รีวิวละเอียดยิบ สปอยล์ยับ "Burning" เพลิงพิโรธแห่งวรรณะ | ปรภพแห่งเปลวเพลิงภายใต้ความหมายของการเป็น "มนุษย์"

รีวิวละเอียดยิบ สปอยล์ยับ "Burning" เพลิงพิโรธแห่งวรรณะ | ปรภพแห่งเปลวเพลิงภายใต้ความหมายของการเป็น "มนุษย์"

ก่อนอื่นเลยคือตัวสั่นออกจากโรงมาก รีบกลับมาห้องเพื่อเขียนริวิวในขณะที่ความทรงจำยังสดใหม่มากที่สุด จะพยายามเล่าให้ฟังอย่างละเอียดที่สุด กับการตีความไปในแต่ละฉาก พร้อมแสดงความคิดเห็นในส่วนของตัวเราเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นมา ใคร อะไร ทำไม ยังไง ในความรู้สึกของเรา ตรงส่วนนี้แวะมาพูดคุยกันได้ เห็นด้วย เห็นต่างยังไง จัดเต็มกันมาได้เลยครับ

เริ่ม !!!

- เรื่องเริ่มต้นจาก จงซู พระเอกของเรื่องบังเอิญพบกับ แฮมี เพื่อนบ้านระแวกเดียวกันสมัยเด็ก หนังเล่าให้เราฟังถึงความสัมพันธ์เก่าที่ฝ่ายหนึ่งจำอีกฝ่ายได้ แต่อีกฝ่ายจำเราไม่ได้เลย ในความทรงจำของจงซู แฮมีไม่เคยมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ เพิ่งจะมาปรากฏตัวและเริ่ม "บันทึก" ลงในความทรงจำ ในช่วงเวลาที่เขากำลังเดี่ยวดาย แม่ก็ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก พ่อก็มีเรื่องมีราวขึ้นศาล พี่สาวก็แต่งงานย้ายไปอยู่กับสามีนานแล้ว เขาไม่เหลือใคร ไม่เหลืออะไร สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเองไว้คือความฝันอันเล็กน้อยว่าอยากจะเป็น "นักเขียน" และนั้นและ อยู่ดี ๆ แฮมีคนใหม่ที่สวยกว่าเดิมก็ได้เข้ามาปรากฏตัว (นางเคลมว่าตัวเองไปศัลย์ฯมา) พร้อมทอดสะพานสานไมตรีระหว่างหนุ่มสาว


- ถัดจากนั้นแฮมีชวนจงซูดื่ม พร้อมเล่าว่าตัวเองนั้นได้ไปหัดเรียนละครใบ้มา

message แรกที่เราเห็นคือ "ไม่ใช่คิดว่ามันมีจริง แต่ต้อง 'ลืม' ให้ได้ว่ามันเคยมี" ตรงนี้ไม่รู้ว่าผกก.จงใจไหม แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้คือความฝันของคนสองคนที่ถูกพังยับด้วยโลกของความเป็นจริง คือมันมีอยู่จริงอ่ะ แต่ต้องลืมมันไปแล้วกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ทั้งแฮมีที่แม้ปากจะบอกเองว่าไม่ใช่ใคร ๆ ก็เป็นนักแสดงได้ แต่ไม่ได้พูดสักคำว่าตัวเองไม่คาดหวังว่าจะทำได้ ทั้งจงซูที่อยากจะเป็นนักเขียน แต่เปลวไฟในหัวใจของเขามอดไหม้และดับลงไปตั้งแต่ที่ตัวเองยังเรียนจบแต่หางานทำไม่ได้

- ฉากเล่าต่อว่าแฮมีตั้งใจจะไปเที่ยว สิ่งที่หล่อนพูดคือตัวเองยังเก็บเงินไม่มากพอ แต่วางแพลนจะไปแล้วด้วยเงินในโลกอนาคตอย่างบัตรเครดิต พร้อมบอกให้จงซูช่วยมาเลี้ยงแมวให้หน่อย และแมวตัวนั้นชื่อ บอยล์ จงซูไปที่ห้องของแฮมี พร้อมมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง

อีก message ที่เราเห็นคือแฮมีสนใจในตัวจงซูตั้งแต่แรก เห็นได้จากการเตรียมถุงยางไว้ หรืออีกนัยยะหนึ่ง จงซูอาจจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่แฮมีพาเข้าห้องมา (อีกอันที่มองเห็นคือคุณป้าเจ้าของห้องที่มองขึ้นมาแล้วก็มองกลับไปเหมือนไม่ได้ประหลาดใจอะไร)

- หลังจากนั้น หนังเล่าให้เราฟังว่าจงซูต้องกลับไปบ้านเกิดของตัวเองเพื่อไปเป็นพยานในการรับฟังคำพิพากษาการก่อเหตุขัดขวางเจ้าหน้าที่ของบิดาของตน โทรศัพท์บ้านของจงซูดังขึ้นหลายครั้ง เขารับสาย แต่ไม่มีใครพูดตอบกลับอะไรมา เหมือนกับว่าแค่โทรศัพท์มาหาเพื่อฟังเสียงเฉย ๆ และที่สำคัญจงซูสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง ตอนเช้าขึ้นมา เขาเอากุญแจที่บิดาทิ้งไว้ไปไขประตูห้อง และพบว่าพ่อของเขาได้เก็บสะสมมีดพกหลาย ๆ แบบเอาไว้ในเซฟ

message ที่เราเห็นในฉากนี้ คือความสัมพันธ์ที่เละเทะของคนในครอบครัว ระหว่างฟังคำพิพากษา จงซูเดินออกจากห้องไต่สวนแบบไม่เหลียวแลบิดาของตน แม้กระทั้งตัวบิดาเองก็ไม่ได้ยี่หระและไม่ได้สนใจจะพูดอะไรกับเขาเช่นเดียวกัน คิดดูว่ามันพังถึงขนาดไม่มีใครพูดอะไรต่อกันเลยแม้กระทั้งตัวเองกำลังจะต้องติดคุกแท้ๆ ส่วนเรื่องโทรศัพท์และกล่องสมบัตินั้นมันมีที่มาที่ไป อ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนนะครับ

- จงซูต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างโซลและพาซูเพราะต้องดูแลวัวของพ่อที่พ่อตัวเองขึ้นศาล ทนายความของพ่อแนะนำให้เขาไปคุยกับพ่อตัวเองซะ ให้ลดอีโก้ลง ยอมขอโทษทั้งศาล ทั้งโจทก์ เพื่อที่จะได้ลดหย่อนโทษให้ พร้อมเล่าความหลังว่าบิดาของเขาชั่งเป็นคนที่เอาแต่ใจ ยอมหัก ไม่ยอมงอ และแม้กระทั้งตัวเขาเองก็ยอมรับว่าบิดาของเขาค่อนข้าง "เป็นระเบิด" เหมือนไม่พอใจอะไรก็พอจะระเบิดเพื่อเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั้งความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เช่น แม่ของเขาที่หนีไปเพราะทนกับพฤติกรรมของพ่อไม่ไหว แต่นั้นและ อย่างที่บอกไปว่ามันเละมากถึงขนาดตัวเขาเองทำหนังสือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้ช่วยกันลงนามลดโทษให้กับพ่อของตน แต่กลับไม่ยอมแม้กระทั้งจะไปคุยกับพ่อ

message ที่เราเห็นในฉากนี้คือ จงซูเป็นคนเก็บกดลึก ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาอยู่ในครอบครัวที่เลี้ยงดูสั่งสอนกันด้วยความรุนแรง เขาถูกพ่อสั่งให้เผาผลาญเสื้อผ้าของแม่ด้วยมือตัวเอง และสิ่งนั้นยังคงตามหลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้ ภายใต้จิตใจที่ไม่เป็นอะไร เรารู้สึกว่าจงซูมีปัญหาทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง เขาหลบตาคน พูดน้อย เหม่อลอย สะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง มันเป็นอาการของผู้ป่วยทางจิตใจสำหรับเรามาก ๆ

- แฮมีติดต่อกลับมาอีกครั้ง หลังนางหายไปเที่ยวและจงซูต้องไปให้อาหารแมวที่ห้อง พร้อมแอบช่วยตัวเองบนเตียงของแฮมี "มากกว่าหนึ่งครั้ง"

message ที่เราเห็นในฉากนี้คือแฮมีกลายเป็นคนสำคัญของจงซู ตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดต่อกันได้ แฮมีบอกให้มารับก็มาโดยไม่มีขอต่อรองแต่อย่างไร ส่วนเรื่องการช่วยเหลือตัวเองนั้น เรามองว่านั้นคือ "ความสุข" ที่ต้นทุนถูกที่สุดเท่าที่คนระดับจงซูจะสามารถปรนเปรอให้กับตัวเองได้ คือฉากนี้มันมีนัยยะเรื่องโครงสร้างทางสังคมกดทับมาก ๆ คนรวยอาจจะมีความสุขจากการไปช็อปปิง แต่คนไม่มีทางเลือกมันไม่มีอะไรจะทำไง นอกจากเนี้ย การช่วยตัวเอง การปรนเปรอตามสัญชาตญาณของการสืบเผ่าพันธ์ และจงซูไม่ได้ทำในห้องของแฮมีแค่ครั้งเดียว เรื่องนี้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง

- จงซูไปรับแฮมีที่สนามบิน และพบกับ "เบ็น" อปป้าที่แฮมีไปเจอที่แอฟริกา พร้อมไปกินร้านอาหารร้านหนึ่งในโซลที่เบนแนะนำ โดยระหว่างทางนั้นแม่ของเบนได้โทรศัพท์มาหา

message ที่เราเห็นคือ เบ็นเป็น elite ในสังคมอีกวรรณะที่จงซูไม่เคยสัมผัส และเขามี "แม่" ที่คอยเป็นห่วง โทรศัพท์ถามไถ่ พร้อมแสดงความห่วงใยว่าตนเองนั้นได้ไปกับใคร ไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร หรือแม้กระทั้งฉากที่คนขับรถแอบขับตามมาจากสนามบินก็บ่งบอกได้แล้วว่าเบ็นมีฐานะในระดับอะไร ชีวิตของเขาเกิดมาพร้อมกับ Position ที่ต้องทำตาม หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าชีวิตของเบ็นน่าอิจฉา แต่เขากลับเป็นคนที่ผมสงสารมากที่สุดในเรื่อง เพราะ...

- เบ็นกับจงซูสนทนากันถึงงานที่ทำ เบ็นบอกว่า "เขาเล่นเป็นงาน" ซึ่งเล่นในความหมายนี้คือเขาบอกว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเล่นๆ ไปแล้วสำหรับตัวเขา ในขณะที่จงซูกล่าวว่าตัวเองนั้นอยากเป็นนักเขียนพร้อมบอกชื่อนักเขียนที่ตัวเองชื่นชอบ

message ที่เราเห็นคือ ความหมายในคำว่า "เล่น" ของเบ็น คือการแสดงบทบาทตาม Position ที่ตัวเขาเองถูกสังคมกำหนด ใครบอกว่ามีแต่คนจนที่ถูกกำหนดว่าต้องทำอะไร คุณเกิดมาเป็นมนุษย์คุณก็โดนทั้งความคาดหวังและการกำหนดไว้แล้ว โดยเฉพาะคนระดับ elite สังคมจะบอกว่าเห้ย คุณพร้อมทุกอย่างแล้ว = คุณต้องเพอร์เฟค คุณต้องเล่นไปตามบทบาทที่ตัวเองสุ่มเกิดมาได้ โดยเฉพาะเบ็นที่ตลอดเวลาแล้ว เขามีแต่หัวใจที่แตกสลายและอยู่ในสังคมแห่งการปลอมเปลือก สังคมที่เขาต้องสร้างเสียงหัวเราะและเอนเตอร์เทนด้วยการหาตุ๊กตา "สักคน" ไว้เป็นเพื่อนเพื่อออกงานสังคม จนกระทั้งเขาได้มาเจอกับจงซู เรารู้สึกว่าแววตาที่เขามองจงซูกับมองคนอื่น มันแตกต่างออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ

-แฮมีร้องไห้ในระหว่างที่เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองไปเจอมา เล่าถึงพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม เบนบอกว่าการร้องไห้เป็นสิ่งที่สวยงามมาก ๆ เพราะเขา "ทำไม่ได้" เขาอาจจะเคยร้องไห้ แต่โตมาก็ "ไม่สามารถ" หลั่งน้ำตาได้อีกแล้ว "พอไม่มีน้ำตา ก็ไม่มีหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง"

message ที่เราเห็น หนังเล่นกับนัยยะของความว่างเปล่าอีกแล้ว ในตัวของเบน "ว่างเปล่า" มาก ๆ เขาไม่สามารถทำอะไรที่นอกเหนือไปจากบทบาทที่กำหนดมา แม้กระทั้งร้องไห้เขายังไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ

- หนังเล่าต่อว่าเบ็นอาสาไปส่งแฮมีกลับบ้าน ฉากแสดงให้เห็นรถเก่าปุโรของจงซูและรถปอร์เช่คันใหม่ของเบ็น

message ที่เราเห็น ตอนแรกเราคิดว่าเบ็นยิ้มกะทำแต้ม และเขาทำแต้มจริง ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้กำลังทำแต้มกับแฮมี !!!

- ฉากตัดไปอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่ไม่มีใครพูดอะไรเหมือนเดิม เช้าวันรุ่งขึ้นแฮมีโทรศัพท์ชวนจงซูไปนั่งดื่มกาแฟ ตอนแรกจงซูเข้าใจว่าไปกันสองต่อสอง แต่จริง ๆ แล้วมีเบนไปด้วย เบนบอกว่าแฮมีเอาแต่พูดถึงจงซูไม่หยุด แต่แฮมีกลับสวนขึ้นมาว่า "จริงๆแล้วเบ็นต่างหากที่บอกให้แฮมีโทรศัพท์หาจงซู" อารมณ์แบบรบเร้าจงถึงที่สุดอะไรแบบนี้ ก่อนทั้งคู่จะเล่นมายากลโง่ ๆ ให้จงซูดู พร้อมชวนจงซูไปห้องเพื่อทำอาหารกิน

message ที่เราเห็น คือแฮมีหยุดความสัมพันธ์กับจงซูพร้อมเว้นวรรคที่ว่างให้กับเบน (แฮมีเรียกเบนว่า 'อบป้า' ถ้าเราฟังไม่ผิดนะ แต่ฟังแล้วมันได้ยินแบบนั้นจริง ๆ) เบนยังคงเป็นคนที่มองโลกด้วยสายตาประหลาด ๆ เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรรอบ ๆ ตัวไปนอกจากการเล่นไปตามบทบาท และที่เพิ่มเข้ามาคือความสนใจในตัว "เพื่อนใหม่" ถึงขนาดชวนไปกินข้าวที่ห้อง

ฉากต่อมา แฮมี เบน จงซู อยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ที่กว้างมากก มากถึงขนาดจงซูต้องถามว่าห้องน้ำไปทางไหน เขาไปเข้าห้องน้ำแล้วพบกับกล่องเก็บ "เครื่องสำอางค์" พร้อม accessories จำพวกสร้อยข้อมือต่าง ๆ จงซูออกจากห้องน้ำพร้อมออกไปสูบบุหรี่กับแฮมี และถามแฮมีว่าทำไมผู้ชายหล่อ รวย ลึกลับแบบเบน ถึงมาเลือกแฮมีเป็นแฟน แฮมีตอบกลับง่าย ๆ ว่า "เขาแค่บอกว่าชอบผู้หญิงประมาณฉัน" นอกจากนั้นก็ฉากทำอาหารของเบน ที่ทำอาหารทานเอง เพราะเขาต้องการ "ความสมบูรณ์" ในการมอบอะไรให้กับตัวเอง

message ที่เราเห็น เบนเป็นอีลิทที่เต็มรูปแบบมาก ๆ เขาใช้ชีวิตแบบเฟอร์เฟคแมน แต่เขาเองก็มีอะไรบางอย่างซุกซ่อนภายใต้บทบาทที่แสดงออกมา

ฉากต่อมา เบนชวนทั้งสองไปดื่ม ที่หน้าบาร์ เขาไม่สนใจใคร นอกจากทักทายง่าย ๆ แล้วเดินลิ้วเข้าไปข้างใน ภาพตัดไปอีกครั้ง แฮมีเล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอมาให้กับเพื่อน ๆ ของเบนได้ฟัง ทุกคนสนใจฟังแต่เบนทำสีหน้าเบื่อหน่าย อารมณ์แบบแค่มาทำให้มันเสร็จ ๆ ไป

message ที่เราเห็น เบน "จำเป็น" ต้องมีสังคม แต่เขาไม่ได้ชอบหรือเอนจอยกับสังคมของเขาขนาดนั้น แม้กระทั้งอารมณ์ร่วมหรือการใส่ใจคนใน party ยังแทบไม่ปรากฏออกมาด้วยซ้ำจากเขา

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
รักหนังเรื่องนี้มากเหมือนกัน  นานแค่ไหนแล้วจำไม่ได้ ที่ไม่ได้ดูหนังประเภท หนังจบคนไม่จบ

อันนี้ในฐานะที่เป็นเกย์เหมือนกัน เรามองต่างจาก จขกท.นะ
เบนเองจะมีเพศสภาพยังงัย อันนี้ยังไม่ชัด ขอเก็บไว้ก่อน
แต่ผมว่าเขาไม่ได้อะไรๆ กับจงซูเลย รวมทั้งแฮมีด้วย

เบนไม่เคยแยแส แฮมี/จงซู เลยด้วยซ้ำ ทั้งคู่เป็นเพียงของเล่นของเขา
เบนรู้ว่าจงซูหลงรักแฮมี แต่แฮมีก็ต้องการผู้ชายที่มีมากกว่าความรัก
การหายตัวไปของแฮมี นอกจากเป็นการเผา "เรือนเพาะชำ" งานอดิเรกที่เบนสนุกแล้ว
มากกว่านั้นมันเป็นการสร้าง "เพลิงลุกโชนเผาผลาญในใจของจงซู" อีกด้วย และแน่นอนนั่นยิ่งทำให้เขาสนุกมากขึ้น
การที่เขาได้เห็นว่าจงซู "ร้อนรน" ขนาดไหนต่างหากที่ทำให้เบนสนุกขึ้นไปอีก

ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว

แต่เกมนี้ เบน ก็ประมาทในตัวจงซู เขาอาจจะไม่รู้ว่าจงซูอิจฉาเขามากขนาดไหน (อาจจะถึงขั้นริษยา/เกลียด/ชิงชัง ด้วยซ้ำ)
เพราะอะไร?
เพราะเบน เป็นขั้วตรงข้ามของ จงซู ทุกเรื่อง

รวย/จน
รถปอร์เช่/ รถกะบะปุโรทั่ง
"เล่น"/ ทำงานหนัก ใช้แรงงาน
มีแม่ที่รักและห่วงใย มีสังคมมีผู้คนห้อมล้อม/ ไม่เหลือใครเลย แม่หนีไป พ่อไม่ได้เรื่อง พี่สาวแต่งงานออกไป เพื่อนก็ไม่มีเลย
มีชีวิตชีวา/ หมดพลัง ไร้เป้าหมายแท้จริงในชีวิต
มีผู้หญิงห้อมล้อม/ ไม่มี ทำได้แค่ช่วยตัวเอง
ฉลาด ขยันเรียนรู้/ ไม่ฉลาด ไม่ลงมือทำอะไรจริงๆ จัง ๆ อยากเป็นนักเขียน แต่ไม่เขียนอะไรเลย หนังสือยังไม่เคยเห็นอ่านด้วยซ้ำ

ที่สำคัญผู้หญิงที่เขารักไปกับเบน และหายตัวไปอย่างที่ติดต่อไม่ได้เลย
จึงนำไปสู่จุดจบตามในเรื่อง

ย้อนกลับมาว่า ถ้าแฮมี ตายไปแล้วจริงๆ และถูกฆ่าโดยเบน ซึ่งเป็นการ เผาเรือนเพาะชำ งานอดิเรกของเขา
เป็นไปได้ เรือนเพาะชำ คือโรงเรือนที่ใช้แพร่พันธุ์/ขยายพันธุ์พืช อาจหมายความถึงผู้หญิง
ถ้า การเผาเรือนเพาะชำ เป็นเพียง "อุปมา" เป็นไปได้ว่า เขาอาจจะฆ่าแฮมีจริงๆ

การที่จะฆ่าใครสักคน หรือฆ่าเป็นกิจวัตร ย่อมต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งอันนี้ที่ส่วนตัววิเคราะห์ว่าเป็นไปได้ที่
"เพศสภาพ" ของเบน อาจจะ "ไม่ใช่ชายแท้ที่ลึกๆ ริษยาผู้หญิง" หรือ
อาจจะเป็น "ชายแท้ที่มอง ญ เป็นเพียงของเล่น"
แต่เพศสภาพของเบนจะเป็นยังไง อันนี้ส่วนตัวมองว่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของหนังนะ


สำหรับผมประเด็นสำคัญของหนังคือ เล่นกับขั้วตรงข้ามที่โคตรนามธรรม abstract ขั้นสุด คือ
ความมี- ความไม่มี
แฮมีเรียนละครใบ้ สาธิตการปอกส้มให้จงซูดู พร้อมบอกว่า "ประเด็นสำคัญคือไม่ใช่จินตนาการว่ามี แต่ให้ลืมไปเลยว่ามีมันอยู่"
บอยล์ แมวของแฮมีที่จงซูต้องไปให้อาหารตลอดหนึ่งเดือน เขาไม่เคยเจอตัว เจอแต่ขี้แมว
บ่อน้ำที่แฮมีบอกว่าตกลงไป ทุกคนยืนยันว่าไม่มี มีเพียงคนเดียวที่บอกว่ามี คือแม่ของเขา
แมวที่เบนรับมาเลี้ยง ใช่เจ้าบอยล์จริงๆ หรือป่าว
ทุกอย่างเล่นกับ ความมี-ความไม่มี ทั้งสิ้น

แฮมีหายตัวไปจริงหรือป่าว หรือแค่ไม่ต้องการติดต่อกับคนเหล่านี้อีกแล้ว
แฮมีตายไปแล้วหรือป่าว หรือยังมีชีวิตอยู่
แฮมีถูกเบนฆ่าไปแล้วป่าว หรือจริงๆ แล้วไม่

แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับแฮมีนั้นไม่แน่ชัด แต่เพียงเท่านี้ ก็สร้าง "เพลิงเผาผลาญในใจจงซู" ไปแล้ว
เขาทุรนทุราย อยู่ไม่ได้ จนนำไปสู่จุดจบตามท้องเรื่อง


อันนี้เป็นประเด็นที่ผมจับได้จากหนังนะ


ปล.รู้สึกดีใจที่ได้คุยกับคนที่รักหนังเรื่องนี้เหมือนกัน ^^
ความคิดเห็นที่ 1
ฉากต่อมา จงซูกลับมาบ้านที่พาซู ทุก ๆ วันเขาจะได้ยินเสียงโฆษณาชวนเชื่อจากเกาหลีเหนือ (propaganda) ในระหว่างที่เขากำลังเลี้ยงน้องวัวอยู่นั้นเอง จู่ ๆ แฮมีก็โทรศัพท์มา แล้วบอกว่า "อยู่บ้านใช่ไหม ฉันกำลังไปหาพร้อมเบนนะ" ไม่ถึงห้านาทีปอร์เช่คันงามก็ขับมาถึงหน้าบ้านจงซู ทั้งคู่เล่าว่าบังเอิญ "แวะผ่าน" มาแถวนี้ พอดีกับช่วงพระอาทิตย์ตก เบนเอาเหล้ายาปาปิ้งมาพร้อมกับปุ่น (กัญชา) ทั้งสามนั่งสูบกัน ก่อนแฮมีจะร่ายระบำเปลื้องผ้าราวกับนกต้องสายลมแล้วหลับลงไป พร้อมให้จงซูและเบนหามเข้าบ้าน

message ที่เราเห็นคือ มันเป็นความบังเอิญที่ไม่ใช่ความบังเอิญ แม้จะเคลมว่าอยากมาแถวบ้านเก่าก็เถอะ แล้วทำไมต้องแวะมาบ้านจงซูโดยเฉพาะ? กับอีกโฟกัสคือเบนดูสนใจแฮมีน้อยมาก คือนางโป๊ช่วงบนแบบเห็นยอดพระถันทั้งสองข้าง มีแค่ผ้าคลุม แต่กลับปล่อยแฮมีไว้กับจงซูแล้วตัวเองเดินออกมานอกบ้านเฉย ๆ เลยซะแบบนั้น?

ฉากถัดไป จงซูเล่าให้ฟังถึงพ่อตัวเองที่ดีแต่ดีเดือด พร้อมเล่าถึงการเผาผลาญในวัยเด็ก และนั้นเองเป็นการเปิดประเด็นให้เบนเล่าว่า เขาเองก็เผา "เรือนเพาะชำ" บ่อยครั้ง จงซูถามว่าจะรู้ได้ไงว่าควรเผาอันไหน อันไหนที่มันมีค่าหรือไม่มี? เบนตอบกลับมาว่าเรือนเพาะชำที่เขาเผา เขาจะ "ยอมรับ" ว่าจะเผามันทุก ๆ สองเดือน คือไม่ได้ตัดสินว่าดีไม่ดี แต่กูแค่อยากเผาอ่ะยูโน้ว? 4

ครั้งล่าสุดที่เผาคือก่อนไปแอฟริกา และตอนนี้ก็ได้เวลาเผาผลาญมันอีกครั้งแล้ว เขาบอกกับจงซูว่ามันอยู่ "ใกล้ตัว" จงซูมาก ๆ ให้เฝ้าระวังไว้ให้ดี เขาเผาด้วยอารมณ์แบบฝนตก คือฝนมันจะตกมันก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าใครจะเปียกปอน ใครจะโดนน้ำพัดซัดหายไป และจงซูก็สารภาพให้ฟังว่าเขาหลงรักแฮมี เบนหัวเราะแต่ไม่ตอบอะไรจนทำให้จงซูหัวเสียนึกว่าโดนเหยียดหยาม

message ที่เราเห็นคือ อหหหหหหหหห ฉากนี้ดูแล้วโยกตัวขึ้นมากอดเข่าเลย แฮมี หนีไปลู๊กกกกกกกกกก !!!!!!!!!! คือเกทป่ะว่าเรือนเพาะชำอีกนัยยะหนึ่งคือความหมายของสิ่งมีชีวิตที่กำลังเติบโต และที่เบนพูดว่า "ตำรวจไม่สนใจหรอก ทั่วเกาหลีมีเรือนเพาะชำร้างรอให้ไปเผามากมาย" ประโยคนี้คือเฉือนใจเรามาก ๆ นัยยะทางสังคมที่โคตร deep ลงไป ประกอบกับพาซูยิ้มเป็นเมืองใกล้เกาหลีเหนืออ่ะ อำเภอชายขอบที่แทบจะถูกลืม

ฉากถัดไป ก่อนกลับบ้านจงซูตำหนิแฮมีว่าแก้ผ้าง่ายๆต่อหน้าผู้ชายได้ยังไง ทำตัวเป็นอีตัว จนแฮมีโกรธและขึ้นรถไป และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่จงซูได้พบเจอกับแฮมี ตลอดหลายวันหลังจากนั้น จงซูพยายามสำรวจดูว่ามีเรือนเพาะชำใดบ้างที่โดนเผาไป แต่ปรากฏว่าเรือนเพาะชำทุกเรือนระแวกบ้านกลับอยู่ดีมีสุข ในขณะที่ "ความสุข" ของเขาหายไป แฮมีไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั้งการติดต่อสุดท้ายคือสายจากแฮมี พร้อมเสียง 'รูดซิบ' ที่ดังขึ้นก่อนจะดับลงไป...ตลอดกาล

message ที่เราเห็นคือ แฮมี...ไปแล้ว / ไว้อาลัยสามวิฯ

ฉากถัดมา ขอเล่าสรุปรวบยอดเลยนะครับ ยกเว้นอันไหนที่เราคิดว่าเป็นนัยนะ เราจะขยายความซ้ำอีกที หลังจากแฮมีหายตัวไป จงซูพยายามออกตามหาเธอทุกวีถีทาง แม้กระทั้งไปดักเจอเบนที่ร้าน นัยยะสำคัญที่สังเกตได้ เบนถือหนังสือที่จงซูเคยบอกเขาว่า "ชอบนักเขียน" คนนี้ เลยลองหามาอ่านเล่นดู ก่อนจงซูจะพบว่าเบนเปลี่ยนผู้หญิงคนใหม่ เป็นผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายกับแฮมีอย่างมีนัยยะสำคัญจากคำพูดของหล่อนคือ "ขอโทษที วันนี้งานที่ร้านยุ่งมาก ๆ " <<< อารมณ์เป็นพวกคนทำงาน ไม่ได้ร่ำรวยแบบแฮมี ทั้งสามคนเดินออกไปหน้าร้าน ก่อนเบนจะบอกว่า

"ผมนะ ไม่เคยอิจฉาใครเลยนะ แต่ผมอิจฉาคุณที่ได้เป็นคนสำคัญของแฮมี"

"ราวเธอสลายกลายเป็นหมอกควันไปในอากาศ"

"แฮมีนะ ถังแตก ไปเที่ยวไม่ได้หรอก"

"เธอนะ โดดเดี่ยวกว่าที่คุณคิดนะ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม"

ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เบนกล่าวถึงแฮมี ก่อนปอร์เช่จะขับห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ไกลสุดสายตา แต่จงซูไม่ลดละความพยายาม เขาเชื่อว่าเบนต้องรู้เห็นเกี่ยวกับการหายไปของจงซู เขาพยายามติดตามเบนทั้งขับรถตามดูชีวิตไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เขาได้พบคือโลกอีกใบของเบนที่มีความสุขอยู่ตามประสาคนบนยอดฐานพีระมิด เบนไปปาร์ตี้ ไปกินข้าวกับครอบครัว เข้าโบสถ์ ไปดูงานศิลป์ ไปออกกำลังกาย ไปทำหลาย ๆ อย่าง ก่อนที่เบนจะโทรมาถามว่าเขาอยู่ไหนและมาคค่อยกระจกรถเพื่อเรียกให้เขาเข้าไปคุยกันในห้องชุด

ฉากนี้เองที่หนังแสดงให้เห็นว่า เขามีตุ๊กตาไว้เพื่อนคอนทินิวงานแทนตัวเขาเอง เขาแค่นั่งเฉย ๆ รอให้พวกหล่อนพูด เพื่อทำให้งานปาร์ตี้ไม่กร่อย นัยยะสำคัญที่น่าสนใจคือ แมวที่จงซูเพิ่งมาเห็น เป็นแมวที่เรียกชื่อแล้วนางเดินเข้ามาหาจงซูอย่างง่ายดาย และ "นี้ถึงขนาดลงมารับเลยเหรอ?" จากปากเพื่อน ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตามธรรมชาติแล้ว เบนไม่ได้ใส่ใจใครขนาดนั้น

แต่แค่จงซูจะกลับบ้าน เบนถึงขนาดลงมาตามด้วยตัวเอง !!!

มาถึงตรงนี้แล้ว เราขอพูดเองว่า ในฐานะเกย์รุกคนหนึ่ง เราว่าเบนถ้าไม่เป็นเกย์ก็ต้องเป็นไบเซ็กซ์ชวล คือสิ่งที่แสดงออกมันมากกว่าแค่ผู้ชายคนหนึ่งทรีตกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ตั้งแต่แรกเริ่มเบนสนใจจงซูมาตลอด และพยายามหาเรื่องที่จะเป็นบทสนทนาร่วมกันได้ตั้งแต่แรกเจอเช่น ผมอยากเล่าเรื่องของผมให้คุณฟัง หรือแม้กระทั้งการสนใจหนังสือเรื่องเดียวกันกับจงซู กระทั้งการรักสวยรักงามถึงขนาดมีเครื่องสำอางค์ไว้แต่งหน้าตุ๊กตา การทำอาหาร หรือบริบทอื่น ๆ เช่นการขับรถไปนั่งดูแม่น้ำคนเดียว ทั้งหมดนั้นทำให้เรารู้สึกว่าเขามีใจให้กับจงซู แต่ Position ของเขาไม่สามารถแสดงออกได้แม้แต่คำพูดคำใดจะเอื่อนเอยออกไป

ตะปูดอกสุดท้ายที่ตอกฝาโลงแห่งบทสรุปอโศกของอื่นนี้คือ "แม่ของเขา"

สายโทรศัพท์บ้านที่โทรเข้ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือเบอร์แม่ของเขาที่โทรศัพท์มาหาเขาแต่ไม่ยอมพูดอะไร จนกระทั้งโดนตามทวงหนี้ห้าล้านเยน ถึงได้บากหน้ามาหาลูกชายที่ไม่เจอหน้ากันมาถึงสิบหกปี และแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเขานอกจากเสียงกาเกาที่ดังขึ้น ๆ จนทำให้จงซูฟิวขาด ตรงนี้เองที่ทำให้จงซูตัดสินใจโทรศัพท์หาเบนเพื่อที่จะกระทำการบางอย่าง และนั้นคือบทสุดท้ายของเรื่อง เบนได้รับโทรศัพท์จากจงซูว่าจะมาพร้อมกับแฮมี พร้อมกันนั้นเอง

จงซูแทงเบนด้วยมีดของพ่อเขา !!!

เบนพยายามหนีกลับไปที่รถ แต่หลังจากหนีไม่รอด สิ่งที่เขาทำคือการโอบกอดจงซูอย่างสุดแขน ยอมให้อีกฝ่ายฆาตกรรมตัวเองทั้งรอยยิ้ม ก่อนจงซูจะถอดทุกอย่างแม้กระทั้งกางเกงในและเผารถคันนั้นไปพร้อม ๆ กับร่างของเบน ...และนั้นคือฉากสุดท้ายของหนังเรื่องนี้

ตรงจุดนี้แหละที่เรากำหมัดแน่นและรู้สึกว่า อหห คุณหลอกดาว นี้มันหนักรักฆาตกรรมชัดๆ !!! มันคือความรัก มันคือปรภพของมนุษย์ในการดำดิ่งแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาประโคมให้กับตัวเอง ทุกคนในเรื่องยิ้มมีความเห็นแก่ตัว มีความอยาก มีความต้องการ มีเงื่อนไขในการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเอง และแสวงหาบางสิ่งมาเติมเต็มให้กับหัวใจอันว่างเปล่า

บทสรุปสุดท้ายสำหรับเรา

จงซู ตัวละครชนชั้นล่างที่ไม่เคยได้สัมผัสความสุขใด ๆ แม้กระทั้งจากครอบครัว พ่อก็ใช้ความรุนแรง แม่ก็หนีพ่อ พี่สาวก็ไปแต่งงาน พอมาเจอสาวที่ชอบ สาวเจ้าก็ดันไปชอบคนที่มีเงินมากกว่าตัวเอง แถมยังโดนทรมานด้วยการเห็นชีวิตที่โคตรจะแตกต่างกันจากคนสองคน ในขณะที่อีกคนมีชีวิตสุดเพอร์เฟค กูได้แค่ดื่มน้ำโง่ ๆ กับกินข้าวปั้นสำเร็จรูป มีความสุขก็แค่การช่วยตัวเองแถมจินตนาการไปกับสาวที่ชอบ

แฮมี ตัวละครชนชั้นล่างที่ฝันเลื่อนลอย ยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตการ์ดถึงขนาดครอบครัวไม่รับกลับบ้านจนกว่าจะใช้หนี้หมด ได้โอกาสไปดูความสวยงามของโลกภายนอก เพื่อโดนโลกของความเป็นจริงซัดว่าสุดท้ายเธอก็แค่กู้เงินไปหาความสุขแบบคนชนชั้บบน แต่กลับบ้านมาทุกอย่างก็แหลกสลายการเป็นอากาศ เหมือนกับที่เธอเคยบอกไว้ตอนต้นเรื่องว่าห้องของเธอจะได้รับแสงสว่างบ้างก็ต่อเมื่อแสงจากข้างบนส่องเข้ามาบ้างใน "บางโอกาส"

เบน ตัวละครชนชั้นสูงแทนสภาพของอีลิตที่กูมีเงิน กูจะทำอะไรก็ได้ จะทำให้คน ๆ หนึ่งหายไปจากโลกใบนี้ยังทำได้เลย แต่แล้วยังไงละ? ต่อให้ใครคนหนึ่งหายไป หัวใจใครอีกคนก็ไม่ได้ถูกเติมเต็มอยู่ดี สุดท้ายแล้วตายในอ้อมกอดของคน ๆ หนึ่งด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั้งจะเอื่อนเอยถ้อยคำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ (แม้แววตานายมันจะฟ้องก็เถอะว่านายอยากงาบจงซู)

สุดท้ายแล้วเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเหยื่อของระบบ เหยื่อของระบบชนชั้นและวรรณะทางสังคม เหยื่อของความคาดหวังและตัณหา เหยื่อแห่งกิเลศ หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ และถ่ายทอดสาส์นทุกอย่างได้ออกมาอย่างครบถ้วนจริง ๆ ทั้งคำพูด ท่าทาง การแสดงออก นัยยะการตีความ ทั้งหมดบอกกับเราว่านี้คือหนังที่เคารพคนดูมาก ๆ ควรคู่แก่การเสียเงินไปดู "มนุษย์" ด้วยกันสักครั้งจริง ๆ

สรุป หนังดี ไปดูเหอะ เขียนขนาดนี้แล้ว plss เรารักหนังเรื่องนี้มาก เราอยากให้หนังเรื่องนี้ได้ไปต่อ นะที่รักนะ ไปเถอะ

สุดท้าย ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ เขียนข้ามตอนไหน นัยยะอะไรไปบอกเราด้วยนะ มาคุยกันนะ ไปดูหนังมาแล้วมาคุยด้วยกันนะที่รัก

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ล่วงหน้าครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่