโคะ
แต่ถูกผู้ชายบ้าคนหนึ่งขโมยไปทุบแตก
ต้องรวบรวมขึ้นเป็นลูกแก้วแล้วเก็บรักษาไว้
ต่อมาถึงยุค กุ้งกินโหนด
คือ การเลี้ยงกุ้งกุลาดำแล้วขาดทุน
จนต้องขายที่ขายทาง โฉนดที่ดินถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
ที่ระโนฏก็มีการรื้อที่นาเพื่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำกันมาก
จนที่นาต้นตาลโตนดที่ใกล้กับนากุ้งกุดาดำ
ค่อย ๆ ทะยอยตายซากเพราะน้ำเค็ม
ยิ่งตอนที่มีนายทุนใหญ่อังกฤษไปร่วมลงทุน
สร้าง
Jetty คลองชักน้ำจากทะเลรวม 10 ตัว
เพื่อชักน้ำทะเลเข้าไปในนาเลี้ยงกุ้งกุดาดำ
ทำให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำ
มีการสร้างเครือข่ายพันธสัญญา
มีเกษตรกรร่วมวงศ์ไพบูลย์หลายพันนาย
ที่นาเดิมกลายเป็นนากุ้งหลายพันไร่
จนต่อมามีมหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นจนเป็นตำนาน
ผมยังเคยไปดูตัว Jetty และรับฟังตำนานคราวนั้น
ผลของการเลี้ยงกุ้งกุลาดำจำนวนมากครานั้น
ทำให้ต้นตาลโตนดตายไปเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งที่นาใกล้เคียงเสียหาย
ที่ดินเลี้ยงกุ้งกุลาดำเสียหาย/ฟื้นฟูยากมาก
แม้ว่าจะมีการปลูกปาล์มน้ำมันในที่ดินนากุ้งเดิม
แต่ก็ต้องยกร่อง/ปรับปรุงคุณภาพดินมาก เพราะดินเค็ม
จากเมล็ดต้นสนเพียงต้นเดียวที่ปลูกทั่วประเทศออสเตรเลีย
World War I: Gallipoli Campaign
The Lone Pine Cemetery at Gallipoli. Photo credit: Jorge Láscar/Flickr
อนุสรณ์สถานที่เกี่ยวกับสงครามหลายแห่งทั่วประเทศออสเตรเลีย
จะมีการปลูกต้นสนในบริเวณดังกล่าว
ต้นไม้เหล่านี้เรียกว่า Lone Pines
และบรรพบุรุษของต้นสนเหล่านี้
จะสามารถสืบย้อนกลับไปยังสายพันธุ์ต้นสนพื้นเมืองเพียงต้นเดียว
จากหมู่ต้นสนที่เคยยืนตระหง่านอยู่ในบริเวณสนามรบที่นองเลือดมากที่สุด
คือ สงครามขั้นแตกหัก Gallipoli Campaign ที่เคยเกิดขึ้นที่นั่น
สงคราม Lone Pine มีการสู้รบกันรอบ ๆ อ่าวเล็ก ๆ Anzac Cove
หรือที่เรียกกันว่า Plateau 400 แถวคาบสมุทร Gallipoli ในประเทศตุรกี
ในปี 1915 สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังเข้าขั้นแตกหัก
กลุ่มพันธมิตรที่มีกองกำลังผสมออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์
ที่ต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันที่คาบสมุทร Gallipoli
เริ่มส่ออาการไม่ค่อยดีแล้วในการสู้รบ
กลุ่มพันธมิตรจึงได้ตัดสินใจ
ที่จะเบี่ยงแบนความสนใจจักรวรรดิออตโตมัน
ด้วยการรุกรบเอาชัยที่ Anzac Cove
ก่อนไปโจมตีหนักที่ Sari Bair Chunuk Bair และ Hill 971 เนินเขาสูงสุดของบริเวณสู้รบ
400 Plateau Aerial GALLIPOLI
วันที่ 6 สิงหาคม 1915
2 วันก่อนที่จะเริ่มทำการโจมตี Chunuk Bair
กองทหารราบที่ 1 ของออสเตรเลียได้ทำการรุกหนักที่ Plateau 400 ใน Anzac Cove
บนสันเขาแนวที่ราบสูงที่เคยปกคลุมไปด้วยต้นสนจำนวนหลายต้น
เป็นต้นสนพื้นเมืองของตุรกี สายพันธุ์ Pinus brutia
แต่กองทัพตุรกีได้ตัดต้นสนทิ้งเพื่อเสริมสร้างร่องคูแนวรบ/สนามเพลาะ
เหลือแต่เฉพาะต้นสนเพียงต้นเดี่ยวที่ยืนโด่เด่ไว้
แต่ไม่นาน หลังการสู้รบที่รุนแรงในเวลาต่อมา
ต้นสนต้นนั้นก็ถูกทำลายฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กองทัพออสเตรเลียต้องใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที
ในการบุกเข้าแนวป้องกัน/ค่ายคูสนามเพลาะของตุรกี
แต่การสู้รบที่ดุเดือดเลือดพล่านกลับต้องใช้เวลาถึง 5 วัน
ภายในค่ายคูสนามเพลาะที่เสมือนเขาวงกต
ที่ค่อนข้างคับแคบและสลับซับซ้อนเป็นร่องลึก
ทั้งทหารออสเตรเลียและทหารตุรกีต่างต่อสู้กัน
ด้วยการขว้างปาระเบิดมือและใช้ดาบปลายปืนเข้าปะทะกันตัวต่อตัว
แทนที่จะยิงปืนเข้าใส่เพราะอาจจะเสี่ยงต่อยิงถูกเพื่อนทหารด้วยกันในความมืดสลัว
บางครั้งพวกทหารต่างขว้างระเบิดมือใส่ซึ่งกันและกัน
แต่ระเบิดมือมีช่วงปลอดระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะระเบิด
ทำให้มักจะมีการโยนกลับหรือโยนไปข้างหน้าก่อนที่จะระเบิด
ผลการสู้รบที่ Lone Pine
ทหารออสเตรเลียจาก 6 กองพัน
เสียชีวิต 2,287 นายรวมทั้งนายทหาร 80 นาย
และทหารตุรกีเสียชีวิตประมาณ 7,000 ราย
จนทางการตุรกีตั้งชื่อว่า สันเขาเลือด
Detail from “The taking of Lone Pine”, 1921, oil-on-canvas, by Fred Leist.
หลังจากการสู้รบยุติลง
ทหารออสเตรเลียบางรายได้หยิบกรวยสนหลายลูก
(กรวยสนจะมีเมล็ดสนอยู่ภายในหลายเมล็ดมาก
เมล็ดสน บางสายพันธุ์สามารถรับประทานได้)
กรวยสนที่ปะปนอยู่กับกิ่งก้านและต้นสน
ที่ทหารตุรกีตัดลงมาเพื่อทำที่กำบังในค่ายคูสนามรบ
ทหารออสเตรเลียหลายคนได้หยิบกรวยสนกลับบ้านที่ออสเตรเลีย
ตำนานแรก จ่า Keith McDowell จากกองพันทหารราบที่ 23
ได้หยิบกรวยสนจากซากต้นสนที่เหลือเป็นต้นสุดท้าย (Lone Pine Tree)
ท่านได้ใส่กรวยสนไว้ในกระเป๋าเป้ทหารของท่าน
เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการรบที่ผ่านมา
และเมื่อท่านเดินทางกลับถึงบ้านที่ออสเตรเลีย
ท่านได้มอบกรวยสนลูกนี้ให้กับ Emma Gray ป้าของท่าน
ที่พักอาศัยอยู่ใกล้กับ Warrnambool รัฐ Victoria
หลายปีต่อมา
Emma Gray ได้นำกรวยสนลงดินเพื่อปลูก
และมีต้นกล้า 4 ต้นที่งอกขึ้นมา
ซึ่งต้นกล้าดังกล่าวได้มีการนำไปปลูก
ในสถานที่ต่าง ๆ 4 แห่งในรัฐ Victoria
Wattle Park และ Shrine of Remembrance ใน Melbourne
Soldiers Memorial Hall ที่ The Sisters ใกล้กับ Terang และ Warrnambool Botanic
ผลการศึกษาจาก
Mike Wilcox นักพฤกษศาสตร์จากนิวซีเแลนด์
David Spencer กับ Roger Arnold นักวิทยาศาสตร์ด้านป่าไม้จากออสเตรเลีย
ได้รายงานใน Australian Geographic Magazine ในปี 2011
ยืนยันว่าต้นสน Lone Pine ที่ Melbourne Shrine of Remembrance
คือสายพันธุ์ Pinus brutia เป็นต้นไม้พื้นถิ่น Gallipoli Peninsula
แต่นัยสำคัญของการวิเคราะห์ต้นสนครั้งนี้
คือ ความทรงจำทางประวัติศาสตร์
วีรกรรมทหารออสเตรเลียและตุรกี
ที่ต่างสู้รบจนตายในสนามรบ Lone Pine
ตำนานที่สอง สิบตรี Benjamin Charles Smith จากกองพันทหารราบที่ 3
ได้หยิบกรวยสนจำนวนมากจากสถานที่รบ
แล้วส่งกลับไปให้ Jane McMullin แม่ที่ออสเตรเลีย
เพื่อรำลึกถึง Mark น้องชายที่เสียชีวิตในวันที่ 6 สิงหาคม ปีนั้น
อีก 13 ปีต่อมา
Jane McMullin จึงได้พยายามที่จะเพาะต้นสนหลายต้นมาก
แต่เมล็ดสนงอกขึ้นบางส่วน มีเพียงกล้าสน 2 ต้นที่รอดตาย
ต้นหนึ่งจึงปลูกไว้ที่บ้านเกิดของเธอ Inverell ในรัฐ New South Wales
เพื่อรำลึกถึงลูกชายทั้งสองคนของเธอ
และอีกต้นนำไปปลูกที่ Australian War Memorial ใน Canberra
เพื่อรำลึกถึงหทารกล้าหาญทุกนายที่เสียชีวิตในสงคราม Lone Pine
ในทุก ๆ ปีเมล็ดต้นสนหลายร้อยเมล็ด
จะถูกเก็บรวบรวมจากต้นสนเหล่านี้
แล้วนำไปปลูกไว้ทั่วออสเตรเลีย
เพื่อรำลึกถึงการสู้รบที่รุนแรงที่เมือง Gallipoli เมื่อ 100 กว่าปีก่อน
ทุกวันนี้ยังสามารถซื้อกล้าต้นสน Lone Pine
ได้ที่ Australian War Memorial
และที่ The Gallipoli lone pine
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/2Lm95Pd
http://bit.ly/2Mr0AYC
http://bit.ly/2wjE0Xe
http://bit.ly/2BRXJDt
สนามเพลาะ Lone Pine หลังการรบ มีศพทหาร Australian และ Turkish ข้างบน
กองพันทหารราบที่ 1 ยึดแนวสนามเพลาะตุรกีได้ 80 หลาใกล้สนามเพลาะ Jacob
กำลังรอกองหนุนกองพันทหารราบที่ 7 Photo credit: Australian War Memorial
Photo credit: ArchivesACT/Flickr
Lone Pine at the Australian War Memorial in Canberra. Photo credit: Bidgee/Wikimedia
Lone Pine at Wattle Park, Melbourne. Photo credit: Melburnian/Wikimedia
ต้นแอปเปิ้ลของ Sir Issac Newton
เรื่องเล่าไร้สาระ
มีรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ที่ระบุว่า ต้นตาลโตนดมีสายพันธู์มาจากอินเดีย
โดยพ่อค้า นักเดินเรือ นักบวช นำมาปลูกหรือทิ้งให้งอกในพื้นที่
ต่อมา มีการนำไปปลูกขยายพันธุ์มากแถวสุโขทัย เพชรบุรี เขมร
ที่เขมรจะนิยมปลูกต้นตาลโตนดเป็นแนวรั้ว/แนวเขตเมือง
จนมีคำพูดกันเล่นว่า จะดูว่าเป็นเขตเขมรหรือญวน ให้ดูที่ต้นตาลโตนด
แต่สายพันธุ์ต้นตาลโตนด ยังไม่มีการนำไปตรวจ DNA อย่างจริงจัง
ที่สงขลา มีอำเภอชื่อ ระโนฎ
สะกดตามพงศาวดารเมืองสงขลา
โดย พระยาวิเชียรคิรี(ชม) เจ้าเมืองสงขลา
สอบถาม ปแฏง มหา บุญเรือง คัชมาย์
ระโนฎ ภาษาเขมรคือ ตะโนด ตะโหนด=ต้นตาลโตนด
มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ
ที่มา เปรมินทร์ คาระวี
สมัยก่อนที่คาบสมุทรจะทิ้งพระ
(จะทิ้ง=ชัก เดิมมีประเพณีลอยเรือชักพระทางเรือในทะเล)
แถวอำเภอจะทิ้งพระ อำเภอระโนฏ
จะมีการปลูกต้นตาลโตนดจำนวนมากพอ ๆ กัน
นัยว่าเป็นแนวเขตที่ดินของแต่ละคน
ทั้งยังช่วยชักน้ำจากดิน จับความชื้นจากอากาศ เป็นร่มเงา
เป็นที่ล่ามวัวและนำมาใช้สารพัดประโยชน์
ส่วนที่นิยมมากที่สุดคือ หวาก (น้ำตาลเมา)
รสชาติดีต้องใส่เศษไม้เคี่ยม
จึงมีรสขม/บูดช้าเหมือนดอก Hop ที่ใส่ในเบียร์
ยุคเขมรแดงชอบเอาทางใบตาล
ปาดคอนักโทษเพื่อลงโทษให้ตาย
มีตำนานเวลาสู่ขอลูกสาว
ระหว่างคนจะทิ้งพระกับคนระโนฎ
ต่างฝ่ายต่างต้องถ่อมตนไว้(เล่ห์)เหลี่ยมว่า
ต้นตาลโตนดบ้านตนน้อยกว่าบ้านเตินต้นเดียว
ไม่กล้าข่มทับว่ามีมากกว่า
นัยกลัวว่าจะไม่ได้แต่งงาน/ได้ลูกสาวอีกฝ่ายมาเป็นภริยา
เติน เป็นคำเรียกอีกฝ่ายแบบคำไทยโบราณ สู คิง แก ม.ง เอ็ง
ที่ใช้แบบกันเองหรือใช้เหยียด(หยาม)อีกฝ่าย แล้วแต่บริบท
ยังมีตำนาน สมเด็จวัดพะโคะ/หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
ตอนที่ท่านยังเป็นทารก พ่อแม่ต้องไปทำนา
แม่ท่านได้วางท่านนอนหลบแดดที่ใต้ต้นตาลโตนด
แล้วขอฝากพระแม่ธรณี/สิ่งศักดิสิทธิ์คุ้มครองท่าน
พอพ่อแม่ท่านไถนาเสร็จกลับไปดูท่าน
ก็เจอทวดงูบ้องหลา(จงอาง) แผ่แม่เบี้ยบังแดดเหนือศีรษะของท่าน
(ทวด คือ ตัวใหญ่มาก อายุมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก)
พ่อแม่จึงสวดอ้อนวอนขอชีวิตท่าน
ทวดงูบ้องหลาจึงคายลูกแก้วดวงหนึ่งไว้ที่พื้นก่อนเลื้อยหายไป
ทุกวันนี้ ลูกแก้วในตำนานยังอยู่ที่วัดพะโคะ
แต่ถูกผู้ชายบ้าคนหนึ่งขโมยไปทุบแตก
ต้องรวบรวมขึ้นเป็นลูกแก้วแล้วเก็บรักษาไว้
ต่อมาถึงยุค กุ้งกินโหนด
คือ การเลี้ยงกุ้งกุลาดำแล้วขาดทุน
จนต้องขายที่ขายทาง โฉนดที่ดินถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด
ที่ระโนฏก็มีการรื้อที่นาเพื่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำกันมาก
จนที่นาต้นตาลโตนดที่ใกล้กับนากุ้งกุดาดำ
ค่อย ๆ ทะยอยตายซากเพราะน้ำเค็ม
ยิ่งตอนที่มีนายทุนใหญ่อังกฤษไปร่วมลงทุน
สร้าง Jetty คลองชักน้ำจากทะเลรวม 10 ตัว
เพื่อชักน้ำทะเลเข้าไปในนาเลี้ยงกุ้งกุดาดำ
ทำให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำ
มีการสร้างเครือข่ายพันธสัญญา
มีเกษตรกรร่วมวงศ์ไพบูลย์หลายพันนาย
ที่นาเดิมกลายเป็นนากุ้งหลายพันไร่
จนต่อมามีมหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นจนเป็นตำนาน
ผมยังเคยไปดูตัว Jetty และรับฟังตำนานคราวนั้น
ผลของการเลี้ยงกุ้งกุลาดำจำนวนมากครานั้น
ทำให้ต้นตาลโตนดตายไปเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งที่นาใกล้เคียงเสียหาย
ที่ดินเลี้ยงกุ้งกุลาดำเสียหาย/ฟื้นฟูยากมาก
แม้ว่าจะมีการปลูกปาล์มน้ำมันในที่ดินนากุ้งเดิม
แต่ก็ต้องยกร่อง/ปรับปรุงคุณภาพดินมาก เพราะดินเค็ม
เพิ่มเติม http://bit.ly/2BGNpxJ