The Gulf of Thailand stinks? อ่าวไทยเน่าแล้ว? ... 12/8/2561 สรายุทธ กันหลง


The Gulf of Thailand stinks? อ่าวไทยเน่าแล้ว? ... 12/8/2561
https://pantip.com/topic/37950107
ไปอ่านบทความนี้ครับ ใครเห็นด้วยไหมครับว่าอ่าวไทยเน่าแล้ว และจะช่วยกันอย่างไร?
.. สรายุทธ อาทิตย์ 12/8/2561
Cr: Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

https://www.facebook.com/thaitribune1/photos/a.208103229396861.1073741832.177444735796044/863523920521452/?type=3&theater


9 สิงหาคม 2561 -อ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า
"เมื่ออ่าวไทยตอนในกำลังเน่า
ภาพที่เพื่อนธรณ์เห็นอยู่นี้ เป็นภาพที่ส่งมาจากท่านคณบดีคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ รศ.ดร.เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์

นอกจากเป็นคณบดี ท่านยังเป็นประธานคณะทำงานด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ภายใต้คณะกรรมการทะเลแห่งชาติ

ภาพดังกล่าวได้มาจากการลงสำรวจทะเลอ่าวไทยตอนใน หรืออ่าวไทยรูปตัวก.

ท่านขับเรือสำรวจตั้งแต่สัตหีบไล่มาจนถึงศรีราชา น้ำทะเลเป็นสีเขียวปี๋ขุ่นคลั่ก

ขับเรือเรื่อยต่อมาทางปากแม่น้ำบางปะกง น้ำทะเลเป็นสีแดงคล้ำจนเหมือนสีดำ

ท่านวกมาสำรวจตามชายฝั่ง ปลาตาย คลื่นสีเขียวสาดซัดเข้าฝั่ง ยังพาขยะพลาสติกเข้ามา

จากนั้นท่านจึงบอกผมว่า ธรณ์...ช่วยหน่อย

ช่วยบอกกับคนไทยหน่อยว่า เรากำลังอยู่ในสถานการณ์แสนสาหัส

อ่าวไทยตอนในกำลังเน่าอย่างรุนแรง

เมื่อดูภาพดังกล่าว ประกอบกับข่าวที่เราได้ยินตลอด 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็นข่าวน้ำเสียที่พัทยา น้ำดำที่บางแสน ฯลฯ

เป็นภาพที่สอดคล้องกัน ภาพที่แสดงว่าทะเลอ่าวไทยตอนในกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก

ปัญหาดังกล่าวคือน้ำเปลี่ยนสี (ขี้ปลาวาฬ)

น้ำเปลี่ยนสีเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเป็นระยะในช่วงหน้าฝน รวมถึงปลายฝนต้นหนาว

น้ำเปลี่ยนสีเกิดจากคุณภาพน้ำผิดปรกติ มีธาตุอาหารสูงมาก

แพลงก์ตอนพืชมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และทำให้สัตว์น้ำหน้าดินตาย

หรือบางครั้งหากหนักมาก จะทำให้ปลาตายเนื่องจากในน้ำขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง

น้ำจากสัตหีบถึงสีชังเป็นสีเขียวขุ่น เพราะแพลงก์ตอนพืชกลุ่มหนึ่ง

น้ำจากบางแสนเรื่อยมาถึงปากน้ำบางปะกงเป็นสีดำ เพราะแพลงก์ตอนพืชอีกกลุ่มหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะสีไหน สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังบอกเราว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ในอดีตเคยเกิดในบางพื้นที่และเป็นช่วงสั้นๆ ความรุนแรงไม่มากมายนัก

ปัจจุบัน มันเปลี่ยนไปและเปลี่ยนไปอย่างมาก

ทะเลเปลี่ยนสีแทบทั้งอ่าวไทยตอนใน น้ำเต็มไปด้วยแพลงก์ตอน จนปลาตายแล้วถูกซัดขึ้นมาบนหาด ตรงนั้นตรงนี้สลับกันไป

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความรุนแรงของน้ำเปลี่ยนสีมีมากขึ้นและมากขึ้น

เหตุผลสำคัญคือการพัฒนาที่ควบคุมไม่ได้ ระเบียบกติกาที่ไม่สามารถบังคับใช้ ทำให้สิ่งที่ลงมากับแม่น้ำลำคลองทำลายสมดุลแห่งท้องสมุทร

ธาตุอาหารที่มาจากปุ๋ยเคมีภาคการเกษตร

น้ำที่ปราศจากการบำบัดจากแหล่งชุมชน

การปล่อยน้ำเสียลงตรงๆ จากแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่ง ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและแออัด

การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ตัวกรองตั้งแต่ต้นน้ำหายไป

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดน้ำท่วมน้ำหลาก พัดพาของเสียลงสู่ทะเล

ของเสียในที่นี้ ยังหมายถึงขยะบนบกที่ลงสู่ทะเลทุกครั้งที่เกิดน้ำท่วมใหญ่

เพราะระบบการจัดการขยะของเราไม่สมบูรณ์ การกลบฝังขยะจำนวนมากกลายเป็นภูเขาขยะ

ยังมีเหตุผลอีกมากมาย แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือเราจะต้องเจอกับปัญหามากขึ้นและมากขึ้น โดยผมยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด

มันเป็นสภาพที่เราต้องเผชิญ ในระหว่างที่เรากำลังพยายามทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น

จริงอยู่ บางอย่างเราอาจแก้ได้ในบางพื้นที่

ปิดเกาะ-ฟื้นฟูปะการัง-ควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว-จัดระบบบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวทางทะเล ฯลฯ

แต่หากเป็นน้ำเสีย/ขยะทะเล เราทำเช่นนั้นไม่ได้

ทะเลเป็นปลายน้ำ เป็นจุดสุดท้ายที่รองรับทุกอย่างจากแผ่นดิน

โดยเฉพาะอ่าวไทยตอนใน อ่าวประวัติศาสตร์ อ่าวสยาม

เป็นที่รองรับทุกอย่างจากแม่น้ำสำคัญที่สุดในประเทศ 4 สาย (บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง)

เป็นชายฝั่งที่มีคนอาศัยมากที่สุด มีเมืองท่องเที่ยวทางทะเลขนาดใหญ่ที่สุด มีท่าเรือใหญ่สุด และมีการพัฒนาในทุกด้าน

ยังเป็นทะเลที่อยู่ติดกับพื้นที่แห่งความหวัง EEC

แต่ถ้าทะเลอ่าวไทยตอนในตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ขณะที่ EEC กำลังจะเกิด

ผมบอกได้ว่าในแง่สิ่งแวดล้อมทางทะเล เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เราเริ่มจากติดลบ

ติดลบอย่างไร ? ลองดูภาพเหล่านั้นอีกครั้ง

ผมไม่ได้ต้องการเขียนเรื่องนี้เพื่อกล่าวโทษคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะผมไม่รู้จะโทษใคร

ผมเพียงต้องการจะบอกว่า เราลำบากแน่และลำบากมากๆ

เพราะผมเชื่อว่าปัญหาจะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย

มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการพัฒนาชายฝั่ง

และมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ที่นับวันจะรุนแรงและคาดเดาได้ยาก

ผลกระทบจากน้ำเปลี่ยนสีตลอดชายฝั่ง ทำให้ความหวังหลายอย่างเป็นไปแทบไม่ได้

เราจะมีนักท่องเที่ยวที่ยินดีจ่ายเงินในอัตราสูงได้อย่างไร หากน้ำทะเลเราเน่าจนไม่มีใครอยากลงเล่น...หรือแม้แต่ดู

เราจะพัฒนาอาหารทะเลมูลค่าสูงได้อย่างไร หากปลาในทะเลขาดออกซิเจนหายใจจนตายเกลื่อนหาด

เรากำลังลำบากครับ

และหากภาคส่วนอื่นๆ ไม่เข้าใจ ปล่อยให้คนทะเลแก้ไขปัญหาทะเลเพียงลำพังเหมือนที่ผ่านมา สถานการณ์จะพาเราเข้าสู่จุดสิ้นหวัง

เพราะการแก้ปัญหาที่ปลายน้ำทำได้ยากเย็นแสนสาหัส

เน้นย้ำอีกครั้งว่า ท่านคณบดีคณะประมง ผู้ฝากเรื่องนี้ให้ผมมาบอกต่อ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานด้านนี้มา 30 ปี

คณะทำงานมลพิษทางทะเลก็มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำเปลี่ยนสีแทบทั้งหมดที่ประเทศนี้มี

พวกเขายังรู้สึกใกล้หมดหวัง เห็นทะเลพังไปต่อหน้าต่อตา แต่ไม่สามารถทำอะไรได้

เพราะถ้าทุกคนพยายามสุมปัญหาลงมาที่ทะเล จากนั้นหวังว่านักวิชาการจะช่วยแก้ปัญหาให้ คนทำงานในทะเลจะทำให้น้ำสะอาดขึ้นได้

มันไม่มีคนกลุ่มนั้นอยู่ในโลก ไม่มีฮีโร่ที่คิดค้นยาที่หยดติ๋งลงไปแล้วทำให้มหาสมุทรสะอาด

ไม่มีโรงบำบัดน้ำเสียใดๆ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีเลิศเลอจากที่ไหน สามารถบำบัดน้ำเสียที่ถูกปล่อยลงมาอย่างไร้ความรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทาง

ตั้งแต่บ้าน ตั้งแต่ร้านอาหาร ตั้งแต่โรงแรม ตั้งแต่ชุมชน ตั้งแต่โรงงาน ตั้งแต่ไร่นาบ่อปลา ฯลฯ

มันมีเพียงแต่คำว่า “รับผิดชอบ” ร่วมกันของทุกฝ่าย

สุดท้าย การนำเสนอปัญหาทุกครั้ง ควรต้องมีทางออก

ในฐานะกรรมการปฏิรูปประเทศและกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ผมได้เสนอไปแล้วว่า ให้จัดทำพื้นที่ต้นแบบ 2 แห่ง คือ คลัสเตอร์ท่องเที่ยวอันดามัน และพื้นที่อ่าวไทยตอนใน & EEC

ผมเริ่มเห็นการทำงานอย่างจริงจังในคลัสเตอร์อันดามัน ที่เร่งเครื่องมากขึ้นหลังเหตุการณ์เรือฟีนิกซ์ ที่สร้างผลกระทบอย่างแรงต่อรายได้ประเทศ

แต่ผมยังไม่เห็นความหวังใดๆ ในพื้นที่อ่าวไทยตอนในและ EEC ในเรื่องการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล

จึงนำภาพและคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาบอกไว้

เราจะพัฒนา EEC แล้วเรียกว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ในเมื่อทะเลกำลังร้องไห้ครับ !"

#thaitribune
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่