สุดยอดบทบู๊ดุเด็ดเผ็ดมันส์ แทรกรักซาบซึ้งตรึงใจ ที่คุณต้องสะเทือนอารมณ์ @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า @@@

......   วิกสังกะสีขอแนะนำ ......


     รถสองแถวคันเก่าคร่ำคร่าที่ผมนั่งอยู่นี้กำลังวิ่งปุเลง ๆ  จากยอดดอยลงสู่พื้นราบปลายทางอำเภอแม่จัน  ผมเอี้ยวกายเอาแขนพาดพนักพิงทางด้านหลังมองออกไปนอกรถ  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทิศไหนก็เห็นแต่เขาสูงเสียดฟ้า หมู่เมฆลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบกายราวกับจะคว้าได้   สายลมเย็นฉ่ำหอบเอาไอหมอกเข้ามาปะทะกับใบหน้าของผมจนเปียกชุ่ม  ธรรมชาติมันช่างทำให้เบิกบานใจแท้ ๆ  แล้วผมก็ยิ่งคึกคักเมื่อนึกถึงอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา

     “เป็นอะหยังกาถึงได้นั่งยิ้มอยู่คนเดียวไอ้สะเอิง”   

     เสียงของป้าชาวมูเซอยิ้มเห็นฟันสีดำคล้ำซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามดึงผมให้หลุดจากภวังค์   แกถามผมว่าเป็นอะไรหรือถึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียว

      ผมหันร่างกลับมานั่งตัวตรงตามปกติ เพิ่งสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องผมอยู่เป็นตาเดียว ภายในรถอัดแน่นไปด้วยผู้คนสารพัดเผ่าทั้ง  มูเซอ กะเหรี่ยง อีก้อ  จีนฮ่อ ไปจนถึงคนเมืองเหนือ  จะขาดก็แต่คนกรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครมานั่งแนบสนิทใกล้ชิดกับพวกเราบนรถคันนี้เป็นแน่

     พอนึกถึงตอนนี้  ผมก็อดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้  เพราะอีกแค่ชั่วข้ามคืนผมก็จะได้พบปะพูดคุยกับชาวกรุงอย่างใกล้ชิด  และเห็นแสงสีอันศิวิไลย์ของกรุงเทพฯซึ่งปกติก็ได้อยู่แค่ในความฝันเท่านั้น

     แหม .. ผมว่าจะไม่ให้ใครรู้แล้วนา  แต่พอถูกสะกิดถามขึ้นมาก็เลยอดบอกออกไปไม่ได้

     “เฮากำลังจะลงไปกรุงเทพ ฯ “
      
       …………..

      เสียงครางฮือดังขึ้นทั้งคันรถ

      ...............

         
      ที่ผมจำต้องเดินทางไกลไปกรุงเทพในครั้งนี้  เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะน้าของผมแท้ ๆ เชียว  ดันไปหลงรักสาวว้าที่ฝั่งพม่าเสียจนหัวปักหัวปำ แกรักของแกจริงจัง ขนาดเดินข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกเพื่อจะไปเห็นหน้าอีสาวได้เกือบทุกวัน  

     พอความรักมันสุมอกหนักเข้าจนทนไม่ไหว น้านุกัวก็มารบเร้าให้พ่อของผมไปขอสาวให้หน่อย  ตอนแรกพ่อผมก็ทำท่าว่าจะไปขอให้อยู่หรอก  แต่พอได้ยินค่าสินสอดสามแสนบาทเข้าเท่านั้นพ่อแกก็ส่ายหัวดิก ๆ พร้อมกับบอกน้านุกัวว่า  หากยังนับถือกันว่าเป็นพี่เขยอยู่ก็อย่ามาปรึกษาเรื่องนี้กับแกอีกเด็ดขาด  

     เมื่อเห็นว่าความหวังจะได้นอนกกสาวว้าให้หายหนาวมันชักเลือนรางริบหรี่  น้านุกัวก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ  พยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อจะได้มีเงินไปขอสาว  แล้วในที่สุดแกก็อุตส่าห์หาหนทางเจอจนได้   

      ..............

     วันนั้น ... น้านุกัวเดินถูไม้ถูมือทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องเข้ามาบอกผม  

      “น้ามีวิธีหาเงินง่าย ๆ ไปขอสาวได้แล้วล่ะ”

      ผมมองหน้าแกอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจะเจอว่ามีวิธีหาเงินง่าย ๆ  ถ้าจะเป็นวิธีเสียเงินง่าย ๆ ล่ะก็ว่าไปอย่าง  อันนั้นผมจาระไนออกมาได้เป็นโหล ๆ แต่อย่างไรผมก็ต้องขอนิ่งฟังน้านุกัวแกไว้ก่อน เพราะน้าแกได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดที่สุดคนหนึ่งของหมู่บ้าน  บางทีแกอาจจะมีวิธีของแกจริง ๆ ก็ได้     

      น้าแกบอกว่าจะไปขอยืมเงินพี่สาวซึ่งก็คือแม่ผม  จะเอาไปลงทุนทำการค้าข้ามประเทศ  งานนี้แกขอให้ผมช่วยพูดรับรองกับแม่  ว่าการค้าของแกต้องสำเร็จไปด้วยดีแน่ ไอ้เรื่องเงินเรื่องทองของบ้านผมนี่  ขอบอกก่อนว่าถึงแม่ผมจะเป็นคนเก็บ  แต่ไอ้การจะเอาไปให้ใครหยิบยืมจะให้พ่อรู้เป็นไม่ได้อย่างเด็ดขาด  

      น้านุกัวคอยไปออดอ้อนแม่ว่า  เงินที่ยืมเป็นการเอาไปลงทุนเพื่ออนาคต  นอกจากจะได้กำไรเอาเงินไปขอสาวแล้ว  แล้วน่าจะเหลือพอจะซื้อที่ลงทุนทำสวนกะหล่ำปลีสักแปลงเล็กๆ ให้ตั้งเนื้อตั้งตัวสร้างครอบครัวได้   ไม่ต้องมาคอยแบบมือขอแม่ผมอย่างเช่นเคย   

     ทีแรกแม่แกก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก  แต่พอโดนตื๊อหนัก ๆ แถมยังมีผมคอยรับประกันให้   ที่สุดแม่ก็ใจอ่อนแอบงัดเอาเงินที่เก็บไว้ในปี๊บใต้เตียงให้น้ายืมไปแปดหมื่นบาท   น้านุกัวพอได้เงินไปก็หายหัวเข้าไปทางฝั่งพม่าได้เป็นอาทิตย์   จากนั้นก็ยิ้มกริ่มกลับมาบอกว่าจะลงไปกรุงเทพฯต่อ  

     “กำเดวเฮาจะต้องรวยปิ๊กมาแน่ ๆ  เอ็งอยากจะได้อะหยังในกรุงเทพฯก็บอกมา  น้าจะซื้อมาฝาก”

     น้านุกัวบอกกับผมอย่างมั่นอกมั่นใจ

     วันเดินทางน้านุกัวแบกกระเป๋าพร้อมสะพายย่ามโบกมือล่ำราผมกับแม่ซึ่งไปส่งแกที่ท่ารถอำเภอแม่จัน  แต่แล้วหลังจากวันนั้นน้าแกก็หายต๋อม  มาจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปตั้งหลายเดือน  ทำเอาพวกเราเป็นห่วงกันทั้งบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน   

     อยู่ ๆ เมื่อวานที่บ้านก็ได้รับจดหมายของน้าที่ถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ  พวกเราดีอกดีใจกันยกใหญ่  พ่อยกให้ผมเป็นคนอ่าน นอกนั้นก็นั่งฟังพลางไต่ถามกันเซ็งแซ่ว่าเขียนมาอย่างไรบ้าง     

     ข้อความในจดหมายบอกถึงสาเหตุที่แกหายไป   น้าแกสารภาพว่าเงินที่ยืมไปนั้นที่แท้แกเอาเงินไปลุงทุนซื้อยาบ้าจากพวกว้าแดง  โดยใส่ไว้ในย่ามที่แกสะพายไปนั่นแหละ   การค้าครั้งนี้เป็นคำแนะนำของเพื่อนแกทางฝั่งพม่าโน้น   บอกว่าเป็นการค้าขายกันแบบได้เงินง่ายและรวดเร็ว  

     ส่วนไอ้ว้าคนส่งยาให้ก็บอกว่าได้ติดต่อผู้รับซื้อทางกรุงเทพฯไว้ให้แล้ว พอไปถึงสถานีหมอชิตตอนเช้าก็จะมีคนมาติดต่อรับยาเอง แล้วจ่ายเงินให้น้าตรงนั้นเลยไม่ต้องห่วง  

      คืนนั้นน้าแกนั่งรถทัวร์หอบยาบ้าผ่านฉลุยจนไปถึงท่ารถหมอชิตในกรุงเทพฯ  แต่ปัญหากลับมีอยู่ว่าพอแกลงจากรถ  ดันไม่มีใครมารับยาบ้าอย่างเจ้าว้าแดงมันบอก

      ด้วยความกลัวจะพลัดหลงกับคนมารับยา  ทำให้น้าไม่กล้าไปไหนไกล  สะพายย่ามเดินวน ๆ เวียน ๆ รออยู่ในท่ารถได้สามวันเงินติดตัวไปไม่ถึงพันก็หมดลง  แล้ววันที่สี่ก็มีคนแปลกหน้ามาสะกิดถามว่าของในย่ามแกเป็นอะไร …

       หากจะถามถึงคนฉลาดที่สุดในหมู่บ้านของเรา  ใคร ๆ ก็ต้องยกนิ้วให้น้านุกัวนี่แหละ  ลองคิดดูสิครับว่าขนาดแกกล้าไปกรุงเทพฯคนเดียวนั่นเชียว   
น้าแกเลยตอบไปว่า   

     “ใครจะบอกแกล่ะว่าเป็นยาอะไร ..”

       แต่ไอ้คนนั้นดันแสนรู้อีกว่าน้ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า  มันตื๊อขอซื้อจนได้ให้ราคาเม็ดละตั้งร้อยยี่สิบบาท  คราวนี้น้าถึงกับตาโตประกอบกับไม่มีเงินติดตัวสักบาท   เลยตอบตกลง …

      แค่เพียงน้าตอบไปก็มีคนเกือบกรูเข้ามารุมล้อมน้าเต็มไปหมด  ส่วนมากเป็นพวกใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตนุ่งกางเกงยีนส์  น้าเห็นท่าไม่ดีก็เลยเผ่น  เล่นเอาวิ่งไล่กวดกันจนวุ่นวายไปทั้งท่ารถ บขส.

      ผมเข้าใจอยู่หรอกที่น้าแกเผ่น เพราะพวกเราจะถูกคนที่เคยมากรุงเทพบอกไว้ว่าพอถึงกรุงเทพให้ระวังพวกรถรับจ้างที่หมอชิตลากไปขึ้นรถของมันแล้วก็จะวิ่งอ้อมเอาค่าโดยสารแพง ๆ  เงินทองติดตัวน้าแกยิ่งไม่มีอยู่  ขืนเจอค่ารถโหดเข้าไปอีกเป็นต้องเดือดร้อนหนักแน่ ๆ

      เผอิญว่าน้าหิวข้าวจนหมดแรงพวกนั้นเลยไล่ตามจนได้ในที่สุด  พวกคนใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตพากันลากน้าขึ้นรถไป   แต่แย่มากคือแทนที่จะเป็นรถแท็กซี่ติดแอร์เย็น ๆ  พวกนั้นดันลากน้าขึ้นท้ายรถปิ๊คอัพ แถมบางคนก็ขึ้นมานั่งอัดอยู่ด้วย  แล้วก็พาไปโดยที่ไม่ถามสักคำว่าผู้โดยสารจะไปไหน

      พอรถจอดน้าถึงรู้ว่ามาโรงพักนั่นเองเพราะเห็นตำรวจอยู่เต็มไปหมด   แกก็งง ๆ ว่าพวกนั้นพามาทำไม   แต่ก็ได้ทีถือโอกาสฟ้องตำรวจไว้ก่อนว่าหากพวกนั้นจะมาคิดค่าโดยสารรับรองแกไม่จ่ายเด็ดขาด เพราะน้าไม่ได้เต็มใจที่จะขึ้นรถแม้แต่น้อย

      ตำรวจรับคำแล้วก็พาน้ามานั่งที่โต๊ะยาว ๆ   สักครู่ตำรวจในโรงพักห้าหกคนก็มานั่งฝั่งตรงกันข้ามแถมยืนเรียงแถวข้างหลังพวกที่นั่งอีกเป็นยี่สิบคน  ส่วนพวกเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตก็พามารุมล้อมกันอยู่ข้าง ๆ

      งานนี้น้ารู้สึกว่าจะต้องเป็นเรื่องเป็นราวกันแน่  แต่แกก็ไม่กลัวเท่าไหร่  ถ้าจะรู้สึกอึดอัดบ้างก็คือมีพวกรับจ้างถ่ายรูปมายืนล้อมถ่ายรูปกันหลายคน   บริเวณจุดชมวิวบนยอดดอยแถวบ้านผม  จะมีเด็กแต่ชุดประจำเผ่าคอยยืนถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว  หากมีคนไปยืนเต๊ะท่าถ่ายรูปกับเด็ก  รอสักครู่จะมีคนเอารูปถ่ายมาให้ และขอค่าถ่ายรูปกับเด็กใบละตั้งหลายสิบ   

       น้านุกัวเห็นพากันถ่ายฉับ ๆ ก็ชักจะหวั่นใจเพราะพวกนั้นคงไม่ถ่ายให้ใครฟรีเป็นแน่   คิดอยู่ว่าพวกนั้นจะไปเก็บเงินกับใครก็เก็บ  แต่ต้องไม่ใช่ที่น้าเป็นอันขาดเพราะแกจะไม่ยอมเป็นหมูให้ใครมาเชือดได้ง่าย ๆ

....
....
....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่