บริษัทหนึ่งเป็นเป็นเสาหลักทำกำไรให้แม่ PTT ต่อเนื่อง อย่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTGC ด้วยสุขภาพทางการเงินแข็งแกร่งยิ่ง หนี้ต่ำ และ กำไรสะสมมาก มีเรื่องราวให้กังวลในอนาคต 2 เรื่องใหญ่ด้วยกันคือ 1) ปริมาณแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทยที่เคยเป็นวัตถุดิบป้อนราคาต่ำยาวนาน นับวันร่อยหรอลง 2) การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อสร้างอนาคตยังเป็นแค่พิมพ์เขียวในแผนยุทธศาสตร์บริษัท วี่แววว่าจะมีการลงทุนจริงจังยังไม่เริ่มขึ้นเป็นรูปธรรมและเป็นทางการ
ภาวะเช่นนี้ เปรียบได้กับ"คนใช้เงินไม่เป็น" หรือไม่ก็"เอาก้อนหินถ่วงขาตัวเอง" ซึ่งส่งให้ราคาหุ้นยากจะทะลุทะลวงเกิน 100.00 บาทได้ กลายเป็นแนวต้านจิตวิทยาที่ผ่านได้ลำบากมาก ทั้งที่ว่าไปแล้วค่าพี/อีที่ระดับราคาดังกล่าวไม่เกิน 8 เท่าด้วยซ้ำไป และถูกมากไปอีกเมื่อเทียบกับบุ๊กแวลลูที่ระดับล่าสุด 63.70 บาท
ผลลัพธ์ทำให้ PTTGC กลายเป็นหุ้นดีราคาถูกเกินอย่างเลี่ยงไม่พ้น สร้างความอิดหนาระอาใจให้กับกองเชียร์อย่างมาก เพราะ"เชียร์ไม่ขึ้น"
4 ปีที่ผ่านมา PTTGC พยายามยามขยับตัวแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่เริ่มบีบรัดมาเรื่อย ๆ พร้อมกัน คือ หาทางศึกษาแผนการจัดหาวัตถุดิบใหม่ เพื่อรองรับการผลิตปิโตรเคมีของบริษัท หลังปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วง 7-8 ปีข้างหน้า พร้อมไปกับร่วมศึกษาแผนขยายการลงทุนไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในแหล่งพื้นที่ที่มีวัตถุดิบราคาไม่แพง เพื่อเสริมการเติบโตในอนาคต เช่นการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ มูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในสหรัฐ ซึ่งจะใช้ shale gas เป็นวัตถุดิบ
แผนใหญ่ที่เงื้อง่ามายาวนานหลายปี ยังคงถูกเงื้อง่าต่อไป ข่าวคราวที่จะมีการลงทุนมีการฉายซ้ำจนเหลือแต่อนาคตที่รางเลือน
กำไรสะสมที่มีอยู่มากมายมหาศาลยังไม่ถูกนำไปต่ออดสร้างอนาคตใหม่ ดูผิวเผินก็ดูดีในแง่ตัวเลข แต่ในทางยุทธศาสตร์ธุรกิจ หมายถึงการเสียโอกาสที่ปล่อยเวลาผ่านไป เพิ่มแรงกดดัน
4 ปีก่อนบอกว่าเหลือเวลาอีก 7-8 ปีสำหรับการจัดการเรื่องวัตถุดิบที่ป้อนแหล่งผลิต แต่ปีนี้ ก็คงต้องบอกว่า เวลาเหลืออีกไม่เกิน 4 ปี
จะเห็นได้ว่า ช่วงเวลา 3 ปีมานี้คือสถานการณ์ที่ PTTGC ต้องอ"เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ใน 2 ด้านคือ ด้านหนึ่งการแต่งตัวบริษัทร่วมลงทุนอย่าง GPSC และ GGC เข้าระดมทุนในตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่า อีกด้านหนึ่งการเทกโอเวอร์หรือร่วมทุนในกิจการเกี่ยวเนื่องด้านอุตสาหกรรมปิดตรเคมีกลางหรือปลายน้ำขนาดกลางหรือเล็ก
ยุทธศาสตร์ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านนี้ มีผลดีตรงที่ทำให้กำไรสุทธิและบุ๊กแวลลู ของ PTTGC ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานที่น่ากังวล นั่นคือต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ห่ายากขึ้น
กำไรสุทธิที่โดเด่นของPTTGC ในงวดไตรมาสสองของปีนี้ ที่เติบโตเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนถึง 64% แม้รับรู้ความเสียหายวัตถุดิบ GGC หาย 1,388 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 128,923 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% มี Adjusted EBITDA ที่ระดับ 15,902 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 10,828 ล้านบาท ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิรวม 23,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็ยังไม่อาจซ่อนหรืออำพรางความเปราะบางได้แนบสนิท
นักวิเคราะห์บางสำนักแยกแยะออกมาถึงจุดเด่น และจุดด้อยได้ดีกล่าวคือ 1) ราคาผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์เฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มเป็น 104% 2) ราคาผลิตภัณฑ์สายธุรกิจ Performance Materials & Chemical มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอลและบิสฟีนอลเอที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3) ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากค่าการกลั่นที่ยังดี4) ธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรที่ลดลง 5) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนปรับตัวลดลง โดยเป็นผลจากการกำไรที่ลดลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากหนี้สกุลเหรียญสหรัฐของบริษัทร่วม 6) มีกำไรจากสต็อก 2.7 พันล้านบาท กำไรจาก FX 545 ล้านบาท ที่สามารถหักกลบตัวเลขขาดทุนในสต็อก GGC ได้
ข้อมูลผลประกอบการข้างต้น ทำให้ตัวเลขกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 183,961 ล้านบาท แม้จะดี แต่ก็เกินจำเป็นเพราะบริษัทมียอดหนี้ต่ำ ค่าดี/อีแค่ 0.6 เท่า แต่มีสภาพคล่องสูงมาก อัตราส่วนสภาพคล่องมากกว่า 2.2 เท่า แต่ยังซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่ากำไรที่เยอะเป็นพิเศษมาจากความได้เปรียบจากราคาวัตถุดิบที่ต่ำกว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นก็ได้เปรียบผู้ผลิตที่ใช้แนฟทา(ผลผลิตจากน้ำมันดิบ) เป็นวัตถุดิบเนื่องจากราคาวัตถุดิบก๊าซที่ผลิตใช้เป็นวัตถุดิบปรับขึ้นช้ากว่าแนฟทา
โดยสรุปแบบสั้นๆคือ ปัจจุบันที่ดี ไม่สามารถบ่งชี้อนาคตอันง่อนแง่นได้ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดที่พี/อีแค่ 7 เท่า แล้วมีเพดานแนวต้านไม่เคยเกิน 100.00 บาท ทั้งที่เป็นราคาหุ้นปิโตรเคมีกลางน้ำที่ถูกที่สุดในเอเชีย ซึ่งค่าพี/อีเฉลี่ยมากกวา 11 เท่า บ่งบอกว่ามีความกังวลอะไรบางอย่างของนักลงทุนสถาบันและฟันด์โฟลว์อยู่พอสมควร
ถ้าเดาไม่ผิด "อะไรบางอย่าง" นั่นคือการลงทุนใหม่และต้นทุนวัตถุดิบทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้มายาวนานในราคาต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น ที่จะบั่นทอนความสามารถทำกำไรในอนาคตลงไป
ล่าสุด เราก็ยังได้ยิน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC ออกมาพูดซ้ำๆถึง ความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐว่า จะพยายามให้จบภายในไตรมาสแรกปี 2562 ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความรอบคอบเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูง แต่ในส่วนของผู้ร่วมทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง
คำพูด"ฉายหนังม้วนเดิม"สะท้อนให้เห็นความไม่มั่นใจในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ
ขนาดผู้บริหารยังไม่มั่นใจ จะให้นักลงทุนมั่นใจได้อย่างไรกัน
อนาคตที่คลุมเครือของ PTTGC จึงเห็นได้จากปัจจุบันที่มีแต่การลงทุนขนาดเล็ก ตัวอย่างล่าสุดเช่นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท Siam Mitsui PTA Company Limited (SMPC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์กรดบริสุทธิ์เทเรพาธิค (PTA) ในสัดส่วน 74% และ Thai PET Resin Company Limited (TPRC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ในสัดส่วน 74% ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCG Chemicals) และบริษัท Mitsui Chemicals, Inc. (MCI) คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,148 ล้านบาท ก็ไม่มีนัยต่อกำไรส่วนเพิ่มมากนัก แบกรับอนาคตที่ง่อนแง่น ซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3384
PTTGC เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านซื้อเวลา
ภาวะเช่นนี้ เปรียบได้กับ"คนใช้เงินไม่เป็น" หรือไม่ก็"เอาก้อนหินถ่วงขาตัวเอง" ซึ่งส่งให้ราคาหุ้นยากจะทะลุทะลวงเกิน 100.00 บาทได้ กลายเป็นแนวต้านจิตวิทยาที่ผ่านได้ลำบากมาก ทั้งที่ว่าไปแล้วค่าพี/อีที่ระดับราคาดังกล่าวไม่เกิน 8 เท่าด้วยซ้ำไป และถูกมากไปอีกเมื่อเทียบกับบุ๊กแวลลูที่ระดับล่าสุด 63.70 บาท
ผลลัพธ์ทำให้ PTTGC กลายเป็นหุ้นดีราคาถูกเกินอย่างเลี่ยงไม่พ้น สร้างความอิดหนาระอาใจให้กับกองเชียร์อย่างมาก เพราะ"เชียร์ไม่ขึ้น"
4 ปีที่ผ่านมา PTTGC พยายามยามขยับตัวแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่เริ่มบีบรัดมาเรื่อย ๆ พร้อมกัน คือ หาทางศึกษาแผนการจัดหาวัตถุดิบใหม่ เพื่อรองรับการผลิตปิโตรเคมีของบริษัท หลังปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วง 7-8 ปีข้างหน้า พร้อมไปกับร่วมศึกษาแผนขยายการลงทุนไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในแหล่งพื้นที่ที่มีวัตถุดิบราคาไม่แพง เพื่อเสริมการเติบโตในอนาคต เช่นการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ มูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในสหรัฐ ซึ่งจะใช้ shale gas เป็นวัตถุดิบ
แผนใหญ่ที่เงื้อง่ามายาวนานหลายปี ยังคงถูกเงื้อง่าต่อไป ข่าวคราวที่จะมีการลงทุนมีการฉายซ้ำจนเหลือแต่อนาคตที่รางเลือน
กำไรสะสมที่มีอยู่มากมายมหาศาลยังไม่ถูกนำไปต่ออดสร้างอนาคตใหม่ ดูผิวเผินก็ดูดีในแง่ตัวเลข แต่ในทางยุทธศาสตร์ธุรกิจ หมายถึงการเสียโอกาสที่ปล่อยเวลาผ่านไป เพิ่มแรงกดดัน
4 ปีก่อนบอกว่าเหลือเวลาอีก 7-8 ปีสำหรับการจัดการเรื่องวัตถุดิบที่ป้อนแหล่งผลิต แต่ปีนี้ ก็คงต้องบอกว่า เวลาเหลืออีกไม่เกิน 4 ปี
จะเห็นได้ว่า ช่วงเวลา 3 ปีมานี้คือสถานการณ์ที่ PTTGC ต้องอ"เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ใน 2 ด้านคือ ด้านหนึ่งการแต่งตัวบริษัทร่วมลงทุนอย่าง GPSC และ GGC เข้าระดมทุนในตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่า อีกด้านหนึ่งการเทกโอเวอร์หรือร่วมทุนในกิจการเกี่ยวเนื่องด้านอุตสาหกรรมปิดตรเคมีกลางหรือปลายน้ำขนาดกลางหรือเล็ก
ยุทธศาสตร์ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านนี้ มีผลดีตรงที่ทำให้กำไรสุทธิและบุ๊กแวลลู ของ PTTGC ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานที่น่ากังวล นั่นคือต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ห่ายากขึ้น
กำไรสุทธิที่โดเด่นของPTTGC ในงวดไตรมาสสองของปีนี้ ที่เติบโตเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนถึง 64% แม้รับรู้ความเสียหายวัตถุดิบ GGC หาย 1,388 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 128,923 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% มี Adjusted EBITDA ที่ระดับ 15,902 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 10,828 ล้านบาท ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิรวม 23,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็ยังไม่อาจซ่อนหรืออำพรางความเปราะบางได้แนบสนิท
นักวิเคราะห์บางสำนักแยกแยะออกมาถึงจุดเด่น และจุดด้อยได้ดีกล่าวคือ 1) ราคาผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์เฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มเป็น 104% 2) ราคาผลิตภัณฑ์สายธุรกิจ Performance Materials & Chemical มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอลและบิสฟีนอลเอที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3) ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากค่าการกลั่นที่ยังดี4) ธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรที่ลดลง 5) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนปรับตัวลดลง โดยเป็นผลจากการกำไรที่ลดลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากหนี้สกุลเหรียญสหรัฐของบริษัทร่วม 6) มีกำไรจากสต็อก 2.7 พันล้านบาท กำไรจาก FX 545 ล้านบาท ที่สามารถหักกลบตัวเลขขาดทุนในสต็อก GGC ได้
ข้อมูลผลประกอบการข้างต้น ทำให้ตัวเลขกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 183,961 ล้านบาท แม้จะดี แต่ก็เกินจำเป็นเพราะบริษัทมียอดหนี้ต่ำ ค่าดี/อีแค่ 0.6 เท่า แต่มีสภาพคล่องสูงมาก อัตราส่วนสภาพคล่องมากกว่า 2.2 เท่า แต่ยังซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่ากำไรที่เยอะเป็นพิเศษมาจากความได้เปรียบจากราคาวัตถุดิบที่ต่ำกว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นก็ได้เปรียบผู้ผลิตที่ใช้แนฟทา(ผลผลิตจากน้ำมันดิบ) เป็นวัตถุดิบเนื่องจากราคาวัตถุดิบก๊าซที่ผลิตใช้เป็นวัตถุดิบปรับขึ้นช้ากว่าแนฟทา
โดยสรุปแบบสั้นๆคือ ปัจจุบันที่ดี ไม่สามารถบ่งชี้อนาคตอันง่อนแง่นได้ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดที่พี/อีแค่ 7 เท่า แล้วมีเพดานแนวต้านไม่เคยเกิน 100.00 บาท ทั้งที่เป็นราคาหุ้นปิโตรเคมีกลางน้ำที่ถูกที่สุดในเอเชีย ซึ่งค่าพี/อีเฉลี่ยมากกวา 11 เท่า บ่งบอกว่ามีความกังวลอะไรบางอย่างของนักลงทุนสถาบันและฟันด์โฟลว์อยู่พอสมควร
ถ้าเดาไม่ผิด "อะไรบางอย่าง" นั่นคือการลงทุนใหม่และต้นทุนวัตถุดิบทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้มายาวนานในราคาต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น ที่จะบั่นทอนความสามารถทำกำไรในอนาคตลงไป
ล่าสุด เราก็ยังได้ยิน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC ออกมาพูดซ้ำๆถึง ความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐว่า จะพยายามให้จบภายในไตรมาสแรกปี 2562 ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความรอบคอบเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูง แต่ในส่วนของผู้ร่วมทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง
คำพูด"ฉายหนังม้วนเดิม"สะท้อนให้เห็นความไม่มั่นใจในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ
ขนาดผู้บริหารยังไม่มั่นใจ จะให้นักลงทุนมั่นใจได้อย่างไรกัน
อนาคตที่คลุมเครือของ PTTGC จึงเห็นได้จากปัจจุบันที่มีแต่การลงทุนขนาดเล็ก ตัวอย่างล่าสุดเช่นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท Siam Mitsui PTA Company Limited (SMPC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์กรดบริสุทธิ์เทเรพาธิค (PTA) ในสัดส่วน 74% และ Thai PET Resin Company Limited (TPRC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ในสัดส่วน 74% ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCG Chemicals) และบริษัท Mitsui Chemicals, Inc. (MCI) คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,148 ล้านบาท ก็ไม่มีนัยต่อกำไรส่วนเพิ่มมากนัก แบกรับอนาคตที่ง่อนแง่น ซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3384