ความเดิมจากสามตอนที่ผ่านมา
1.
https://pantip.com/topic/37896571
2.
https://pantip.com/topic/37908535
3.
https://pantip.com/topic/37928539
... วิกสังกะสี ขอเสนอ ... ละครรักโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ..

เปิดม่านนนนนนน ...
ผมนึกมาได้ว่าเมื่อกี้สาวชุดชมพูได้เดินเอาน้ำใส่แก้วใบเล็กมาให้ แต่ของผมมีกระติกอยู่แล้วเลยไม่รับอันที่จริงหากจะแจกกันแบบนี้น่าจะใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางมาจะดีกว่า ห้อยเก็บตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวคว่ำ แต่อย่างไรก็ตามผมก็รู้ตัวว่าตนเองเป็นต้นเหตุ เลยหันไปขอโทษพวกคุณพี่ ซึ่งแกก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
วุ่นวายกันสักพักก็กลับสู่สภาพปกติ ผมกลับมาหัดขยับเบาะให้เลื่อนขึ้นเลื่อนลงช้า ๆ ตามที่ป้าสอนไว้ พอได้แล้วก็นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มสบายใจเฉิบ และก็ดีอยู่อย่างครับ พอนอนลงอย่างนี้นะไอ้ลมจากหลังคาที่รั่วมันเป่ามากลางตัวผมพอดี ไม่ใช่เป็นกลางหัวเหมือนทีแรก คราวนี้ก็เย็นสบาย
….........
ผมนอนหลับฝันหวานมาได้ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แล้วก็มีเหตุการณ์ให้ต้องสะดุ้งตื่น เพราะรถทัวร์กำลังกระแทกโครม ๆ จนสั่นไปทั้งคัน ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่ พอตั้งสติได้ก็นึกออกว่าตัวเองกำลังนั่งรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ในรถค่อนข้างมืดเห็นเพียงราง ๆ นอกหน้าต่างมืดสนิท เห็นแต่เงาไม้ใหญ่ข้างทาง
แล้วผมก็ฉุกคิดต่ออีกได้ว่าผมนั่งรถมาเป็นตั้งนาน ที่ผ่านมามันวิ่งอย่างนิ่มนวลแทบไม่กระเทือน แต่ตอนนี้ทำไมถึงสั่นโครม ๆ ผมหันไปมองทางคุณป้า แล้วก็พบว่าแกกำลังนั่งตัวตรง ดวงตาเบิ่งกว้างจ้องไปข้างหน้า พลางอ้าปากค้าง
ผมรีบขยับตัวลุกขึ้นบ้าง มองไปด้านหน้าสุดเหมือนป้า จังหวะเดียวกันนั้นก็มีรถสวนมา สาดไฟส่องเข้ามาในรถวูบใหญ่
ผมใจหายวาบ รู้สาเหตุในทันทีว่าทำไมคุณป้าแกปากอ้าตาค้าง ได้แต่รีบตะโกนขึ้นสุดเสียง
“โว้ยยย !! ... คน – ขับ – หลับ !! “
เท่านั้นเองก็เห็นผู้โดยสารพากันขยับตัวกันพรวดพราด เสียงเอะอะโวยวายก็ดังทั้งคันรถ บางคนถึงกับลุกขึ้นวิ่งชนกันล้มลุกคลุกคลาน ส่วนรถทัวร์ยังวิ่งโครม ๆ ไม่หยุด แต่แล่นไปได้อีกไม่ไกลก็มีเสียงเบรคฟืดฟาดแล้วรถก็ค่อย ๆ ชะลอตัวจอดลง
สักครู่ก็มีคนเดินขึ้นมาจากบันไดตรงที่ผมขึ้นมาตอนแรกนั่นแหละ เป็นผู้ชายสองคน และสาวชุดสีชมพูคนที่เอากล่องอาหารมาให้ เอ ผมงงจัง รถก็เพิ่งจอดแล้วพวกนี้ลงจากรถไปตอนไหนหว่า สงสัยจะลงทางประตูคนขับ พอนึกถึงคนขับผมก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ
ผู้ชายทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินดูเท่ห์ดี มายืนมองกราดไปมารอบรถแล้วหนึ่งในสองก็เอ่ยปากถามขึ้น
“เมื่อตะกี้ใครตะโกนคนขับหลับ”
ผมชูแขนบอกทั้งคันรถไปทันทีว่า เมื่อกี้ตอนรถสวนกันและสาดไฟเข้ามา ผมมองไปยังเบาะหน้าสุดตรงคนขับนั่ง เห็นเบาะนั้นปรับตัวนอนหงายลงและคนขับกำลังนอนหลับอุตุ
เท่านั้นเองก็มีเสียงด่าพึมว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า ไอ้ซื่อบื้อ ก็ดังขึ้นทั้งคันรถ ยิ่งป้านั่งติดกับผมนั้นด่าหนักกว่าเพื่อน
ผมขอบอกตามตรงว่านึกเสียใจเหมือนกันที่เป็นต้นเหตุทำให้คนขับถูกด่า แต่มันก็จำเป็นต้องตะโกนเพราะคุณคงรู้ดีว่าการที่คนขับเอาแต่นอนหลับอุตุขณะที่ปล่อยให้รถวิ่งไปเองเรื่อย ๆ นั้นมันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดูจากรถวิ่งลงข้างทางโครม ๆ ก็รู้
แต่พอฟังไปฟังมาซักพัก ผมก็ชักจะสงสัยเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ด่าคนขับกัน กลายเป็นไอ้โง่คนไหนก็ไม่รู้เป็นตัวการทำให้ตกอกตกใจกันทั้งคันรถ
พอเห็นผมมองหน้าแกอย่างงง ๆ คุณป้าก็หันมาตะคอก
“เอ็งนี่มันบ่ฮู้อะหยังแต้ ๆ เนาะ รถคันนี้มันรถทัวร์สองชั้นโว้ย คนขับเปิ้นอยู่ตางลุ่มปู้น คนนั่งหน้าสุดนั้นเปิ้นเป๋นผู้โดยสารโตยกั๋น “
ผมถึงกับอ้าปากหวอเมื่อเพิ่งรู้ว่าความจริงจากปากคุณป้าว่าคนขับอยู่ข้างล่างโน่น ส่วนคนหน้าสุดที่ผมคิดว่าเป็นคนขับนั้นอันที่จริงเป็นผู้โดยสารด้วยกัน
“เหย !! บ่าง่าวเฮ้ย เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว ตึงบ่ฮู้อะหยังแต๊ ๆ ” ป้ายังด่าต่อว่าผมเป็นไอ้โง่ เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว ช่างไม่รู้อะไรเสียจริง ๆ
คราวนี้ผมอายจัดจนใบหน้าร้อนผ่าวเลยครับ เพราะโดยปกติแล้วโอกาสที่ผมจะทำขายหน้าห้าแต้มแบบนี้มีน้อยมาก ที่ถ้าทางทางบ้านรู้เข้าคงสวดผมยับว่าทำเสียชื่อตระกูล
ผมหัวเราะแหะ ลุกขึ้นไหว้กราดแบบนักมวยขึ้นเวทีไปทั้งคันรถ ไหว้ไปเสร็จเสียงบ่นเสียงด่าก็ค่อยเงียบลง ส่วนคนเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินนั้นผมเพิ่งรู้ว่าจริงแล้วเป็นคนขับนั่นเอง พี่แกถลึงตามาแล้วมุดกลับลงบันไดไป ส่วนน้องชุดสีชมพูก็เอาแต่หัวเราะกิ๊ก ๆ ไม่ยอมหยุดจนหายลับลงไปพร้อมกัน
ผมหันไปขอโทษสองคนทางข้างหลัง โดยเฉพาะพี่คนนั่งติดทางเดินเหมือนกับผม รู้สึกว่าแกจะเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่ลุกขึ้นวิ่ง แล้วก็สะดุดอะไรไม่รู้จนหัวทิ่มเกือบตกลงทางบันได
พี่อีกคนโบกมือให้ พลางหันไปบอกเพื่อน
"... สมหมายนั่งลงเถอะ.."
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งลง และผมยังได้ยินคนชื่อสมหมายพูดเบา ๆ
“เป็นแผนของมันหรือเปล่าพี่ ... “
“ไม่รู้ !! .. “ อีกคนตอบ “... แล้วมันจะทำไปทำไม โอ้ย !! ..ปวดหัว ...สงสัยจะไม่สบายแล้วกู”
ได้ยินถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงวิธีจะขอโทษพวกพี่เขาได้ จึงลุกขึ้นแล้วหันกลับไปทางที่นั่งด้านหลัง และก็ได้เห็นว่าพี่สมหมายก็ลุกขึ้นได้ไวไม่แพ้ผมเช่นกัน ช่างสมกับเป็นคนบ้าจี้ดีแท้ ..
“..อะไร อะไร เอ็งจะทำอะไร ... “ พี่สมหมายถามเร็วปรื๋อ
ผมต้องค่อยใจเย็นอธิบายอีกครั้งว่าผมขออภัยจริง ๆ ในการที่ทำให้พวกพี่ต้องตกอกตกใจจนถึงขึ้นได้เจ็บป่วย และขอให้ผมได้ตอบแทนอะไรบ้าง เช่นโดยการขอมอบยาแก้ปวดแก้ไข้ที่ผมมีอยู่เป็นการตอบแทน ว่าแล้วผมก็ยื่นขวดยาให้
พี่สมหมายนิ่งอึ้งไปแต่ก็ยื่นมือมารับขวดยา เห็นแกถือค้างไว้อย่างนั้นไม่มีทีท่าจะส่งให้พี่อีกคนที่ไม่สบาย ผมเลยอดถามต่อไม่ได้
“... พวกพี่มีน้ำกินกับยาไหม ผมมีในกระติกเหลืออยู่ ..”
พี่สมหมายหันไปมองหน้าลูกพี่ของแก ซึ่งพี่คนนั้นก็บอกว่าไม่ต้อง แกยังจะไม่กินตอนนี้ ขอแค่แบ่งยาไว้สักสองเม็ดก่อนก็ได้
“ ...โอ้ย .. ยังไม่ต้องรีบคืนก็ได้ครับ พี่เอาไว้ก่อนเถอะ จะว่าไปยานี่แม่ผมใส่มาให้ทำไมก็ไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยจะได้กิน เพราะไม่เคยจะเจ็บไข้ได้ป่วยกับเขาสักที ... “
ผมหัวเราะขำแม่ของผมที่ทำอะไรเกินความจำเป็น เสร็จแล้วก็บอกเพิ่มเติมไปอีกว่าดูแล้วพี่ทั้งสองน่าจะจำเป็นกว่าผม เพราะเผื่อพี่แกจะยังไม่หายดี หรือบางทีเผื่อพี่สมหมายคิดจะปวดหัวขึ้นมาบ้างจะได้มียากิน
ทั้งคู่ทำตาปริบ ๆ หันไปมองหน้ากันอีกครั้ง
“พี่ว่ามันพูดจริงไหม หรือมันคิดอะไรอยู่ ...”
“ใครจะไปรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ทีแรกกูก็บ่นไปงั้นแหละว่าปวดหัว แต่ตอนนี้เอายาไว้ก่อนก็ดี เพราะกูชักจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริง ๆ ...”
พวกพี่สองคนคุยกันแปลก ๆ ชอบกล ไหงเป็นว่ากลายเป็นมีปวดหัวจริงหรือปวดหัวไม่จริง ผมฟังแล้วก็เริ่มงงจนเหมือนจะปวดหัวขึ้นมาบ้าง เพิ่งรู้ว่าไอ้โรคปวดหัวนี่มันติดต่อกันได้ จึงรีบหันกลับมานั่งลงเสีย ทิ้งขวดยาไว้ให้พี่ไว้ตกลงกันเองว่าจะปวดหัวหรือไม่
ผมนั่งลงจัดพลางจัดท่าทางดีแล้ว เหลือบมองเก้าอี้ข้าง ๆ เห็นป้าแกยังขยับยุกยิกเลยเอื้อมมือสะกิดถามแกเรื่องที่ผมสงสัยในใจอยู่ แกหมุนตัวขยับหันหลังให้ พลางว่ามา
“ข้าจะหลับจะนอน คิงอย่ามาจิ๊ กำเดียวง่าวจะติด“
ผมหลับตาปี๋อีตรงที่คุณป้าว่าอย่ามาแตะ ประเดี๋ยวโง่จะติด
“สูมาเตอะป้า เฮาจะถามบ่อดาย ว่าก่อนหน้าที่เฮาจะเอิ้น รถหยังมาสั่นโคล้ม ๆ อย่างกับตกข้างตาง”
ผมบอกป้าไปว่าขอโทษเถอะ คือผมจะถามเฉย ๆ ว่าก่อนที่จะตะโกน ทำไมรถถึงได้สั่นเหมือนจะตกลงข้างทาง
“ช่วงนี้เขากำลังซ่อมถนน สึ่งตึงแต๊ ๆ “ ป้าแกตอบมา ทั้งที่ยังหันหลังให้
อ้อ !! เป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนี้ผมก็สมควรให้ป้าแกด่าว่าซื่อบื้อ แต่ผมก็ยังข้องใจไม่หายว่าแล้วทำไมป้าถึงต้องนั่งตัวแข็ง ปากอ้าตาค้างเหมือนตกใจสุดขีด ..
“หูย .. ไอ้นี่เนาะ รถมันสั่นข้าก็สะดุ้งตื่น พอดีใคร่จ๋าม มันก็ต้องนั่งซื่อ ๆ อ้าปาก แล้วคิงจะฮื้อข้าทำท่าอย่างใด”
ผมอดหัวเราะไม่ได้ เป็นเพราะแกอยากจะจามนี่เองเลยต้องนั่งตัวตรง ปากอ้า ตาค้าง เฮ้อ เวรจริง ๆ
คราวนี้ป้าแกหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าผม ถามขึ้น
“ง่าว ๆ อย่างนี้ เอ็งจะไปกรุงเทพฯได้อย่างใดกั๋นนี่”
ผมบอกว่าแค่ไปหาน้า พอเจอแล้วก็กลับ คงไม่ได้อยู่นาน
“แล้วป้าล่ะ ไปกรุงเทพยะหยัง” ผมถามกลับว่าคุณป้าไปกรุงเทพทำไม
คุณป้าบอกว่าจะไปหาลูกสาว พรุ่งนี้เช้าเธอจะมารับที่หมอชิต จากนั้นแกก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าไม่มีทางแนะนำให้รู้จักกันแน่ ๆ
“เป็นหยังรึ” ผมสงสัย
“ข้ากลัวเชื้อง่าวติด” แกบอกสั้น ๆ
โธ่ !! ..
…………… มีต่อ …………………
สุดยอดละครอภิอมตะมหานิรันดร์กาลแห่งวิกสังกะสี @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 4 @@@
1.https://pantip.com/topic/37896571
2.https://pantip.com/topic/37908535
3.https://pantip.com/topic/37928539
... วิกสังกะสี ขอเสนอ ... ละครรักโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ..
เปิดม่านนนนนนน ...
ผมนึกมาได้ว่าเมื่อกี้สาวชุดชมพูได้เดินเอาน้ำใส่แก้วใบเล็กมาให้ แต่ของผมมีกระติกอยู่แล้วเลยไม่รับอันที่จริงหากจะแจกกันแบบนี้น่าจะใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางมาจะดีกว่า ห้อยเก็บตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวคว่ำ แต่อย่างไรก็ตามผมก็รู้ตัวว่าตนเองเป็นต้นเหตุ เลยหันไปขอโทษพวกคุณพี่ ซึ่งแกก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
วุ่นวายกันสักพักก็กลับสู่สภาพปกติ ผมกลับมาหัดขยับเบาะให้เลื่อนขึ้นเลื่อนลงช้า ๆ ตามที่ป้าสอนไว้ พอได้แล้วก็นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มสบายใจเฉิบ และก็ดีอยู่อย่างครับ พอนอนลงอย่างนี้นะไอ้ลมจากหลังคาที่รั่วมันเป่ามากลางตัวผมพอดี ไม่ใช่เป็นกลางหัวเหมือนทีแรก คราวนี้ก็เย็นสบาย
….........
ผมนอนหลับฝันหวานมาได้ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แล้วก็มีเหตุการณ์ให้ต้องสะดุ้งตื่น เพราะรถทัวร์กำลังกระแทกโครม ๆ จนสั่นไปทั้งคัน ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่ พอตั้งสติได้ก็นึกออกว่าตัวเองกำลังนั่งรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ในรถค่อนข้างมืดเห็นเพียงราง ๆ นอกหน้าต่างมืดสนิท เห็นแต่เงาไม้ใหญ่ข้างทาง
แล้วผมก็ฉุกคิดต่ออีกได้ว่าผมนั่งรถมาเป็นตั้งนาน ที่ผ่านมามันวิ่งอย่างนิ่มนวลแทบไม่กระเทือน แต่ตอนนี้ทำไมถึงสั่นโครม ๆ ผมหันไปมองทางคุณป้า แล้วก็พบว่าแกกำลังนั่งตัวตรง ดวงตาเบิ่งกว้างจ้องไปข้างหน้า พลางอ้าปากค้าง
ผมรีบขยับตัวลุกขึ้นบ้าง มองไปด้านหน้าสุดเหมือนป้า จังหวะเดียวกันนั้นก็มีรถสวนมา สาดไฟส่องเข้ามาในรถวูบใหญ่
ผมใจหายวาบ รู้สาเหตุในทันทีว่าทำไมคุณป้าแกปากอ้าตาค้าง ได้แต่รีบตะโกนขึ้นสุดเสียง
“โว้ยยย !! ... คน – ขับ – หลับ !! “
เท่านั้นเองก็เห็นผู้โดยสารพากันขยับตัวกันพรวดพราด เสียงเอะอะโวยวายก็ดังทั้งคันรถ บางคนถึงกับลุกขึ้นวิ่งชนกันล้มลุกคลุกคลาน ส่วนรถทัวร์ยังวิ่งโครม ๆ ไม่หยุด แต่แล่นไปได้อีกไม่ไกลก็มีเสียงเบรคฟืดฟาดแล้วรถก็ค่อย ๆ ชะลอตัวจอดลง
สักครู่ก็มีคนเดินขึ้นมาจากบันไดตรงที่ผมขึ้นมาตอนแรกนั่นแหละ เป็นผู้ชายสองคน และสาวชุดสีชมพูคนที่เอากล่องอาหารมาให้ เอ ผมงงจัง รถก็เพิ่งจอดแล้วพวกนี้ลงจากรถไปตอนไหนหว่า สงสัยจะลงทางประตูคนขับ พอนึกถึงคนขับผมก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ
ผู้ชายทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินดูเท่ห์ดี มายืนมองกราดไปมารอบรถแล้วหนึ่งในสองก็เอ่ยปากถามขึ้น
“เมื่อตะกี้ใครตะโกนคนขับหลับ”
ผมชูแขนบอกทั้งคันรถไปทันทีว่า เมื่อกี้ตอนรถสวนกันและสาดไฟเข้ามา ผมมองไปยังเบาะหน้าสุดตรงคนขับนั่ง เห็นเบาะนั้นปรับตัวนอนหงายลงและคนขับกำลังนอนหลับอุตุ
เท่านั้นเองก็มีเสียงด่าพึมว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า ไอ้ซื่อบื้อ ก็ดังขึ้นทั้งคันรถ ยิ่งป้านั่งติดกับผมนั้นด่าหนักกว่าเพื่อน
ผมขอบอกตามตรงว่านึกเสียใจเหมือนกันที่เป็นต้นเหตุทำให้คนขับถูกด่า แต่มันก็จำเป็นต้องตะโกนเพราะคุณคงรู้ดีว่าการที่คนขับเอาแต่นอนหลับอุตุขณะที่ปล่อยให้รถวิ่งไปเองเรื่อย ๆ นั้นมันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดูจากรถวิ่งลงข้างทางโครม ๆ ก็รู้
แต่พอฟังไปฟังมาซักพัก ผมก็ชักจะสงสัยเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ด่าคนขับกัน กลายเป็นไอ้โง่คนไหนก็ไม่รู้เป็นตัวการทำให้ตกอกตกใจกันทั้งคันรถ
พอเห็นผมมองหน้าแกอย่างงง ๆ คุณป้าก็หันมาตะคอก
“เอ็งนี่มันบ่ฮู้อะหยังแต้ ๆ เนาะ รถคันนี้มันรถทัวร์สองชั้นโว้ย คนขับเปิ้นอยู่ตางลุ่มปู้น คนนั่งหน้าสุดนั้นเปิ้นเป๋นผู้โดยสารโตยกั๋น “
ผมถึงกับอ้าปากหวอเมื่อเพิ่งรู้ว่าความจริงจากปากคุณป้าว่าคนขับอยู่ข้างล่างโน่น ส่วนคนหน้าสุดที่ผมคิดว่าเป็นคนขับนั้นอันที่จริงเป็นผู้โดยสารด้วยกัน
“เหย !! บ่าง่าวเฮ้ย เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว ตึงบ่ฮู้อะหยังแต๊ ๆ ” ป้ายังด่าต่อว่าผมเป็นไอ้โง่ เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว ช่างไม่รู้อะไรเสียจริง ๆ
คราวนี้ผมอายจัดจนใบหน้าร้อนผ่าวเลยครับ เพราะโดยปกติแล้วโอกาสที่ผมจะทำขายหน้าห้าแต้มแบบนี้มีน้อยมาก ที่ถ้าทางทางบ้านรู้เข้าคงสวดผมยับว่าทำเสียชื่อตระกูล
ผมหัวเราะแหะ ลุกขึ้นไหว้กราดแบบนักมวยขึ้นเวทีไปทั้งคันรถ ไหว้ไปเสร็จเสียงบ่นเสียงด่าก็ค่อยเงียบลง ส่วนคนเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินนั้นผมเพิ่งรู้ว่าจริงแล้วเป็นคนขับนั่นเอง พี่แกถลึงตามาแล้วมุดกลับลงบันไดไป ส่วนน้องชุดสีชมพูก็เอาแต่หัวเราะกิ๊ก ๆ ไม่ยอมหยุดจนหายลับลงไปพร้อมกัน
ผมหันไปขอโทษสองคนทางข้างหลัง โดยเฉพาะพี่คนนั่งติดทางเดินเหมือนกับผม รู้สึกว่าแกจะเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่ลุกขึ้นวิ่ง แล้วก็สะดุดอะไรไม่รู้จนหัวทิ่มเกือบตกลงทางบันได
พี่อีกคนโบกมือให้ พลางหันไปบอกเพื่อน
"... สมหมายนั่งลงเถอะ.."
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งลง และผมยังได้ยินคนชื่อสมหมายพูดเบา ๆ
“เป็นแผนของมันหรือเปล่าพี่ ... “
“ไม่รู้ !! .. “ อีกคนตอบ “... แล้วมันจะทำไปทำไม โอ้ย !! ..ปวดหัว ...สงสัยจะไม่สบายแล้วกู”
ได้ยินถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงวิธีจะขอโทษพวกพี่เขาได้ จึงลุกขึ้นแล้วหันกลับไปทางที่นั่งด้านหลัง และก็ได้เห็นว่าพี่สมหมายก็ลุกขึ้นได้ไวไม่แพ้ผมเช่นกัน ช่างสมกับเป็นคนบ้าจี้ดีแท้ ..
“..อะไร อะไร เอ็งจะทำอะไร ... “ พี่สมหมายถามเร็วปรื๋อ
ผมต้องค่อยใจเย็นอธิบายอีกครั้งว่าผมขออภัยจริง ๆ ในการที่ทำให้พวกพี่ต้องตกอกตกใจจนถึงขึ้นได้เจ็บป่วย และขอให้ผมได้ตอบแทนอะไรบ้าง เช่นโดยการขอมอบยาแก้ปวดแก้ไข้ที่ผมมีอยู่เป็นการตอบแทน ว่าแล้วผมก็ยื่นขวดยาให้
พี่สมหมายนิ่งอึ้งไปแต่ก็ยื่นมือมารับขวดยา เห็นแกถือค้างไว้อย่างนั้นไม่มีทีท่าจะส่งให้พี่อีกคนที่ไม่สบาย ผมเลยอดถามต่อไม่ได้
“... พวกพี่มีน้ำกินกับยาไหม ผมมีในกระติกเหลืออยู่ ..”
พี่สมหมายหันไปมองหน้าลูกพี่ของแก ซึ่งพี่คนนั้นก็บอกว่าไม่ต้อง แกยังจะไม่กินตอนนี้ ขอแค่แบ่งยาไว้สักสองเม็ดก่อนก็ได้
“ ...โอ้ย .. ยังไม่ต้องรีบคืนก็ได้ครับ พี่เอาไว้ก่อนเถอะ จะว่าไปยานี่แม่ผมใส่มาให้ทำไมก็ไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยจะได้กิน เพราะไม่เคยจะเจ็บไข้ได้ป่วยกับเขาสักที ... “
ผมหัวเราะขำแม่ของผมที่ทำอะไรเกินความจำเป็น เสร็จแล้วก็บอกเพิ่มเติมไปอีกว่าดูแล้วพี่ทั้งสองน่าจะจำเป็นกว่าผม เพราะเผื่อพี่แกจะยังไม่หายดี หรือบางทีเผื่อพี่สมหมายคิดจะปวดหัวขึ้นมาบ้างจะได้มียากิน
ทั้งคู่ทำตาปริบ ๆ หันไปมองหน้ากันอีกครั้ง
“พี่ว่ามันพูดจริงไหม หรือมันคิดอะไรอยู่ ...”
“ใครจะไปรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ทีแรกกูก็บ่นไปงั้นแหละว่าปวดหัว แต่ตอนนี้เอายาไว้ก่อนก็ดี เพราะกูชักจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริง ๆ ...”
พวกพี่สองคนคุยกันแปลก ๆ ชอบกล ไหงเป็นว่ากลายเป็นมีปวดหัวจริงหรือปวดหัวไม่จริง ผมฟังแล้วก็เริ่มงงจนเหมือนจะปวดหัวขึ้นมาบ้าง เพิ่งรู้ว่าไอ้โรคปวดหัวนี่มันติดต่อกันได้ จึงรีบหันกลับมานั่งลงเสีย ทิ้งขวดยาไว้ให้พี่ไว้ตกลงกันเองว่าจะปวดหัวหรือไม่
ผมนั่งลงจัดพลางจัดท่าทางดีแล้ว เหลือบมองเก้าอี้ข้าง ๆ เห็นป้าแกยังขยับยุกยิกเลยเอื้อมมือสะกิดถามแกเรื่องที่ผมสงสัยในใจอยู่ แกหมุนตัวขยับหันหลังให้ พลางว่ามา
“ข้าจะหลับจะนอน คิงอย่ามาจิ๊ กำเดียวง่าวจะติด“
ผมหลับตาปี๋อีตรงที่คุณป้าว่าอย่ามาแตะ ประเดี๋ยวโง่จะติด
“สูมาเตอะป้า เฮาจะถามบ่อดาย ว่าก่อนหน้าที่เฮาจะเอิ้น รถหยังมาสั่นโคล้ม ๆ อย่างกับตกข้างตาง”
ผมบอกป้าไปว่าขอโทษเถอะ คือผมจะถามเฉย ๆ ว่าก่อนที่จะตะโกน ทำไมรถถึงได้สั่นเหมือนจะตกลงข้างทาง
“ช่วงนี้เขากำลังซ่อมถนน สึ่งตึงแต๊ ๆ “ ป้าแกตอบมา ทั้งที่ยังหันหลังให้
อ้อ !! เป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนี้ผมก็สมควรให้ป้าแกด่าว่าซื่อบื้อ แต่ผมก็ยังข้องใจไม่หายว่าแล้วทำไมป้าถึงต้องนั่งตัวแข็ง ปากอ้าตาค้างเหมือนตกใจสุดขีด ..
“หูย .. ไอ้นี่เนาะ รถมันสั่นข้าก็สะดุ้งตื่น พอดีใคร่จ๋าม มันก็ต้องนั่งซื่อ ๆ อ้าปาก แล้วคิงจะฮื้อข้าทำท่าอย่างใด”
ผมอดหัวเราะไม่ได้ เป็นเพราะแกอยากจะจามนี่เองเลยต้องนั่งตัวตรง ปากอ้า ตาค้าง เฮ้อ เวรจริง ๆ
คราวนี้ป้าแกหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าผม ถามขึ้น
“ง่าว ๆ อย่างนี้ เอ็งจะไปกรุงเทพฯได้อย่างใดกั๋นนี่”
ผมบอกว่าแค่ไปหาน้า พอเจอแล้วก็กลับ คงไม่ได้อยู่นาน
“แล้วป้าล่ะ ไปกรุงเทพยะหยัง” ผมถามกลับว่าคุณป้าไปกรุงเทพทำไม
คุณป้าบอกว่าจะไปหาลูกสาว พรุ่งนี้เช้าเธอจะมารับที่หมอชิต จากนั้นแกก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าไม่มีทางแนะนำให้รู้จักกันแน่ ๆ
“เป็นหยังรึ” ผมสงสัย
“ข้ากลัวเชื้อง่าวติด” แกบอกสั้น ๆ
โธ่ !! ..
…………… มีต่อ …………………