สำหรับใครที่ซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล หรือแม้จะไม่ซื้อก็ตาม คงเคยคิดว่าถ้าซักวันนึง เราเกิดถูกรางวัลที่ 1 ขึ้นมา โดยได้เงินมาจำนวน 6 ล้านบาท จะทำยังไงดี เชื่อว่าคงมีคนคิดจะนำเงินไปปลดหนี้ บางคนก็อยากจะไปซื้อในสิ่งที่ตนเองได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ หรือบางคนคิดแม้กระทั่งว่าจะลาออกจากงานประจำ แต่เงิน เมื่อใช้ไปแล้วก็หมด อย่างที่เคยเห็นกันบ่อยๆ ว่ามีคนถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินมามากมาย แต่กลับใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหมดภายใน 2 ปี การงานไม่ทำ ใช้เงินลูกเดียว เพราะฉะนั้น แม้จะมีความหวังอันน้อยนิดว่าเราจะถูกรางวัล แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อถูกรางวัลแล้ว เราจะจัดการอย่างไรเพื่อให้เราใช้จ่ายได้นานที่สุด K-Expert อยากจะขอเสนอทางเลือกให้กับเพื่อนๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดสรรเงินกัน
ขั้นตอนที่ 1 หักเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินออกจากเงิน 6 ล้านบาท โดยให้คำนวณจาก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท (15,000 X 6) ก็ควรจะกันเงินดังกล่าวไว้ 90,000 บาทนั่นเอง โดยเงินส่วนนี้แนะนำให้เก็บไว้ในรูปแบบของเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ที่สามารถถอนออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยการกันเงินในส่วนนี้ก็เพื่อช่วยป้องกันหากเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน ก็ยังมีเงินในส่วนนี้มาใช้จ่ายก่อนได้นั่นเอง
ขั้นตอนที่ 2 นำเงินในส่วนที่เหลือ 5,910,000 บาท มาลงทุนเพื่อให้เงินส่วนนี้งอกเงยและสร้างรายรับเพิ่มให้กับเรานั่นเอง โดยก่อนการลงทุน ต้องทำความเข้าใจ “ความสำคัญ” และ “ระยะเวลา” ของเป้าหมายของเราซะก่อน ยกตัวอย่างเช่น หากเรามี 3 วัตถุประสงค์
1. ท่องเที่ยว ในอีก 1 ปี
2. เงินเก็บสำหรับการศึกษาของลูกในอีก 2 ปี
3. เก็บเงินเพื่อเกษียณในอีก 10 ปี
หากให้ตัดสินใจเรื่องความสำคัญ และระยะเวลา การเก็บเงินเพื่อการศึกษาของลูกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมีความจำเป็น และมีระยะเวลาการใช้ที่เร็วกว่าการเกษียณนั่นเอง การลงทุนจึงไม่ควรจะลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง โดยหากมีเงินเหลือก็สามารถกันไว้สำหรับการเกษียณ โดยอาจลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้จากระยะเวลาการใช้เงินที่ยาวกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
หรือหากใครที่ยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็สามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยงของตนเองได้ โดยสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของตนเองได้ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
https://www.set.or.th/education/th/online_classroom/risk.html หรือทดสอบได้ที่ บลจ. ต่างๆ
เมื่อทราบความเสี่ยงแล้ว K-Expert ก็มีพอร์ตลงทุนมาแนะนำ 3 แบบให้เลือกลงทุน เรียกว่า K-Expert Standard Portfolio (การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนแบบพื้นฐาน) ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ 4 ประเภท ได้แก่ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทย และตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยพอร์ตที่ K-Expert แนะนำมีการลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะเราไม่ควรลงทุนกระจุกอยู่แต่ในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยในประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ดังรูปด้านล่าง

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจจะปรับเพิ่ม หรือลดได้ตามความต้องการส่วนบุคคล แต่แนะนำว่าไม่ควรเพิ่ม หรือ ลดเกิน 10%
หากเพื่อนๆ ท่านไหนมีเทคนิคในการเก็บเงินแบบอื่นๆ ก็มาแบ่งปันกันได้เลยนะ ถึงแม้การถูกรางวัลจะเป็นไปได้ยาก หรือยังมาไม่ถึง แต่เราก็สามารถนำวิธีการนี้มาใช้ในการจัดสรรเงินของเราได้ก่อนถูกรางวัลกันนะครับ
เทคนิคจัดการเงิน หากถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1
สำหรับใครที่ซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล หรือแม้จะไม่ซื้อก็ตาม คงเคยคิดว่าถ้าซักวันนึง เราเกิดถูกรางวัลที่ 1 ขึ้นมา โดยได้เงินมาจำนวน 6 ล้านบาท จะทำยังไงดี เชื่อว่าคงมีคนคิดจะนำเงินไปปลดหนี้ บางคนก็อยากจะไปซื้อในสิ่งที่ตนเองได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ หรือบางคนคิดแม้กระทั่งว่าจะลาออกจากงานประจำ แต่เงิน เมื่อใช้ไปแล้วก็หมด อย่างที่เคยเห็นกันบ่อยๆ ว่ามีคนถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินมามากมาย แต่กลับใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหมดภายใน 2 ปี การงานไม่ทำ ใช้เงินลูกเดียว เพราะฉะนั้น แม้จะมีความหวังอันน้อยนิดว่าเราจะถูกรางวัล แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อถูกรางวัลแล้ว เราจะจัดการอย่างไรเพื่อให้เราใช้จ่ายได้นานที่สุด K-Expert อยากจะขอเสนอทางเลือกให้กับเพื่อนๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดสรรเงินกัน
ขั้นตอนที่ 1 หักเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินออกจากเงิน 6 ล้านบาท โดยให้คำนวณจาก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท (15,000 X 6) ก็ควรจะกันเงินดังกล่าวไว้ 90,000 บาทนั่นเอง โดยเงินส่วนนี้แนะนำให้เก็บไว้ในรูปแบบของเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ที่สามารถถอนออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยการกันเงินในส่วนนี้ก็เพื่อช่วยป้องกันหากเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน ก็ยังมีเงินในส่วนนี้มาใช้จ่ายก่อนได้นั่นเอง
ขั้นตอนที่ 2 นำเงินในส่วนที่เหลือ 5,910,000 บาท มาลงทุนเพื่อให้เงินส่วนนี้งอกเงยและสร้างรายรับเพิ่มให้กับเรานั่นเอง โดยก่อนการลงทุน ต้องทำความเข้าใจ “ความสำคัญ” และ “ระยะเวลา” ของเป้าหมายของเราซะก่อน ยกตัวอย่างเช่น หากเรามี 3 วัตถุประสงค์
1. ท่องเที่ยว ในอีก 1 ปี
2. เงินเก็บสำหรับการศึกษาของลูกในอีก 2 ปี
3. เก็บเงินเพื่อเกษียณในอีก 10 ปี
หากให้ตัดสินใจเรื่องความสำคัญ และระยะเวลา การเก็บเงินเพื่อการศึกษาของลูกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมีความจำเป็น และมีระยะเวลาการใช้ที่เร็วกว่าการเกษียณนั่นเอง การลงทุนจึงไม่ควรจะลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง โดยหากมีเงินเหลือก็สามารถกันไว้สำหรับการเกษียณ โดยอาจลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้จากระยะเวลาการใช้เงินที่ยาวกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
หรือหากใครที่ยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็สามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยงของตนเองได้ โดยสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของตนเองได้ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://www.set.or.th/education/th/online_classroom/risk.html หรือทดสอบได้ที่ บลจ. ต่างๆ
เมื่อทราบความเสี่ยงแล้ว K-Expert ก็มีพอร์ตลงทุนมาแนะนำ 3 แบบให้เลือกลงทุน เรียกว่า K-Expert Standard Portfolio (การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนแบบพื้นฐาน) ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ 4 ประเภท ได้แก่ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทย และตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยพอร์ตที่ K-Expert แนะนำมีการลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะเราไม่ควรลงทุนกระจุกอยู่แต่ในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยในประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ดังรูปด้านล่าง
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจจะปรับเพิ่ม หรือลดได้ตามความต้องการส่วนบุคคล แต่แนะนำว่าไม่ควรเพิ่ม หรือ ลดเกิน 10%
หากเพื่อนๆ ท่านไหนมีเทคนิคในการเก็บเงินแบบอื่นๆ ก็มาแบ่งปันกันได้เลยนะ ถึงแม้การถูกรางวัลจะเป็นไปได้ยาก หรือยังมาไม่ถึง แต่เราก็สามารถนำวิธีการนี้มาใช้ในการจัดสรรเงินของเราได้ก่อนถูกรางวัลกันนะครับ