วิกสังกะสีขอแนะนำ .. สุดยอดบทรักเชือดเฉือนสะเทือนอารมณ์ _ @@@ ล่ากะหล่ำสุดขอบฟ้า ตอน 2 @@@

ความเดิมตอนที่หนึ่ง

https://pantip.com/topic/37896571




   .. ตอนที่  2   เปิดม่านนนนน ....


                                                   ...........................................................

......โดยปกตินอกจากในครอบครัวแล้ว  คนเราก็ต้องมีพรรคพวกที่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นคนในบ้านเดียวกัน  ประเภทที่ว่าถ้าหากผมไปกรุงเทพฯโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่ะก็  อาจเป็นต้องพังกันไปข้างหนึ่ง  

       ผมมีเพื่อนแบบนี้อยู่หนึ่งคน  เราอยู่กันคนละหมู่บ้านแต่ก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยว่าพ่อของเราเป็นเพื่อนกัน   พรรคพวกของผมคนนี้นับว่าดีไปทุกประการ  เสียอยู่อย่างเดียวที่เธอดันเป็นผู้หญิง   มันจึงทำให้ผมไม่ค่อยสะดวกใจนักเวลาที่จะอยู่ใกล้ชิด  หลังจากที่เราทั้งคู่พ้นวัยเด็กขึ้นมา

       ไอ้ไม่อยากอยู่ใกล้ก็เป็นส่วนหนึ่ง  แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องไปบอกเหมยเรื่องที่จะไปตามหาน้าที่กรุงเทพฯ  ก่อนออกเดินทางสี่ห้าวัน ผมเลยเดินข้ามดอยลงไปหาเธอที่บ้าน

      เมื่อผมเข้าไปแจ้งข่าวในบ้านของเหมย  พ่อกับแม่ของเธอก็อยู่กันพร้อมหน้า  พ่อของเหมยซึ่งผมเรียกติดปากว่าพ่อกำนันก็ได้ให้ศีลให้พรและบอกให้ผมเดินทางโดยโชคดี  แต่ที่ดียิ่งกว่าคือบนบ้านของเหมยยังมีเพื่อนอีกคนของผมอยู่ด้วยคือคุณปลัดสมศักดิ์  

      ไอ้ผมน่ะไม่ชอบการคุยโอ่สักเท่าไหร่   แต่การมีเพื่อนเป็นระดับปลัดอำเภอนั้นถือว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน  พวกผมคบหารู้จักสนิทชิดเชื้อกันมาเกือบปี

      คนมักจะไม่ค่อยเชื่อว่าชาวดอยเรียนหนังสือมาน้อยอย่างผมจะได้คบหากับข้าราชการ  ผมเลยมักจะได้อธิบายกับผู้คนได้อยู่บ่อย ๆ   ว่าเราไปเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร

      เริ่มจากวันนั้นเห็นว่าที่บ้านของกำนันจะมีการประชุมอะไรกันสักอย่าง  หลังจากนั้นก็จะมีการเลี้ยงรับรองปลัดคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน  พ่อผมเลยสั่งให้ผมเอากะหล่ำปลีไปช่วยงานเลี้ยงที่บ้านกำนัน

      ขณะที่ผมไปถึงเขาคงประชุมกันเสร็จแล้วเพราะเห็นชาวบ้านนั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่แถวลานบ้านแค่ประปราย  ผมมองหาพ่อกำนันก็เห็นแกกำลังนั่งโจ้สุราอาหารอยู่กับครูใหญ่ และพวกผู้ใหญ่บ้าน แต่ที่เด่นที่สุดคือคนนั่งอยู่หัวโต๊ะ โดยมีเหมยลูกสาวของกำนันนั่งเคียงข้างอยู่

     ผมมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนนี้คือท่านปลัดคนใหม่เป็นแน่  เพราะแกเป็นหนุ่มหล่อ ท่าทางดูดีมีสง่าราศี  ขนาดผมยืนดูอยู่ไกล ๆ ยังเห็นถึงลักษณะเหล่านี้   มิน่าเล่าคนอื่น ๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ  จึงดูเหมือนจะเกรงอกเกรงใจและเอาใจแกไปหมด

     ผมแอบเมียงมองอยู่หลังห้องครัวเพื่อขอชื่นชมปลัดคนใหม่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ  แต่แล้วก็พลาดเข้าจนได้ เมื่อจังหวะหนึ่งถูกเหมยเหลือบมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ  เธอขยับตัวลุกขึ้นพรวดพราด วิ่งเข้ามาลากผมออกจากหลังครัวพาเข้าไปหาท่านกำนัน

      ผมโดนดึงแขนเดินเอียงกระเท่เร่ ผ่านลานบ้านเข้าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นจนแทบทำหน้าไม่ถูก   ไอ้ความอายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือการแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้มันผิดผี  ถ้าเป็นบ้านผมน่ะหรือตอนนี้ผมเป็นเสียเหล้าไม่รู้กี่ไห เสียไก่ไม่รู้กี่คู่   ยังดีที่ครอบครัวกำนันเป็นจีนฮ่อเลยไม่ถือในเรื่องนี้  แต่ถึงกระนั้นพอกลับถึงบ้าน ผมก็ต้องไปขอขมาผีบ้านผีเรือนทุกครั้ง

      เพื่อน ๆ มักจะอิจฉาผมที่เหมยเธอชอบมาสนิทสนมด้วย เพราะพวกมันคิดว่าเธอสวยปานดารา  แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นโชคร้ายเสียมากกว่า เพราะนอกจากจะถูกเธอจับเนื้อต้องตัวต่อหน้าคนอื่นให้ได้อายอยู่บ่อย ๆ แล้ว ที่ว่าสวยผมก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ เธอก็แค่มีผิวขาวและรูปร่างสูงกว่าคนอื่น ตาก็กลมโตไม่ตี่เหมือนคนอื่นแถวบ้าน  ขนตาก็ยาวงอนเกินไป  

      ผมว่าถ้าจะมีดูดีกว่าสาวดอยคนอื่นบ้างก็แค่ตรงจมูกเชิดรั้นและฟันขาวซี่เล็ก ที่เวลายิ้มแล้วชวนให้เราเหลียวไปมองอีกครั้งก็เท่านั้นเอง  แต่ถึงยังไงสำหรับผมนั้น  เหมยก็เป็นเด็กกะโปโลที่วิ่งแก้ผ้ามาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่นั่นเอง

      และวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย  เหมยทำผมต้องมายืนทำหน้าปูเลี่ยน ๆ ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ในโต๊ะและพวกชาวบ้านที่ยังไม่กลับ  ทุกคนพากันหัวเราะผมเหมือนกับทุกครั้งแหละ  แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยักหัวเราะไปด้วยคือปลัดสมศักดิ์ เห็นแกมองหน้าผมกับเหมยสลับกันไปมาหลายที  

      “หมอนี่เป็นใครกันครับ..” คุณปลัดหันไปถามท่านกำนัน

      “เป็นลูกชายของเพื่อนผมเองครับ  ชื่อเจ้าสะเอิง”   พ่อกำนันตอบ
      
      “เขาเป็นแฟนของเหมยเอง จะพามาแนะนำให้ปลัดรู้จักน่ะค่ะ หล่อไหมคะ”  เหมยว่า

       ถึงแม้ผมจะได้ยินคนบอกว่าผมหล่อเหมือนพระเอกหนังจีนอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ต้องขอบอกตามตรงล่ะครับว่าผมก็ยังอดเขินไม่ได้ทุกครั้ง  และครั้งนี้ก็เหมือนกัน  ผมได้แต่ยืนบิดอยู่ข้างเหมย ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี

      ทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืนอีกครั้งรวมทั้งพ่อกำนัน  หากจะเว้นไว้สักคนก็คือคุณปลัด ซึ่งผมก็ว่าถูกต้องแล้วเพราะแกเป็นข้าราชการมีตำแหน่งใหญ่โต  อยู่ ๆ จะมาให้หัวเราะเล่นได้อย่างไร  

      “ก็หน้าตาดีใช้ได้ คงเป็นอาเสี่ยมาจากที่ไหนหรือ ถึงได้มาสนิทสนมกับน้องเหมยได้”” คุณปลัดแกว่า

      “บ่แม่นเสี่ยที่ไหนหรอกครับ บ้านเฮาปลูกสวนกะหล่ำอยู่ป๋ายดอยปู้น   นี่เข้ามาส่งกะหล่ำเลยแวะเข้ามาผ่อเปิ้นประชุมกัน ” ผมหัวเราะแหะ บอกไปตามจริงว่าเป็นแค่คนสวนบนยอดดอย  และแค่แวะมาดูเขาประชุมกัน

      คำพูดของผมทำให้สีหน้าของปลัดสมศักดิ์ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ไม่เคร่งเครียดเหมือนอย่างตอนแรก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้ขึ้นมาอย่างหนึ่งล่ะว่าคุณปลัดแกเป็นข้าราชการนิสัยดี  ไม่รังเกียจคนดอย

      “อ้อ  ที่แท้ก็พวกทำสวนกะหล่ำนี่เอง  แล้วที่ว่าบ้านเราอยู่บนยอดดอยนั่นดอยไหนล่ะ  แถวนี้ไหม”  คุณปลัดชวนผมคุยตามประสาคนไม่ถือเนื้อถือตัว  

      “ดอยลูกโน้นครับ ………… “ ผมชี้

      “โอ้โฮ !! ไกลไม่ใช่เล่นนะ  เกือบข้ามฝั่งพม่าเลยมั้ง  แล้วมายังไงล่ะเรา”

       “เตวมาครับ   เตวลัดข้ามดอยมา”  

       พอผมตอบไปว่าเดินลัดข้ามดอยมา   คุณปลัดก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาถนัดใจ   เห็นแกหันไปมองเหมยแบบยิ้ม ๆ

      “พอเถอะ  จะซักไปทำไมมากมาย “ เหมยว่าพลางจะดึงผมออกไปจากโต๊ะ

       “เดี๋ยวสิ…”   คุณปลัดโบกมือห้าม  “…. คือพี่อยากจะรู้ว่าเขาต้องเดินไกลขนาดไหนจนมาหาน้องเหมยได้ถึงที่นี่   เอ้า !! ..  ไหนสะเอิงบอกหน่อยซิว่าบ้าน เราขึ้นไปอีกสักกี่กิโล...  ”

       “เอ ...   เดวมันก็ขึ้นดอย  เดวมันก็ลงดอย   เฮาก็บอกบ่ถูกว่ามันจะสักกี่กิโล ... ”    ผมว่า

       “เปรียบเทียบเอาก็ได้เอ้า  ว่าไกลขนาดไหน”    ปลัดว่าพลางหัวเราะขณะที่เหมยกลับทำเป็นหน้าบึ้ง
   
       “บ่รู้จะเปรียบกับอะหยังครับ  เฮาเปรียบบ่ค่อยจะเป็น”     ผมเกาหัว

       “เปรียบกับอะไรก็ได้น่า  เอาตามสายตาของนายก็ได้...” คุณปลัดยังถามมา  พร้อมช่วยชี้แนวทางในการกะระยะให้แก่ผม   

       พอพูดตอนนี้ผมถึงคิดขึ้นมาได้  แหม  ผมช่างโง่เสียแท้ ๆ นี่ถ้าคุณปลัดแกไม่ช่วยบอกมาก็คงจะยังนึกไม่ออก

       “เอาตามสายตาของเฮา ... “   ผมว่าพลางยิ้มอย่างเขิน ๆ เพราะเห็นทั้งวงจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว   

        “… ถ้าเฮาอยู่บนดอยที่บ้าน   มันไกลขนาดมองลงมาเห็นปลัดตัวน้อยยยย ... เท่าเห็บหมานั่นแหละครับ”

        คำตอบของผมท่าจะดีไม่น้อยเพราะทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืน  เห็นมีแต่ปลัดที่อยู่ ๆ ก็สะดุ้งเหมือนแมวถูกเหยียบหาง  พร้อมกับทำท่าว่าจะลุกขึ้นพรวดพราด  

       ครูใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ติดกับปลัดรั้งตัวแกเอาไว้  “...ใจเย็น ๆ ครับปลัด  ไอ้สะเอิงมันเป็นคนซื่อครับ  มันคิดอย่างไรก็บอกไปตามจริง มันไม่มีเจตนาจะด่าปลัดหรอก  อย่าไปโกรธมันเลย...”  ว่าแล้วครูบุญสมก็หัวเราะกึ่ก ๆ

       ผมขอสารภาพตามตรงล่ะครับว่ารู้สึกงงเอาการที่อยู่ ๆ คำเปรียบเทียบของผมจะกลายเป็นคำด่าไปได้  แต่หากครูใหญ่แกว่ามาอย่างนั้น ผมก็คงจะพูดผิดไปจริง ๆ เลยหันไปไหว้ขอโทษปลัด  ประกอบกับกำนันพูดช่วยมาอีกแรง  คุณปลัดจึงทำท่าดีขึ้นบ้าง ผมเห็นได้ทีจึงถือโอกาสเผ่นออกจากโต๊ะแจ้นกลับบ้านก่อนที่เหมยมันจะมายื้อยุดฉุดแขนให้ผิดผีกันอีก  


(ต่อข้างล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่