อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ขยายได้ความว่า
จิตไปเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตก็เป็นทุกข์
สังขารไม่ได้เป็นทุกข์ สังขารเป็นได้แค่อนิจจัง อนัตตา
ตามบาลีที่ว่า
สัพเพสังขาราอนิจจัง สัพเพธรรมาอนัตตาติ
จิตเห็นความไม่เที่ยงของสังขารตน ก็จะเจตนาไปทำให้สังขารตนเที่ยง
ให้อยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ผมหงอก ก็ไปย้อมดำ
ฟันไม่สวยก็ไปดัด คิ้วไม่สวยก็ไปสักคิ้ว จมูกไม่สวย ก็ไปเสริม
ซึ่ง สังขารที่ตนกังวลไม่ได้เป็นทุกข์เลย จมูกก็ไม่เป็นทุกข์
คิ้วก็ไม่เป็นทุกข์ ฟันก็ไม่เป็นทุกข์ ผมหงอกก็ไม่เป็นทุกข์
ตนเป็นทุกข์ ก็พยายามทำให้อยู่สวยไปตลอดชีวิต
จนตายไม่ต้องไปอายใครเขา
แต่ตนไปบังคับสังขารไม่ได้เพราะสังขารเป็นอนัตตา
ตนก็เป็นทุกข์ สังขารไม่ได้เป็นทุกข์เลย
ทุกข์เกิดดับที่จิต ไม่ได้เกิดดับที่สังขาร
สังขารเกิดดับอยู่แล้ว
ทุกข์จิตไม่อยากได้ ไม่อยากรับรู้ ก็ต้องรับ เพราะไปยึดสังขารเอาไว้
นี่ทุกข์เป็นลักษณะนี้ ไม่ใช่สังขารเป็นทุกข์ จิตเป็นทุกข์
แล้วคนก็แถไปว่า จิตก็คือสังขาร หลงไปกันใหญ่เลย
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ขยายได้ความว่า
จิตไปเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตก็เป็นทุกข์
สังขารไม่ได้เป็นทุกข์ สังขารเป็นได้แค่อนิจจัง อนัตตา
ตามบาลีที่ว่า
สัพเพสังขาราอนิจจัง สัพเพธรรมาอนัตตาติ
จิตเห็นความไม่เที่ยงของสังขารตน ก็จะเจตนาไปทำให้สังขารตนเที่ยง
ให้อยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ผมหงอก ก็ไปย้อมดำ
ฟันไม่สวยก็ไปดัด คิ้วไม่สวยก็ไปสักคิ้ว จมูกไม่สวย ก็ไปเสริม
ซึ่ง สังขารที่ตนกังวลไม่ได้เป็นทุกข์เลย จมูกก็ไม่เป็นทุกข์
คิ้วก็ไม่เป็นทุกข์ ฟันก็ไม่เป็นทุกข์ ผมหงอกก็ไม่เป็นทุกข์
ตนเป็นทุกข์ ก็พยายามทำให้อยู่สวยไปตลอดชีวิต
จนตายไม่ต้องไปอายใครเขา
แต่ตนไปบังคับสังขารไม่ได้เพราะสังขารเป็นอนัตตา
ตนก็เป็นทุกข์ สังขารไม่ได้เป็นทุกข์เลย
ทุกข์เกิดดับที่จิต ไม่ได้เกิดดับที่สังขาร
สังขารเกิดดับอยู่แล้ว
ทุกข์จิตไม่อยากได้ ไม่อยากรับรู้ ก็ต้องรับ เพราะไปยึดสังขารเอาไว้
นี่ทุกข์เป็นลักษณะนี้ ไม่ใช่สังขารเป็นทุกข์ จิตเป็นทุกข์
แล้วคนก็แถไปว่า จิตก็คือสังขาร หลงไปกันใหญ่เลย