ความเดิมตอนที่หนึ่ง
https://pantip.com/topic/37896571
.. ตอนที่ 2 เปิดม่านนนนน ....
...........................................................
......โดยปกตินอกจากในครอบครัวแล้ว คนเราก็ต้องมีพรรคพวกที่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นคนในบ้านเดียวกัน ประเภทที่ว่าถ้าหากผมไปกรุงเทพฯโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่ะก็ อาจเป็นต้องพังกันไปข้างหนึ่ง
ผมมีเพื่อนแบบนี้อยู่หนึ่งคน เราอยู่กันคนละหมู่บ้านแต่ก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยว่าพ่อของเราเป็นเพื่อนกัน พรรคพวกของผมคนนี้นับว่าดีไปทุกประการ เสียอยู่อย่างเดียวที่เธอดันเป็นผู้หญิง มันจึงทำให้ผมไม่ค่อยสะดวกใจนักเวลาที่จะอยู่ใกล้ชิด หลังจากที่เราทั้งคู่พ้นวัยเด็กขึ้นมา
ไอ้ไม่อยากอยู่ใกล้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องไปบอกเหมยเรื่องที่จะไปตามหาน้าที่กรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางสี่ห้าวัน ผมเลยเดินข้ามดอยลงไปหาเธอที่บ้าน
เมื่อผมเข้าไปแจ้งข่าวในบ้านของเหมย พ่อกับแม่ของเธอก็อยู่กันพร้อมหน้า พ่อของเหมยซึ่งผมเรียกติดปากว่าพ่อกำนันก็ได้ให้ศีลให้พรและบอกให้ผมเดินทางโดยโชคดี แต่ที่ดียิ่งกว่าคือบนบ้านของเหมยยังมีเพื่อนอีกคนของผมอยู่ด้วยคือคุณปลัดสมศักดิ์
ไอ้ผมน่ะไม่ชอบการคุยโอ่สักเท่าไหร่ แต่การมีเพื่อนเป็นระดับปลัดอำเภอนั้นถือว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน พวกผมคบหารู้จักสนิทชิดเชื้อกันมาเกือบปี
คนมักจะไม่ค่อยเชื่อว่าชาวดอยเรียนหนังสือมาน้อยอย่างผมจะได้คบหากับข้าราชการ ผมเลยมักจะได้อธิบายกับผู้คนได้อยู่บ่อย ๆ ว่าเราไปเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
เริ่มจากวันนั้นเห็นว่าที่บ้านของกำนันจะมีการประชุมอะไรกันสักอย่าง หลังจากนั้นก็จะมีการเลี้ยงรับรองปลัดคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน พ่อผมเลยสั่งให้ผมเอากะหล่ำปลีไปช่วยงานเลี้ยงที่บ้านกำนัน
ขณะที่ผมไปถึงเขาคงประชุมกันเสร็จแล้วเพราะเห็นชาวบ้านนั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่แถวลานบ้านแค่ประปราย ผมมองหาพ่อกำนันก็เห็นแกกำลังนั่งโจ้สุราอาหารอยู่กับครูใหญ่ และพวกผู้ใหญ่บ้าน แต่ที่เด่นที่สุดคือคนนั่งอยู่หัวโต๊ะ โดยมีเหมยลูกสาวของกำนันนั่งเคียงข้างอยู่
ผมมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนนี้คือท่านปลัดคนใหม่เป็นแน่ เพราะแกเป็นหนุ่มหล่อ ท่าทางดูดีมีสง่าราศี ขนาดผมยืนดูอยู่ไกล ๆ ยังเห็นถึงลักษณะเหล่านี้ มิน่าเล่าคนอื่น ๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ จึงดูเหมือนจะเกรงอกเกรงใจและเอาใจแกไปหมด
ผมแอบเมียงมองอยู่หลังห้องครัวเพื่อขอชื่นชมปลัดคนใหม่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ แต่แล้วก็พลาดเข้าจนได้ เมื่อจังหวะหนึ่งถูกเหมยเหลือบมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ เธอขยับตัวลุกขึ้นพรวดพราด วิ่งเข้ามาลากผมออกจากหลังครัวพาเข้าไปหาท่านกำนัน
ผมโดนดึงแขนเดินเอียงกระเท่เร่ ผ่านลานบ้านเข้าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นจนแทบทำหน้าไม่ถูก ไอ้ความอายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือการแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้มันผิดผี ถ้าเป็นบ้านผมน่ะหรือตอนนี้ผมเป็นเสียเหล้าไม่รู้กี่ไห เสียไก่ไม่รู้กี่คู่ ยังดีที่ครอบครัวกำนันเป็นจีนฮ่อเลยไม่ถือในเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นพอกลับถึงบ้าน ผมก็ต้องไปขอขมาผีบ้านผีเรือนทุกครั้ง
เพื่อน ๆ มักจะอิจฉาผมที่เหมยเธอชอบมาสนิทสนมด้วย เพราะพวกมันคิดว่าเธอสวยปานดารา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นโชคร้ายเสียมากกว่า เพราะนอกจากจะถูกเธอจับเนื้อต้องตัวต่อหน้าคนอื่นให้ได้อายอยู่บ่อย ๆ แล้ว ที่ว่าสวยผมก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ เธอก็แค่มีผิวขาวและรูปร่างสูงกว่าคนอื่น ตาก็กลมโตไม่ตี่เหมือนคนอื่นแถวบ้าน ขนตาก็ยาวงอนเกินไป
ผมว่าถ้าจะมีดูดีกว่าสาวดอยคนอื่นบ้างก็แค่ตรงจมูกเชิดรั้นและฟันขาวซี่เล็ก ที่เวลายิ้มแล้วชวนให้เราเหลียวไปมองอีกครั้งก็เท่านั้นเอง แต่ถึงยังไงสำหรับผมนั้น เหมยก็เป็นเด็กกะโปโลที่วิ่งแก้ผ้ามาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่นั่นเอง
และวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย เหมยทำผมต้องมายืนทำหน้าปูเลี่ยน ๆ ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ในโต๊ะและพวกชาวบ้านที่ยังไม่กลับ ทุกคนพากันหัวเราะผมเหมือนกับทุกครั้งแหละ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยักหัวเราะไปด้วยคือปลัดสมศักดิ์ เห็นแกมองหน้าผมกับเหมยสลับกันไปมาหลายที
“หมอนี่เป็นใครกันครับ..” คุณปลัดหันไปถามท่านกำนัน
“เป็นลูกชายของเพื่อนผมเองครับ ชื่อเจ้าสะเอิง” พ่อกำนันตอบ
“เขาเป็นแฟนของเหมยเอง จะพามาแนะนำให้ปลัดรู้จักน่ะค่ะ หล่อไหมคะ” เหมยว่า
ถึงแม้ผมจะได้ยินคนบอกว่าผมหล่อเหมือนพระเอกหนังจีนอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ต้องขอบอกตามตรงล่ะครับว่าผมก็ยังอดเขินไม่ได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมได้แต่ยืนบิดอยู่ข้างเหมย ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี
ทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืนอีกครั้งรวมทั้งพ่อกำนัน หากจะเว้นไว้สักคนก็คือคุณปลัด ซึ่งผมก็ว่าถูกต้องแล้วเพราะแกเป็นข้าราชการมีตำแหน่งใหญ่โต อยู่ ๆ จะมาให้หัวเราะเล่นได้อย่างไร
“ก็หน้าตาดีใช้ได้ คงเป็นอาเสี่ยมาจากที่ไหนหรือ ถึงได้มาสนิทสนมกับน้องเหมยได้”” คุณปลัดแกว่า
“บ่แม่นเสี่ยที่ไหนหรอกครับ บ้านเฮาปลูกสวนกะหล่ำอยู่ป๋ายดอยปู้น นี่เข้ามาส่งกะหล่ำเลยแวะเข้ามาผ่อเปิ้นประชุมกัน ” ผมหัวเราะแหะ บอกไปตามจริงว่าเป็นแค่คนสวนบนยอดดอย และแค่แวะมาดูเขาประชุมกัน
คำพูดของผมทำให้สีหน้าของปลัดสมศักดิ์ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ไม่เคร่งเครียดเหมือนอย่างตอนแรก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้ขึ้นมาอย่างหนึ่งล่ะว่าคุณปลัดแกเป็นข้าราชการนิสัยดี ไม่รังเกียจคนดอย
“อ้อ ที่แท้ก็พวกทำสวนกะหล่ำนี่เอง แล้วที่ว่าบ้านเราอยู่บนยอดดอยนั่นดอยไหนล่ะ แถวนี้ไหม” คุณปลัดชวนผมคุยตามประสาคนไม่ถือเนื้อถือตัว
“ดอยลูกโน้นครับ ………… “ ผมชี้
“โอ้โฮ !! ไกลไม่ใช่เล่นนะ เกือบข้ามฝั่งพม่าเลยมั้ง แล้วมายังไงล่ะเรา”
“เตวมาครับ เตวลัดข้ามดอยมา”
พอผมตอบไปว่าเดินลัดข้ามดอยมา คุณปลัดก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาถนัดใจ เห็นแกหันไปมองเหมยแบบยิ้ม ๆ
“พอเถอะ จะซักไปทำไมมากมาย “ เหมยว่าพลางจะดึงผมออกไปจากโต๊ะ
“เดี๋ยวสิ…” คุณปลัดโบกมือห้าม “…. คือพี่อยากจะรู้ว่าเขาต้องเดินไกลขนาดไหนจนมาหาน้องเหมยได้ถึงที่นี่ เอ้า !! .. ไหนสะเอิงบอกหน่อยซิว่าบ้าน เราขึ้นไปอีกสักกี่กิโล... ”
“เอ ... เดวมันก็ขึ้นดอย เดวมันก็ลงดอย เฮาก็บอกบ่ถูกว่ามันจะสักกี่กิโล ... ” ผมว่า
“เปรียบเทียบเอาก็ได้เอ้า ว่าไกลขนาดไหน” ปลัดว่าพลางหัวเราะขณะที่เหมยกลับทำเป็นหน้าบึ้ง
“บ่รู้จะเปรียบกับอะหยังครับ เฮาเปรียบบ่ค่อยจะเป็น” ผมเกาหัว
“เปรียบกับอะไรก็ได้น่า เอาตามสายตาของนายก็ได้...” คุณปลัดยังถามมา พร้อมช่วยชี้แนวทางในการกะระยะให้แก่ผม
พอพูดตอนนี้ผมถึงคิดขึ้นมาได้ แหม ผมช่างโง่เสียแท้ ๆ นี่ถ้าคุณปลัดแกไม่ช่วยบอกมาก็คงจะยังนึกไม่ออก
“เอาตามสายตาของเฮา ... “ ผมว่าพลางยิ้มอย่างเขิน ๆ เพราะเห็นทั้งวงจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว
“… ถ้าเฮาอยู่บนดอยที่บ้าน มันไกลขนาดมองลงมาเห็นปลัดตัวน้อยยยย ... เท่าเห็บหมานั่นแหละครับ”
คำตอบของผมท่าจะดีไม่น้อยเพราะทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืน เห็นมีแต่ปลัดที่อยู่ ๆ ก็สะดุ้งเหมือนแมวถูกเหยียบหาง พร้อมกับทำท่าว่าจะลุกขึ้นพรวดพราด
ครูใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ติดกับปลัดรั้งตัวแกเอาไว้ “...ใจเย็น ๆ ครับปลัด ไอ้สะเอิงมันเป็นคนซื่อครับ มันคิดอย่างไรก็บอกไปตามจริง มันไม่มีเจตนาจะด่าปลัดหรอก อย่าไปโกรธมันเลย...” ว่าแล้วครูบุญสมก็หัวเราะกึ่ก ๆ
ผมขอสารภาพตามตรงล่ะครับว่ารู้สึกงงเอาการที่อยู่ ๆ คำเปรียบเทียบของผมจะกลายเป็นคำด่าไปได้ แต่หากครูใหญ่แกว่ามาอย่างนั้น ผมก็คงจะพูดผิดไปจริง ๆ เลยหันไปไหว้ขอโทษปลัด ประกอบกับกำนันพูดช่วยมาอีกแรง คุณปลัดจึงทำท่าดีขึ้นบ้าง ผมเห็นได้ทีจึงถือโอกาสเผ่นออกจากโต๊ะแจ้นกลับบ้านก่อนที่เหมยมันจะมายื้อยุดฉุดแขนให้ผิดผีกันอีก
(ต่อข้างล่าง)
วิกสังกะสีขอแนะนำ .. สุดยอดบทรักเชือดเฉือนสะเทือนอารมณ์ _ @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 2 @@@
https://pantip.com/topic/37896571
.. ตอนที่ 2 เปิดม่านนนนน ....
...........................................................
......โดยปกตินอกจากในครอบครัวแล้ว คนเราก็ต้องมีพรรคพวกที่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นคนในบ้านเดียวกัน ประเภทที่ว่าถ้าหากผมไปกรุงเทพฯโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่ะก็ อาจเป็นต้องพังกันไปข้างหนึ่ง
ผมมีเพื่อนแบบนี้อยู่หนึ่งคน เราอยู่กันคนละหมู่บ้านแต่ก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยว่าพ่อของเราเป็นเพื่อนกัน พรรคพวกของผมคนนี้นับว่าดีไปทุกประการ เสียอยู่อย่างเดียวที่เธอดันเป็นผู้หญิง มันจึงทำให้ผมไม่ค่อยสะดวกใจนักเวลาที่จะอยู่ใกล้ชิด หลังจากที่เราทั้งคู่พ้นวัยเด็กขึ้นมา
ไอ้ไม่อยากอยู่ใกล้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องไปบอกเหมยเรื่องที่จะไปตามหาน้าที่กรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางสี่ห้าวัน ผมเลยเดินข้ามดอยลงไปหาเธอที่บ้าน
เมื่อผมเข้าไปแจ้งข่าวในบ้านของเหมย พ่อกับแม่ของเธอก็อยู่กันพร้อมหน้า พ่อของเหมยซึ่งผมเรียกติดปากว่าพ่อกำนันก็ได้ให้ศีลให้พรและบอกให้ผมเดินทางโดยโชคดี แต่ที่ดียิ่งกว่าคือบนบ้านของเหมยยังมีเพื่อนอีกคนของผมอยู่ด้วยคือคุณปลัดสมศักดิ์
ไอ้ผมน่ะไม่ชอบการคุยโอ่สักเท่าไหร่ แต่การมีเพื่อนเป็นระดับปลัดอำเภอนั้นถือว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน พวกผมคบหารู้จักสนิทชิดเชื้อกันมาเกือบปี
คนมักจะไม่ค่อยเชื่อว่าชาวดอยเรียนหนังสือมาน้อยอย่างผมจะได้คบหากับข้าราชการ ผมเลยมักจะได้อธิบายกับผู้คนได้อยู่บ่อย ๆ ว่าเราไปเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
เริ่มจากวันนั้นเห็นว่าที่บ้านของกำนันจะมีการประชุมอะไรกันสักอย่าง หลังจากนั้นก็จะมีการเลี้ยงรับรองปลัดคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน พ่อผมเลยสั่งให้ผมเอากะหล่ำปลีไปช่วยงานเลี้ยงที่บ้านกำนัน
ขณะที่ผมไปถึงเขาคงประชุมกันเสร็จแล้วเพราะเห็นชาวบ้านนั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่แถวลานบ้านแค่ประปราย ผมมองหาพ่อกำนันก็เห็นแกกำลังนั่งโจ้สุราอาหารอยู่กับครูใหญ่ และพวกผู้ใหญ่บ้าน แต่ที่เด่นที่สุดคือคนนั่งอยู่หัวโต๊ะ โดยมีเหมยลูกสาวของกำนันนั่งเคียงข้างอยู่
ผมมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนนี้คือท่านปลัดคนใหม่เป็นแน่ เพราะแกเป็นหนุ่มหล่อ ท่าทางดูดีมีสง่าราศี ขนาดผมยืนดูอยู่ไกล ๆ ยังเห็นถึงลักษณะเหล่านี้ มิน่าเล่าคนอื่น ๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ จึงดูเหมือนจะเกรงอกเกรงใจและเอาใจแกไปหมด
ผมแอบเมียงมองอยู่หลังห้องครัวเพื่อขอชื่นชมปลัดคนใหม่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ แต่แล้วก็พลาดเข้าจนได้ เมื่อจังหวะหนึ่งถูกเหมยเหลือบมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ เธอขยับตัวลุกขึ้นพรวดพราด วิ่งเข้ามาลากผมออกจากหลังครัวพาเข้าไปหาท่านกำนัน
ผมโดนดึงแขนเดินเอียงกระเท่เร่ ผ่านลานบ้านเข้าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นจนแทบทำหน้าไม่ถูก ไอ้ความอายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือการแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้มันผิดผี ถ้าเป็นบ้านผมน่ะหรือตอนนี้ผมเป็นเสียเหล้าไม่รู้กี่ไห เสียไก่ไม่รู้กี่คู่ ยังดีที่ครอบครัวกำนันเป็นจีนฮ่อเลยไม่ถือในเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นพอกลับถึงบ้าน ผมก็ต้องไปขอขมาผีบ้านผีเรือนทุกครั้ง
เพื่อน ๆ มักจะอิจฉาผมที่เหมยเธอชอบมาสนิทสนมด้วย เพราะพวกมันคิดว่าเธอสวยปานดารา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นโชคร้ายเสียมากกว่า เพราะนอกจากจะถูกเธอจับเนื้อต้องตัวต่อหน้าคนอื่นให้ได้อายอยู่บ่อย ๆ แล้ว ที่ว่าสวยผมก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ เธอก็แค่มีผิวขาวและรูปร่างสูงกว่าคนอื่น ตาก็กลมโตไม่ตี่เหมือนคนอื่นแถวบ้าน ขนตาก็ยาวงอนเกินไป
ผมว่าถ้าจะมีดูดีกว่าสาวดอยคนอื่นบ้างก็แค่ตรงจมูกเชิดรั้นและฟันขาวซี่เล็ก ที่เวลายิ้มแล้วชวนให้เราเหลียวไปมองอีกครั้งก็เท่านั้นเอง แต่ถึงยังไงสำหรับผมนั้น เหมยก็เป็นเด็กกะโปโลที่วิ่งแก้ผ้ามาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่นั่นเอง
และวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย เหมยทำผมต้องมายืนทำหน้าปูเลี่ยน ๆ ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ในโต๊ะและพวกชาวบ้านที่ยังไม่กลับ ทุกคนพากันหัวเราะผมเหมือนกับทุกครั้งแหละ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยักหัวเราะไปด้วยคือปลัดสมศักดิ์ เห็นแกมองหน้าผมกับเหมยสลับกันไปมาหลายที
“หมอนี่เป็นใครกันครับ..” คุณปลัดหันไปถามท่านกำนัน
“เป็นลูกชายของเพื่อนผมเองครับ ชื่อเจ้าสะเอิง” พ่อกำนันตอบ
“เขาเป็นแฟนของเหมยเอง จะพามาแนะนำให้ปลัดรู้จักน่ะค่ะ หล่อไหมคะ” เหมยว่า
ถึงแม้ผมจะได้ยินคนบอกว่าผมหล่อเหมือนพระเอกหนังจีนอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ต้องขอบอกตามตรงล่ะครับว่าผมก็ยังอดเขินไม่ได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมได้แต่ยืนบิดอยู่ข้างเหมย ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี
ทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืนอีกครั้งรวมทั้งพ่อกำนัน หากจะเว้นไว้สักคนก็คือคุณปลัด ซึ่งผมก็ว่าถูกต้องแล้วเพราะแกเป็นข้าราชการมีตำแหน่งใหญ่โต อยู่ ๆ จะมาให้หัวเราะเล่นได้อย่างไร
“ก็หน้าตาดีใช้ได้ คงเป็นอาเสี่ยมาจากที่ไหนหรือ ถึงได้มาสนิทสนมกับน้องเหมยได้”” คุณปลัดแกว่า
“บ่แม่นเสี่ยที่ไหนหรอกครับ บ้านเฮาปลูกสวนกะหล่ำอยู่ป๋ายดอยปู้น นี่เข้ามาส่งกะหล่ำเลยแวะเข้ามาผ่อเปิ้นประชุมกัน ” ผมหัวเราะแหะ บอกไปตามจริงว่าเป็นแค่คนสวนบนยอดดอย และแค่แวะมาดูเขาประชุมกัน
คำพูดของผมทำให้สีหน้าของปลัดสมศักดิ์ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ไม่เคร่งเครียดเหมือนอย่างตอนแรก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้ขึ้นมาอย่างหนึ่งล่ะว่าคุณปลัดแกเป็นข้าราชการนิสัยดี ไม่รังเกียจคนดอย
“อ้อ ที่แท้ก็พวกทำสวนกะหล่ำนี่เอง แล้วที่ว่าบ้านเราอยู่บนยอดดอยนั่นดอยไหนล่ะ แถวนี้ไหม” คุณปลัดชวนผมคุยตามประสาคนไม่ถือเนื้อถือตัว
“ดอยลูกโน้นครับ ………… “ ผมชี้
“โอ้โฮ !! ไกลไม่ใช่เล่นนะ เกือบข้ามฝั่งพม่าเลยมั้ง แล้วมายังไงล่ะเรา”
“เตวมาครับ เตวลัดข้ามดอยมา”
พอผมตอบไปว่าเดินลัดข้ามดอยมา คุณปลัดก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาถนัดใจ เห็นแกหันไปมองเหมยแบบยิ้ม ๆ
“พอเถอะ จะซักไปทำไมมากมาย “ เหมยว่าพลางจะดึงผมออกไปจากโต๊ะ
“เดี๋ยวสิ…” คุณปลัดโบกมือห้าม “…. คือพี่อยากจะรู้ว่าเขาต้องเดินไกลขนาดไหนจนมาหาน้องเหมยได้ถึงที่นี่ เอ้า !! .. ไหนสะเอิงบอกหน่อยซิว่าบ้าน เราขึ้นไปอีกสักกี่กิโล... ”
“เอ ... เดวมันก็ขึ้นดอย เดวมันก็ลงดอย เฮาก็บอกบ่ถูกว่ามันจะสักกี่กิโล ... ” ผมว่า
“เปรียบเทียบเอาก็ได้เอ้า ว่าไกลขนาดไหน” ปลัดว่าพลางหัวเราะขณะที่เหมยกลับทำเป็นหน้าบึ้ง
“บ่รู้จะเปรียบกับอะหยังครับ เฮาเปรียบบ่ค่อยจะเป็น” ผมเกาหัว
“เปรียบกับอะไรก็ได้น่า เอาตามสายตาของนายก็ได้...” คุณปลัดยังถามมา พร้อมช่วยชี้แนวทางในการกะระยะให้แก่ผม
พอพูดตอนนี้ผมถึงคิดขึ้นมาได้ แหม ผมช่างโง่เสียแท้ ๆ นี่ถ้าคุณปลัดแกไม่ช่วยบอกมาก็คงจะยังนึกไม่ออก
“เอาตามสายตาของเฮา ... “ ผมว่าพลางยิ้มอย่างเขิน ๆ เพราะเห็นทั้งวงจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว
“… ถ้าเฮาอยู่บนดอยที่บ้าน มันไกลขนาดมองลงมาเห็นปลัดตัวน้อยยยย ... เท่าเห็บหมานั่นแหละครับ”
คำตอบของผมท่าจะดีไม่น้อยเพราะทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืน เห็นมีแต่ปลัดที่อยู่ ๆ ก็สะดุ้งเหมือนแมวถูกเหยียบหาง พร้อมกับทำท่าว่าจะลุกขึ้นพรวดพราด
ครูใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ติดกับปลัดรั้งตัวแกเอาไว้ “...ใจเย็น ๆ ครับปลัด ไอ้สะเอิงมันเป็นคนซื่อครับ มันคิดอย่างไรก็บอกไปตามจริง มันไม่มีเจตนาจะด่าปลัดหรอก อย่าไปโกรธมันเลย...” ว่าแล้วครูบุญสมก็หัวเราะกึ่ก ๆ
ผมขอสารภาพตามตรงล่ะครับว่ารู้สึกงงเอาการที่อยู่ ๆ คำเปรียบเทียบของผมจะกลายเป็นคำด่าไปได้ แต่หากครูใหญ่แกว่ามาอย่างนั้น ผมก็คงจะพูดผิดไปจริง ๆ เลยหันไปไหว้ขอโทษปลัด ประกอบกับกำนันพูดช่วยมาอีกแรง คุณปลัดจึงทำท่าดีขึ้นบ้าง ผมเห็นได้ทีจึงถือโอกาสเผ่นออกจากโต๊ะแจ้นกลับบ้านก่อนที่เหมยมันจะมายื้อยุดฉุดแขนให้ผิดผีกันอีก
(ต่อข้างล่าง)