สุดยอดละครอภิอมตะมหานิรันดร์กาลแห่งวิกสังกะสี @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 4 @@@

ความเดิมจากสามตอนที่ผ่านมา
1.https://pantip.com/topic/37896571
2.https://pantip.com/topic/37908535
3.https://pantip.com/topic/37928539



... วิกสังกะสี  ขอเสนอ ... ละครรักโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ..


       เปิดม่านนนนนนน ...

     ผมนึกมาได้ว่าเมื่อกี้สาวชุดชมพูได้เดินเอาน้ำใส่แก้วใบเล็กมาให้  แต่ของผมมีกระติกอยู่แล้วเลยไม่รับอันที่จริงหากจะแจกกันแบบนี้น่าจะใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางมาจะดีกว่า  ห้อยเก็บตรงไหนก็ได้  ไม่ต้องกลัวคว่ำ    แต่อย่างไรก็ตามผมก็รู้ตัวว่าตนเองเป็นต้นเหตุ เลยหันไปขอโทษพวกคุณพี่  ซึ่งแกก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ

      วุ่นวายกันสักพักก็กลับสู่สภาพปกติ  ผมกลับมาหัดขยับเบาะให้เลื่อนขึ้นเลื่อนลงช้า ๆ ตามที่ป้าสอนไว้  พอได้แล้วก็นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มสบายใจเฉิบ   และก็ดีอยู่อย่างครับ พอนอนลงอย่างนี้นะไอ้ลมจากหลังคาที่รั่วมันเป่ามากลางตัวผมพอดี ไม่ใช่เป็นกลางหัวเหมือนทีแรก คราวนี้ก็เย็นสบาย

        ….........

       ผมนอนหลับฝันหวานมาได้ไม่รู้ว่านานแค่ไหน  แล้วก็มีเหตุการณ์ให้ต้องสะดุ้งตื่น เพราะรถทัวร์กำลังกระแทกโครม ๆ จนสั่นไปทั้งคัน  ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่  พอตั้งสติได้ก็นึกออกว่าตัวเองกำลังนั่งรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ในรถค่อนข้างมืดเห็นเพียงราง ๆ นอกหน้าต่างมืดสนิท เห็นแต่เงาไม้ใหญ่ข้างทาง  

       แล้วผมก็ฉุกคิดต่ออีกได้ว่าผมนั่งรถมาเป็นตั้งนาน ที่ผ่านมามันวิ่งอย่างนิ่มนวลแทบไม่กระเทือน  แต่ตอนนี้ทำไมถึงสั่นโครม ๆ ผมหันไปมองทางคุณป้า  แล้วก็พบว่าแกกำลังนั่งตัวตรง ดวงตาเบิ่งกว้างจ้องไปข้างหน้า พลางอ้าปากค้าง

       ผมรีบขยับตัวลุกขึ้นบ้าง มองไปด้านหน้าสุดเหมือนป้า จังหวะเดียวกันนั้นก็มีรถสวนมา สาดไฟส่องเข้ามาในรถวูบใหญ่

       ผมใจหายวาบ รู้สาเหตุในทันทีว่าทำไมคุณป้าแกปากอ้าตาค้าง   ได้แต่รีบตะโกนขึ้นสุดเสียง  

       “โว้ยยย !!    ...   คน – ขับ – หลับ !! “

       เท่านั้นเองก็เห็นผู้โดยสารพากันขยับตัวกันพรวดพราด เสียงเอะอะโวยวายก็ดังทั้งคันรถ  บางคนถึงกับลุกขึ้นวิ่งชนกันล้มลุกคลุกคลาน  ส่วนรถทัวร์ยังวิ่งโครม ๆ ไม่หยุด แต่แล่นไปได้อีกไม่ไกลก็มีเสียงเบรคฟืดฟาดแล้วรถก็ค่อย ๆ ชะลอตัวจอดลง    

       สักครู่ก็มีคนเดินขึ้นมาจากบันไดตรงที่ผมขึ้นมาตอนแรกนั่นแหละ  เป็นผู้ชายสองคน และสาวชุดสีชมพูคนที่เอากล่องอาหารมาให้   เอ  ผมงงจัง รถก็เพิ่งจอดแล้วพวกนี้ลงจากรถไปตอนไหนหว่า  สงสัยจะลงทางประตูคนขับ  พอนึกถึงคนขับผมก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ

       ผู้ชายทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินดูเท่ห์ดี  มายืนมองกราดไปมารอบรถแล้วหนึ่งในสองก็เอ่ยปากถามขึ้น  

       “เมื่อตะกี้ใครตะโกนคนขับหลับ”

       ผมชูแขนบอกทั้งคันรถไปทันทีว่า เมื่อกี้ตอนรถสวนกันและสาดไฟเข้ามา ผมมองไปยังเบาะหน้าสุดตรงคนขับนั่ง เห็นเบาะนั้นปรับตัวนอนหงายลงและคนขับกำลังนอนหลับอุตุ  

       เท่านั้นเองก็มีเสียงด่าพึมว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า  ไอ้ซื่อบื้อ ก็ดังขึ้นทั้งคันรถ  ยิ่งป้านั่งติดกับผมนั้นด่าหนักกว่าเพื่อน

       ผมขอบอกตามตรงว่านึกเสียใจเหมือนกันที่เป็นต้นเหตุทำให้คนขับถูกด่า แต่มันก็จำเป็นต้องตะโกนเพราะคุณคงรู้ดีว่าการที่คนขับเอาแต่นอนหลับอุตุขณะที่ปล่อยให้รถวิ่งไปเองเรื่อย ๆ นั้นมันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง  ดูจากรถวิ่งลงข้างทางโครม ๆ ก็รู้  

       แต่พอฟังไปฟังมาซักพัก  ผมก็ชักจะสงสัยเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ด่าคนขับกัน กลายเป็นไอ้โง่คนไหนก็ไม่รู้เป็นตัวการทำให้ตกอกตกใจกันทั้งคันรถ

       พอเห็นผมมองหน้าแกอย่างงง ๆ คุณป้าก็หันมาตะคอก  

       “เอ็งนี่มันบ่ฮู้อะหยังแต้ ๆ เนาะ  รถคันนี้มันรถทัวร์สองชั้นโว้ย  คนขับเปิ้นอยู่ตางลุ่มปู้น  คนนั่งหน้าสุดนั้นเปิ้นเป๋นผู้โดยสารโตยกั๋น “

        ผมถึงกับอ้าปากหวอเมื่อเพิ่งรู้ว่าความจริงจากปากคุณป้าว่าคนขับอยู่ข้างล่างโน่น  ส่วนคนหน้าสุดที่ผมคิดว่าเป็นคนขับนั้นอันที่จริงเป็นผู้โดยสารด้วยกัน

       “เหย !!  บ่าง่าวเฮ้ย  เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว  ตึงบ่ฮู้อะหยังแต๊ ๆ ”  ป้ายังด่าต่อว่าผมเป็นไอ้โง่ เคยนั่งแต่รถเมล์เขียว  ช่างไม่รู้อะไรเสียจริง ๆ

       คราวนี้ผมอายจัดจนใบหน้าร้อนผ่าวเลยครับ  เพราะโดยปกติแล้วโอกาสที่ผมจะทำขายหน้าห้าแต้มแบบนี้มีน้อยมาก  ที่ถ้าทางทางบ้านรู้เข้าคงสวดผมยับว่าทำเสียชื่อตระกูล

       ผมหัวเราะแหะ ลุกขึ้นไหว้กราดแบบนักมวยขึ้นเวทีไปทั้งคันรถ ไหว้ไปเสร็จเสียงบ่นเสียงด่าก็ค่อยเงียบลง  ส่วนคนเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินนั้นผมเพิ่งรู้ว่าจริงแล้วเป็นคนขับนั่นเอง  พี่แกถลึงตามาแล้วมุดกลับลงบันไดไป ส่วนน้องชุดสีชมพูก็เอาแต่หัวเราะกิ๊ก ๆ ไม่ยอมหยุดจนหายลับลงไปพร้อมกัน

    ผมหันไปขอโทษสองคนทางข้างหลัง โดยเฉพาะพี่คนนั่งติดทางเดินเหมือนกับผม  รู้สึกว่าแกจะเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่ลุกขึ้นวิ่ง  แล้วก็สะดุดอะไรไม่รู้จนหัวทิ่มเกือบตกลงทางบันได  

    พี่อีกคนโบกมือให้  พลางหันไปบอกเพื่อน

        "... สมหมายนั่งลงเถอะ.."  

        จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งลง   และผมยังได้ยินคนชื่อสมหมายพูดเบา ๆ

    “เป็นแผนของมันหรือเปล่าพี่ ... “

    “ไม่รู้  !! .. “ อีกคนตอบ  “... แล้วมันจะทำไปทำไม   โอ้ย !! ..ปวดหัว ...สงสัยจะไม่สบายแล้วกู”

    ได้ยินถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงวิธีจะขอโทษพวกพี่เขาได้  จึงลุกขึ้นแล้วหันกลับไปทางที่นั่งด้านหลัง  และก็ได้เห็นว่าพี่สมหมายก็ลุกขึ้นได้ไวไม่แพ้ผมเช่นกัน  ช่างสมกับเป็นคนบ้าจี้ดีแท้ ..

    “..อะไร  อะไร   เอ็งจะทำอะไร ... “  พี่สมหมายถามเร็วปรื๋อ

    ผมต้องค่อยใจเย็นอธิบายอีกครั้งว่าผมขออภัยจริง ๆ ในการที่ทำให้พวกพี่ต้องตกอกตกใจจนถึงขึ้นได้เจ็บป่วย  และขอให้ผมได้ตอบแทนอะไรบ้าง  เช่นโดยการขอมอบยาแก้ปวดแก้ไข้ที่ผมมีอยู่เป็นการตอบแทน  ว่าแล้วผมก็ยื่นขวดยาให้

    พี่สมหมายนิ่งอึ้งไปแต่ก็ยื่นมือมารับขวดยา  เห็นแกถือค้างไว้อย่างนั้นไม่มีทีท่าจะส่งให้พี่อีกคนที่ไม่สบาย  ผมเลยอดถามต่อไม่ได้

    “... พวกพี่มีน้ำกินกับยาไหม  ผมมีในกระติกเหลืออยู่ ..”

    พี่สมหมายหันไปมองหน้าลูกพี่ของแก  ซึ่งพี่คนนั้นก็บอกว่าไม่ต้อง  แกยังจะไม่กินตอนนี้  ขอแค่แบ่งยาไว้สักสองเม็ดก่อนก็ได้  

    “ ...โอ้ย .. ยังไม่ต้องรีบคืนก็ได้ครับ  พี่เอาไว้ก่อนเถอะ  จะว่าไปยานี่แม่ผมใส่มาให้ทำไมก็ไม่รู้  ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยจะได้กิน  เพราะไม่เคยจะเจ็บไข้ได้ป่วยกับเขาสักที  ... “

        ผมหัวเราะขำแม่ของผมที่ทำอะไรเกินความจำเป็น  เสร็จแล้วก็บอกเพิ่มเติมไปอีกว่าดูแล้วพี่ทั้งสองน่าจะจำเป็นกว่าผม  เพราะเผื่อพี่แกจะยังไม่หายดี  หรือบางทีเผื่อพี่สมหมายคิดจะปวดหัวขึ้นมาบ้างจะได้มียากิน

    ทั้งคู่ทำตาปริบ ๆ หันไปมองหน้ากันอีกครั้ง  

    “พี่ว่ามันพูดจริงไหม   หรือมันคิดอะไรอยู่ ...”

    “ใครจะไปรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร  ทีแรกกูก็บ่นไปงั้นแหละว่าปวดหัว แต่ตอนนี้เอายาไว้ก่อนก็ดี เพราะกูชักจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริง ๆ ...”

    พวกพี่สองคนคุยกันแปลก ๆ ชอบกล  ไหงเป็นว่ากลายเป็นมีปวดหัวจริงหรือปวดหัวไม่จริง  ผมฟังแล้วก็เริ่มงงจนเหมือนจะปวดหัวขึ้นมาบ้าง  เพิ่งรู้ว่าไอ้โรคปวดหัวนี่มันติดต่อกันได้  จึงรีบหันกลับมานั่งลงเสีย  ทิ้งขวดยาไว้ให้พี่ไว้ตกลงกันเองว่าจะปวดหัวหรือไม่

       ผมนั่งลงจัดพลางจัดท่าทางดีแล้ว  เหลือบมองเก้าอี้ข้าง ๆ เห็นป้าแกยังขยับยุกยิกเลยเอื้อมมือสะกิดถามแกเรื่องที่ผมสงสัยในใจอยู่   แกหมุนตัวขยับหันหลังให้  พลางว่ามา

       “ข้าจะหลับจะนอน  คิงอย่ามาจิ๊  กำเดียวง่าวจะติด“

        ผมหลับตาปี๋อีตรงที่คุณป้าว่าอย่ามาแตะ  ประเดี๋ยวโง่จะติด

       “สูมาเตอะป้า เฮาจะถามบ่อดาย ว่าก่อนหน้าที่เฮาจะเอิ้น  รถหยังมาสั่นโคล้ม ๆ  อย่างกับตกข้างตาง”

       ผมบอกป้าไปว่าขอโทษเถอะ   คือผมจะถามเฉย ๆ ว่าก่อนที่จะตะโกน ทำไมรถถึงได้สั่นเหมือนจะตกลงข้างทาง

       “ช่วงนี้เขากำลังซ่อมถนน  สึ่งตึงแต๊ ๆ “  ป้าแกตอบมา  ทั้งที่ยังหันหลังให้

       อ้อ !!  เป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนี้ผมก็สมควรให้ป้าแกด่าว่าซื่อบื้อ  แต่ผมก็ยังข้องใจไม่หายว่าแล้วทำไมป้าถึงต้องนั่งตัวแข็ง  ปากอ้าตาค้างเหมือนตกใจสุดขีด ..

       “หูย .. ไอ้นี่เนาะ  รถมันสั่นข้าก็สะดุ้งตื่น   พอดีใคร่จ๋าม   มันก็ต้องนั่งซื่อ  ๆ อ้าปาก  แล้วคิงจะฮื้อข้าทำท่าอย่างใด”

       ผมอดหัวเราะไม่ได้  เป็นเพราะแกอยากจะจามนี่เองเลยต้องนั่งตัวตรง ปากอ้า ตาค้าง  เฮ้อ  เวรจริง ๆ

    คราวนี้ป้าแกหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าผม  ถามขึ้น

       “ง่าว ๆ อย่างนี้  เอ็งจะไปกรุงเทพฯได้อย่างใดกั๋นนี่”  

       ผมบอกว่าแค่ไปหาน้า  พอเจอแล้วก็กลับ  คงไม่ได้อยู่นาน     

       “แล้วป้าล่ะ ไปกรุงเทพยะหยัง”    ผมถามกลับว่าคุณป้าไปกรุงเทพทำไม

       คุณป้าบอกว่าจะไปหาลูกสาว พรุ่งนี้เช้าเธอจะมารับที่หมอชิต  จากนั้นแกก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าไม่มีทางแนะนำให้รู้จักกันแน่ ๆ

       “เป็นหยังรึ” ผมสงสัย

       “ข้ากลัวเชื้อง่าวติด”   แกบอกสั้น ๆ

        โธ่ !! ..

……………  มีต่อ   …………………
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่