*** คำเตือน : มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง! แต่จะอ่านก่อนก็ตามสบาย ไปดูแล้วจะยิ่ง get สิ่งที่หนังสื่อ ***

เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมต้องยอมเติม .5 เข้าไปในการให้คะแนนสำหรับ Burning (버닝 หรือชื่อไทยว่า มือเพลิง) หนังแนว Drama / Mystery จากผู้กำกับชาวเกาหลี โดยอ้างอิงมาจากเรื่องสั้นของนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น มุราคามิ ปกติแล้วไม่ให้คะแนนก้ำ ๆ กึ่ง ๆ แบบนี้หรอกนะครับ อย่างไรก็ดี แม้ได้ใช้เวลาไปตกตะกอนความคิดอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่สามารถเทใจไปฝั่งใดได้ระหว่าง 9 หรือ 10 เลยผ่ากลางให้เป็น 9.5 แต้มแล้วกัน! พร้อมให้นิยามกับ “Burning” (เขียนแบบ roman ตามเกาหลีว่า Beoning) ว่า นี่คือ “สุดยอดหนังสะท้อนชีวิตที่แตกต่างระหว่างชนชั้น (class gap) วัยผู้ใหญ่ในเกาหลีได้อย่างสวยงาม น่าติดตาม ชวนตั้งคำถาม” และยังสอนให้เราได้ตระหนักถึงปูมหลัง ตลอดจนปมในใจของมนุษย์ที่มาจากการดำเนินชีวิตภายใต้ข้อจำกัดด้านฐานะทางสังคม
หนังนำเสนอชีวิตความเป็นคนที่เกิดจากชนบทในเกาหลีใต้ได้ดีเลิศ ดูจบแล้วต้องเสิร์ชหาสถานที่ถ่ายทำเลย เมืองพาจู (Paju) ขับรถเพียงชั่วโมงกว่า ๆ จากกรุงโซลเท่านั้น มีซีนสวย ๆ เยอะดี เขาถ่ายทอดออกมาได้สวยงามแบบบ้าน ๆ จริง ๆ แตกต่างจากแสง สี เสียง ในเมืองโซลที่คนเกาหลีรุ่นใหม่ต่างวาดหวังจะมาใช้ชีวิตที่นี่ แล้วใครจะไปอยู่ชนบทกันล่ะ แต่ภาพชนบทเขาช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน ชอบการสร้างบรรยากาศ การเติมเสียง ambient ทำเอาอินเหมือนไปนั่งด้วยกันกับละครในเรื่อง ทั้งเสียงใบไม้ที่ปกคลุมกิ่งก้านสาขาลู่ลมมากระทบกันเกรียว เคล้าเสียงจิ้งหรีดเรไร อีกทั้งยังมีเสียงโฆษณา propaganda หลังภูเขาฝั่งเกาหลีเหนือปูมาเป็นแบ็คกราวนด์ให้คลายเหงาอีกด้วย ที่สุดของทีุ่สดคือช็อตไล่เฉดสีพระอาทิตย์ช่วงเย็นที่ค่อย ๆ ตกจมลงสู่ความมืดมิด จนกลัวใจคนจะคิดร้ายตามความทมิฬของมัน
หนังเรื่องนี้ based on เรื่องสั้น “Barn Burning” ของนักเขียนชื่อดัง Murakami Haruki แต่ส่วนตัวผมไม่เคยได้อ่านผลงานใด ๆ จากนักเขียนญี่ปุ่นท่านนี้เป็นจริงเป็นจังมาก่อนหรอกนะครับ เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์หนาหูเกี่ยวกับความ dark ของเนื้อหา และคนเหงา ๆ เขาชอบอ่านกัน
สำหรับคอหนัง drama อย่างผม ยกนิ้วให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เลย การเล่นกับอารมณ์ดิบ ๆ ของความเป็นคนมันโคตรได้ ไม่เสียแรงที่เชื่อมั่นในผู้กำกับมือดี Lee Chang-dong ใครจะรู้ว่าเขามีดีกรีเป็นรัฐมนตรีเกาหลีด้วยนะ หลังจากดูทีเซอร์ก็เห็นแววแล้วว่า จะต้องถ่ายทอดมันออกมาได้สุดขั้วแน่นอน! ก็สมหวังดังใจ (เรื่อง drama ไว้ใจเกาหลี เขาทำแนวนี้เก่ง ทั้งนี้ จากการเคยบังเอิญเปิด HBO ได้ดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง เนื้อหาแนว incest ได้กันทั้งบ้าน ฆ่ากันแบบเห็น ๆ จะ ๆ อย่างเลือดเย็น ชนิดที่ว่า “นี่มันเห้อะไรวะเนี่ย” ตั้งแต่นั้นมา ถ้ามีหนังเกาหลีเรื่องไหนที่พล็อตมาแนว ๆ แก้แค้น อาฆาต ก็จะไม่แปลกใจถ้าเกิดว่าเรื่องนี้หรือเรื่องไหน ๆ จะได้เรทผู้ชม “ทั่วไป” ทั้งที่มีฉากแทงย้ำ ๆ เน้น ๆ ถึงไส้ถึงพุง ซาบซ่านยันกระดูก)
นี่คือหนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่วางพล็อตก่อชนวนดราม่าได้ลงตัว กลมกล่อม สุดยอดมาก ชนิดที่อีจ่าพิชิตยังต้องอาย (เดี๋ยว ๆ นั่นคนละดราม่า) ไม่มีฉากไหนในเรื่องนี้ที่ไม่มีความหมาย ทุกไดอะล็อกเหมือนชี้ชวนให้คนดูได้คิดต่อยอดเกิน “มากกว่าแค่คำ” คือดูแล้วก็ต้องนึกไปถึงขั้น synonym ด้วยว่าเขาจะสื่อถึงอะไร ต้องปะติดปะต่อเรื่องราวในหนังกันแบบฉากต่อฉากจริง ๆ
อีกเสน่ห์เฉพาะตัวของหนังเรื่อง Burning ตรงที่มันค่อย ๆ เผยอะไรที่อยู่ในใจของตัวละครแต่ละตัวออกมาผ่านไดอะล็อกที่มีนัยยะมากมายเหลือเกิน การเล่าถึงเรื่องชนชั้นผ่านการวางตัวต่อกัน วิถีการใช้ชีวิต การอยู่ในห้องเช่าแคบ ๆ ของนางเอก การอยู่ในบ้านกลางทุ่งของพระเอก การอยู่ในห้องชุดสุดหรูของพระเอก เป็นต้น

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ดูจบแล้วคิดเหมือนกันไหม?
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
หนังโคตรฉลาดในการเล่นกับประเด็นเงิน ๆ ทอง ๆ เรื่อง class ของคน หยิบจุดนี้มาขยี้ความต่างระหว่างชีวิตพระเอก นางเอก และพระรอง ได้อย่างละมุนละม่อมยิ่งนัก อีกทั้งผู้กำกับในฐานะรัฐมนตรีก็ยังได้ใส่ hidden agenda เกี่ยวกับปัญหาสังคมเกาหลีใต้ไว้ด้วย เช่น อัตราการว่างงานของคนสมัยใหม่เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเดียวกัน ตลอดจนทัศนคติที่คนเกาหลีใต้มีต่อชาวจีนว่าไม่ต่างจากคนอเมริกันที่คิดว่าตัวเองประเทศใหญ่เลยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก น่ารำคาญ
แกนของเรื่องนี้โยงใยความสัมพันธ์ของตัวละครเข้าไว้กับ ความแค้น ความอิจฉา ความรัก ความสงสัย และการโกหก แล้วจะมีสิ่งไหนเล่าที่จะทำให้จิตใจของมนุษย์นั้นขมุกขมัวขุ่นข้องไปมากกว่านี้ได้อีก…? ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นตัวตั้งต้นชั้นดีของเชื้อไฟในการเผาทำลาย
ลองถามตัวเองดูบ้างสิว่า หากเราจะต้องจัดการอะไรบางอย่างให้หายไป เป็นคุณจะเลือกพิจารณาจากอะไร? พิจารณาจากมันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือ? มันด้อยคุณค่าที่สุดหรือ? มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือ? มันเป็นสิ่งที่เก่าแก่คร่ำครึหรือ? … ทว่า นั่นมันผิดทั้งหมด … เพราะคำตอบจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ คุณแค่ต้องยอมรับว่า “ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเลว ดั่งฝนที่ตกจากฟ้าก็ยังไม่ละเว้นว่าคนข้างล่างจะเป็นใคร ก็คงต้องเปียกด้วยกัน”
หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการตั้งคำถามให้เกิดขึ้นในใจของคนดูได้ดีจริง โดยตอนผมเดินออกจากโรงภาพยนตร์มาได้ยินคนถกกันต่อถึงการกระทำของพระเอก คำพูดอุปมาต่าง ๆ ของพระรอง และการหายไปของนางเอก ทุกเงื่อนงำล้วนแต่ที่มีช่องว่างที่ซ่อนคำตอบของเรื่องราวเอาไว้อยู่ แม้กระทั่งในซีนสุดท้ายที่ทุกคนคงเกิดคำถามว่า “ทำไปทำไม” “เพราะอะไร” แต่คำตอบนั้นก็สามารถย้อนขึ้นไปยังพารากราฟก่อนหน้านี้ ว่า มันไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใด ๆ สุดท้ายแล้วธรรมชาติจะต้องกำจัดบางอย่างไปนั่นหละ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
หลากหลายประเด็นในหนังที่น่าคิดหาคำตอบ:
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
– นางเอก เลี้ยงแมวในห้องพักจริงๆ ใช่ไหม?
– พระรองมีอาชีพทำอะไรกันแน่ สังเกตแก๊งเพื่อน ๆ พระรองที่ขับ Benz, BMW ก็ยังดูไม่ออก หรือแค่ rich kid ธรรมดา ?
– พระรองไปทำอะไรที่แอฟริกากลาง? ธุรกิจมืด? ก็ยังไม่มีอะไรคอนเฟิร์มได้… หรือจริง ๆ แล้ว ช่องโหว่ที่หนังสร้างขึ้นมาเสริมว่า นางเอกขี้โม้ เปิดทางให้คนดูได้เผลอคิดเฉไปอีกแบบได้ว่า นางเอกอาจไม่ได้ไปแอฟริกา แต่จัดฉากอย่างแนบเนียนทุกอย่าง ตามคำบอกเล่าจากคนที่รู้จักนางเอกว่า “อีนี่โม้เก่ง” แต่ก็ยังจับพิรุธไม่ได้ ทั้งการเต้นของชนเผ่าแอฟริกา การนำอึแมวล่องหน (ที่ชื่อบอยล์) มาใส่
– หลังจากสามคนมาสังสรรค์กันที่พาจู นางเอกหายตัวไปอยู่ไหน? ไปโดยสมัครใจหรือโดนบังคับ? อยู่ในธุรกิจมืดของพระรองหรือไม่? หรือว่าไม่มีชีวิตแล้ว?
– ในตอนสุดท้ายที่ผ่านไปหลายเดือน เข้าสู่ฤดูหนาว พระเอก รู้ความจริงอะไร จึงต้องจัดการกับพระรอง
จากมุมมองของคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องสั้นมาก่อน ถ้าให้ผมคิดเอาสรุปเรื่องเองแล้ว จากตัวหนังล้วน ๆ ผมขอเลือกมองแบบนี้แล้วกันครับว่า สรุปแล้ว นางเอกคงไปคบพระรองอยู่ลับ ๆ ด้วยเรื่องเงิน ไม่อาจถือโทษโกรธเธอได้ ด้วยเหตุผลความจำเป็นในเรื่องการใช้เงินในการดำรงชีวิตของเธอ ทั้งการศัลยกรรม บัตรเครดิต การท่องเท่ยว นางเอกจึงจำใจเลือกไปคบหาพึ่งชีวิตไว้อยู่กับพระรอง ถึงแม้ลึก ๆ จะมีใจเสน่หาอาลัยอาวรณ์ต่อพระเอกบ้าน ๆ ผู้เป็นรักแรกของเธอมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็คงเสียใจไม่น้อยที่โดนพระเอกกล่าวหาว่าทำตัวเป็น

อีตัว เห็นได้ชัดตั้งแต่พระเอกไม่สามารถติดต่อนางเอกได้เลย ประจวบเหมาะกับคำอุปมาเรื่อง “เผาเรือนเพาะชำ” จากปากพระรองที่ทิ้งไว้เป็นนัยยะสุด ๆ หรือจริง ๆ แล้วคำว่าเผาเรือนเพาะชำในความหมายพระรองนั้นหมายถึงผู้หญิง และหนึ่งในนั้นก็คือ นางเอก … มีตอนหนึ่งที่พระรองพูดแฝงนัยยะไว้เกี่ยวกับความเป็นไปของนางเอกให้พระเอกได้รู้ว่า “เธอหายไปราวกับควัน” —ควัน…เชื่อมโยงกับการเผา !? หรือนางเอกอาจถูกส่งไปทำธุรกิจมืดของพระรอง ซึ่งในทางเลวร้ายที่สุดก็อาจถูกขจัดทิ้งไปแล้ว
ช่วงหนึ่งที่พระเอกจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยจนได้เผลอจุดไฟเผาเรือนเพาะชำ แต่พอรู้ตัวขึ้นมาว่าทำอะไรลงไปแล้วก็รีบกุลีกุจอตบไฟให้ดับลงด้วยความตระหนก แต่และแล้วในตอนสุดท้าย เขาก็ได้มาเผาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรือนเพาะชำ ราดน้ำมัน เผามันไปพร้อมกับปอร์เช่สิบกว่าล้านกันเลยทีเดียว
ยังมีมุมหนึ่งที่หนังเรื่องนี้สื่อออกมาได้น่าสนใจคือ ไม่ว่าเราจะเกลียดหรือโกรธพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมายังไง สุดท้ายคนเป็นลูกก็ยังคงฟังและเชื่อคำพูดจากคนเป็นพ่อแม่มากที่สุด สังเกตตอนที่พระเอกยอมจ่ายหนี้แทนแม่ (ที่ทิ้งเขาไปมากกว่า 16 ปี) และเชื่อเกี่ยวกับการมีอยู่ของ “บ่อน้ำ” ที่นางเอกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้พระเอกรู้สึกขึ้นมาว่ามีบุญคุณต่อกัน
เราคงพอเดากันได้ว่า สาวคนสนิทคนใหม่ของพระรอง (ที่พระรองไปทาปากให้ในห้อง) จะอยู่ต่อจากนั้นได้ไม่ถึง 2 เดือนชัวร์ ๆ ! ทว่า หลังจากที่เราได้เห็นฉากจบเรื่องแล้ว ก็พออุ่นใจขึ้นมาว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนตกเป็นเหยื่อพ่อหนุ่มกังนัมนี่อีก โล่งใจไปเปราะหนึ่งกับฉากจบของเรื่อง โดยผู้กำกับเลือกที่จะทิ้งซีนด้วยการตั้งกล้องไว้หน้ากระจกรถ เพื่อถ่ายมองเห็นทะลุกระจกหลังรถ ภาพความวินาศสันตะโรบ้าบอที่อยู่เบื้องหลังพระเอก ค่อย ๆ เคลื่อนห่างเขาช้า ๆ พลันเขาเปิดใบปัดน้ำฝนให้ค่อย ๆ ชะล้างเอาคราบเขม่าและหิมะที่เกาะกระจกหน้าออกไป ทำให้เรามองเห็นเหตุการณ์ข้างหลังได้ชัดเจนขึ้น และคิดว่าเขาคงจะมองเห็นทางไปต่อข้างหน้าได้ดีขึ้นเช่นกัน.
________________________________________
Score: 9.5/10
Full review: https://blog.folkdo.com/burning-beoning/
– ให้ 9.5 เพราะหนังปูเรื่องมาชวนให้คิดสงสัยในเหตุการณ์ ในคำพูด สีหน้า การกระทำ สนุกดี และการใช้คำอุปมาต่างๆ ที่เมื่อดูจบแล้วก็สามารถกระเทาะเปลือกออกมาเข้าถึงแก่นเรื่องได้หลากหลายแนวทางตามแต่จะคิด ฉากจบมันดีมาก ๆ มันคือการปิดฉากที่หม่น ๆ บนความเคลียร์ แทบอยากจะอัญเชิญเพลงความเลือนลาง ของเกรสซี่คาเฟ่ มาประกอบฉากจบก็เข้าท่าอยู่นะ
– ขอหัก 0.5 คะแนน เพราะถ้ามองในโลกความจริง ไอ้นี่คงเพี้ยนไปแล้วแน่ อะไรคือการมองตึกโซลทาวเวอร์แล้วช่วยตัวเองวะ ฮา แต่คิดอีกที เมื่อตระหนักเข้าไปในฟีลของพระเอกอาจจะเพราะยังคงฝังใจช่วงที่มี sex กันครั้งแรกกับนางเอก แล้วขณะนั้นเห็นแสงแดดสะท้อนจากโซลทาวเวอร์ตามที่นางเอกพูดไว้ว่ามันโผล่มาวันละหนเท่านั้น เลยเกิดจดจำประโยคนั้นมา remind ถึงเหตุการณ์นั้นในห้องนอนเลยเกิดอารมณ์ อีกอย่างที่ขัดใจเล็ก ๆ คือช่วงหลังพระเอกฝันบ่อยไปนิดนึง จนนึกไปว่าหนังมันคืบหน้าไปมาก แต่จริงๆยังอยู่แต่ในฝัน แต่เอาเถอะ มันคือสไตล์การเล่าเรื่องที่สวยงาม และยอดเยี่ยมที่สุดตามปัจจัยที่จะเอื้ออำนวยให้ทำได้แล้วจริง ๆ
edit: จัดบรรทัดและย่อหน้า
[CR] Burning (มือเพลิง) – หนังดราม่าเกาหลีเกรดเอสะท้อน class gap และความพิศวงของชนชั้น ผ่านเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว: ความรัก&เงิน
เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมต้องยอมเติม .5 เข้าไปในการให้คะแนนสำหรับ Burning (버닝 หรือชื่อไทยว่า มือเพลิง) หนังแนว Drama / Mystery จากผู้กำกับชาวเกาหลี โดยอ้างอิงมาจากเรื่องสั้นของนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น มุราคามิ ปกติแล้วไม่ให้คะแนนก้ำ ๆ กึ่ง ๆ แบบนี้หรอกนะครับ อย่างไรก็ดี แม้ได้ใช้เวลาไปตกตะกอนความคิดอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่สามารถเทใจไปฝั่งใดได้ระหว่าง 9 หรือ 10 เลยผ่ากลางให้เป็น 9.5 แต้มแล้วกัน! พร้อมให้นิยามกับ “Burning” (เขียนแบบ roman ตามเกาหลีว่า Beoning) ว่า นี่คือ “สุดยอดหนังสะท้อนชีวิตที่แตกต่างระหว่างชนชั้น (class gap) วัยผู้ใหญ่ในเกาหลีได้อย่างสวยงาม น่าติดตาม ชวนตั้งคำถาม” และยังสอนให้เราได้ตระหนักถึงปูมหลัง ตลอดจนปมในใจของมนุษย์ที่มาจากการดำเนินชีวิตภายใต้ข้อจำกัดด้านฐานะทางสังคม
หนังนำเสนอชีวิตความเป็นคนที่เกิดจากชนบทในเกาหลีใต้ได้ดีเลิศ ดูจบแล้วต้องเสิร์ชหาสถานที่ถ่ายทำเลย เมืองพาจู (Paju) ขับรถเพียงชั่วโมงกว่า ๆ จากกรุงโซลเท่านั้น มีซีนสวย ๆ เยอะดี เขาถ่ายทอดออกมาได้สวยงามแบบบ้าน ๆ จริง ๆ แตกต่างจากแสง สี เสียง ในเมืองโซลที่คนเกาหลีรุ่นใหม่ต่างวาดหวังจะมาใช้ชีวิตที่นี่ แล้วใครจะไปอยู่ชนบทกันล่ะ แต่ภาพชนบทเขาช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน ชอบการสร้างบรรยากาศ การเติมเสียง ambient ทำเอาอินเหมือนไปนั่งด้วยกันกับละครในเรื่อง ทั้งเสียงใบไม้ที่ปกคลุมกิ่งก้านสาขาลู่ลมมากระทบกันเกรียว เคล้าเสียงจิ้งหรีดเรไร อีกทั้งยังมีเสียงโฆษณา propaganda หลังภูเขาฝั่งเกาหลีเหนือปูมาเป็นแบ็คกราวนด์ให้คลายเหงาอีกด้วย ที่สุดของทีุ่สดคือช็อตไล่เฉดสีพระอาทิตย์ช่วงเย็นที่ค่อย ๆ ตกจมลงสู่ความมืดมิด จนกลัวใจคนจะคิดร้ายตามความทมิฬของมัน
หนังเรื่องนี้ based on เรื่องสั้น “Barn Burning” ของนักเขียนชื่อดัง Murakami Haruki แต่ส่วนตัวผมไม่เคยได้อ่านผลงานใด ๆ จากนักเขียนญี่ปุ่นท่านนี้เป็นจริงเป็นจังมาก่อนหรอกนะครับ เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์หนาหูเกี่ยวกับความ dark ของเนื้อหา และคนเหงา ๆ เขาชอบอ่านกัน
สำหรับคอหนัง drama อย่างผม ยกนิ้วให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เลย การเล่นกับอารมณ์ดิบ ๆ ของความเป็นคนมันโคตรได้ ไม่เสียแรงที่เชื่อมั่นในผู้กำกับมือดี Lee Chang-dong ใครจะรู้ว่าเขามีดีกรีเป็นรัฐมนตรีเกาหลีด้วยนะ หลังจากดูทีเซอร์ก็เห็นแววแล้วว่า จะต้องถ่ายทอดมันออกมาได้สุดขั้วแน่นอน! ก็สมหวังดังใจ (เรื่อง drama ไว้ใจเกาหลี เขาทำแนวนี้เก่ง ทั้งนี้ จากการเคยบังเอิญเปิด HBO ได้ดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง เนื้อหาแนว incest ได้กันทั้งบ้าน ฆ่ากันแบบเห็น ๆ จะ ๆ อย่างเลือดเย็น ชนิดที่ว่า “นี่มันเห้อะไรวะเนี่ย” ตั้งแต่นั้นมา ถ้ามีหนังเกาหลีเรื่องไหนที่พล็อตมาแนว ๆ แก้แค้น อาฆาต ก็จะไม่แปลกใจถ้าเกิดว่าเรื่องนี้หรือเรื่องไหน ๆ จะได้เรทผู้ชม “ทั่วไป” ทั้งที่มีฉากแทงย้ำ ๆ เน้น ๆ ถึงไส้ถึงพุง ซาบซ่านยันกระดูก)
นี่คือหนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่วางพล็อตก่อชนวนดราม่าได้ลงตัว กลมกล่อม สุดยอดมาก ชนิดที่อีจ่าพิชิตยังต้องอาย (เดี๋ยว ๆ นั่นคนละดราม่า) ไม่มีฉากไหนในเรื่องนี้ที่ไม่มีความหมาย ทุกไดอะล็อกเหมือนชี้ชวนให้คนดูได้คิดต่อยอดเกิน “มากกว่าแค่คำ” คือดูแล้วก็ต้องนึกไปถึงขั้น synonym ด้วยว่าเขาจะสื่อถึงอะไร ต้องปะติดปะต่อเรื่องราวในหนังกันแบบฉากต่อฉากจริง ๆ
อีกเสน่ห์เฉพาะตัวของหนังเรื่อง Burning ตรงที่มันค่อย ๆ เผยอะไรที่อยู่ในใจของตัวละครแต่ละตัวออกมาผ่านไดอะล็อกที่มีนัยยะมากมายเหลือเกิน การเล่าถึงเรื่องชนชั้นผ่านการวางตัวต่อกัน วิถีการใช้ชีวิต การอยู่ในห้องเช่าแคบ ๆ ของนางเอก การอยู่ในบ้านกลางทุ่งของพระเอก การอยู่ในห้องชุดสุดหรูของพระเอก เป็นต้น
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ดูจบแล้วคิดเหมือนกันไหม?
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
หนังโคตรฉลาดในการเล่นกับประเด็นเงิน ๆ ทอง ๆ เรื่อง class ของคน หยิบจุดนี้มาขยี้ความต่างระหว่างชีวิตพระเอก นางเอก และพระรอง ได้อย่างละมุนละม่อมยิ่งนัก อีกทั้งผู้กำกับในฐานะรัฐมนตรีก็ยังได้ใส่ hidden agenda เกี่ยวกับปัญหาสังคมเกาหลีใต้ไว้ด้วย เช่น อัตราการว่างงานของคนสมัยใหม่เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเดียวกัน ตลอดจนทัศนคติที่คนเกาหลีใต้มีต่อชาวจีนว่าไม่ต่างจากคนอเมริกันที่คิดว่าตัวเองประเทศใหญ่เลยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก น่ารำคาญ
แกนของเรื่องนี้โยงใยความสัมพันธ์ของตัวละครเข้าไว้กับ ความแค้น ความอิจฉา ความรัก ความสงสัย และการโกหก แล้วจะมีสิ่งไหนเล่าที่จะทำให้จิตใจของมนุษย์นั้นขมุกขมัวขุ่นข้องไปมากกว่านี้ได้อีก…? ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นตัวตั้งต้นชั้นดีของเชื้อไฟในการเผาทำลาย
ลองถามตัวเองดูบ้างสิว่า หากเราจะต้องจัดการอะไรบางอย่างให้หายไป เป็นคุณจะเลือกพิจารณาจากอะไร? พิจารณาจากมันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือ? มันด้อยคุณค่าที่สุดหรือ? มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือ? มันเป็นสิ่งที่เก่าแก่คร่ำครึหรือ? … ทว่า นั่นมันผิดทั้งหมด … เพราะคำตอบจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ คุณแค่ต้องยอมรับว่า “ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเลว ดั่งฝนที่ตกจากฟ้าก็ยังไม่ละเว้นว่าคนข้างล่างจะเป็นใคร ก็คงต้องเปียกด้วยกัน”
หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการตั้งคำถามให้เกิดขึ้นในใจของคนดูได้ดีจริง โดยตอนผมเดินออกจากโรงภาพยนตร์มาได้ยินคนถกกันต่อถึงการกระทำของพระเอก คำพูดอุปมาต่าง ๆ ของพระรอง และการหายไปของนางเอก ทุกเงื่อนงำล้วนแต่ที่มีช่องว่างที่ซ่อนคำตอบของเรื่องราวเอาไว้อยู่ แม้กระทั่งในซีนสุดท้ายที่ทุกคนคงเกิดคำถามว่า “ทำไปทำไม” “เพราะอะไร” แต่คำตอบนั้นก็สามารถย้อนขึ้นไปยังพารากราฟก่อนหน้านี้ ว่า มันไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใด ๆ สุดท้ายแล้วธรรมชาติจะต้องกำจัดบางอย่างไปนั่นหละ
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
หลากหลายประเด็นในหนังที่น่าคิดหาคำตอบ:
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
– นางเอก เลี้ยงแมวในห้องพักจริงๆ ใช่ไหม?
– พระรองมีอาชีพทำอะไรกันแน่ สังเกตแก๊งเพื่อน ๆ พระรองที่ขับ Benz, BMW ก็ยังดูไม่ออก หรือแค่ rich kid ธรรมดา ?
– พระรองไปทำอะไรที่แอฟริกากลาง? ธุรกิจมืด? ก็ยังไม่มีอะไรคอนเฟิร์มได้… หรือจริง ๆ แล้ว ช่องโหว่ที่หนังสร้างขึ้นมาเสริมว่า นางเอกขี้โม้ เปิดทางให้คนดูได้เผลอคิดเฉไปอีกแบบได้ว่า นางเอกอาจไม่ได้ไปแอฟริกา แต่จัดฉากอย่างแนบเนียนทุกอย่าง ตามคำบอกเล่าจากคนที่รู้จักนางเอกว่า “อีนี่โม้เก่ง” แต่ก็ยังจับพิรุธไม่ได้ ทั้งการเต้นของชนเผ่าแอฟริกา การนำอึแมวล่องหน (ที่ชื่อบอยล์) มาใส่
– หลังจากสามคนมาสังสรรค์กันที่พาจู นางเอกหายตัวไปอยู่ไหน? ไปโดยสมัครใจหรือโดนบังคับ? อยู่ในธุรกิจมืดของพระรองหรือไม่? หรือว่าไม่มีชีวิตแล้ว?
– ในตอนสุดท้ายที่ผ่านไปหลายเดือน เข้าสู่ฤดูหนาว พระเอก รู้ความจริงอะไร จึงต้องจัดการกับพระรอง
จากมุมมองของคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องสั้นมาก่อน ถ้าให้ผมคิดเอาสรุปเรื่องเองแล้ว จากตัวหนังล้วน ๆ ผมขอเลือกมองแบบนี้แล้วกันครับว่า สรุปแล้ว นางเอกคงไปคบพระรองอยู่ลับ ๆ ด้วยเรื่องเงิน ไม่อาจถือโทษโกรธเธอได้ ด้วยเหตุผลความจำเป็นในเรื่องการใช้เงินในการดำรงชีวิตของเธอ ทั้งการศัลยกรรม บัตรเครดิต การท่องเท่ยว นางเอกจึงจำใจเลือกไปคบหาพึ่งชีวิตไว้อยู่กับพระรอง ถึงแม้ลึก ๆ จะมีใจเสน่หาอาลัยอาวรณ์ต่อพระเอกบ้าน ๆ ผู้เป็นรักแรกของเธอมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็คงเสียใจไม่น้อยที่โดนพระเอกกล่าวหาว่าทำตัวเป็น
ช่วงหนึ่งที่พระเอกจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยจนได้เผลอจุดไฟเผาเรือนเพาะชำ แต่พอรู้ตัวขึ้นมาว่าทำอะไรลงไปแล้วก็รีบกุลีกุจอตบไฟให้ดับลงด้วยความตระหนก แต่และแล้วในตอนสุดท้าย เขาก็ได้มาเผาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรือนเพาะชำ ราดน้ำมัน เผามันไปพร้อมกับปอร์เช่สิบกว่าล้านกันเลยทีเดียว
ยังมีมุมหนึ่งที่หนังเรื่องนี้สื่อออกมาได้น่าสนใจคือ ไม่ว่าเราจะเกลียดหรือโกรธพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมายังไง สุดท้ายคนเป็นลูกก็ยังคงฟังและเชื่อคำพูดจากคนเป็นพ่อแม่มากที่สุด สังเกตตอนที่พระเอกยอมจ่ายหนี้แทนแม่ (ที่ทิ้งเขาไปมากกว่า 16 ปี) และเชื่อเกี่ยวกับการมีอยู่ของ “บ่อน้ำ” ที่นางเอกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้พระเอกรู้สึกขึ้นมาว่ามีบุญคุณต่อกัน
เราคงพอเดากันได้ว่า สาวคนสนิทคนใหม่ของพระรอง (ที่พระรองไปทาปากให้ในห้อง) จะอยู่ต่อจากนั้นได้ไม่ถึง 2 เดือนชัวร์ ๆ ! ทว่า หลังจากที่เราได้เห็นฉากจบเรื่องแล้ว ก็พออุ่นใจขึ้นมาว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนตกเป็นเหยื่อพ่อหนุ่มกังนัมนี่อีก โล่งใจไปเปราะหนึ่งกับฉากจบของเรื่อง โดยผู้กำกับเลือกที่จะทิ้งซีนด้วยการตั้งกล้องไว้หน้ากระจกรถ เพื่อถ่ายมองเห็นทะลุกระจกหลังรถ ภาพความวินาศสันตะโรบ้าบอที่อยู่เบื้องหลังพระเอก ค่อย ๆ เคลื่อนห่างเขาช้า ๆ พลันเขาเปิดใบปัดน้ำฝนให้ค่อย ๆ ชะล้างเอาคราบเขม่าและหิมะที่เกาะกระจกหน้าออกไป ทำให้เรามองเห็นเหตุการณ์ข้างหลังได้ชัดเจนขึ้น และคิดว่าเขาคงจะมองเห็นทางไปต่อข้างหน้าได้ดีขึ้นเช่นกัน.
________________________________________
Score: 9.5/10
Full review: https://blog.folkdo.com/burning-beoning/
– ให้ 9.5 เพราะหนังปูเรื่องมาชวนให้คิดสงสัยในเหตุการณ์ ในคำพูด สีหน้า การกระทำ สนุกดี และการใช้คำอุปมาต่างๆ ที่เมื่อดูจบแล้วก็สามารถกระเทาะเปลือกออกมาเข้าถึงแก่นเรื่องได้หลากหลายแนวทางตามแต่จะคิด ฉากจบมันดีมาก ๆ มันคือการปิดฉากที่หม่น ๆ บนความเคลียร์ แทบอยากจะอัญเชิญเพลงความเลือนลาง ของเกรสซี่คาเฟ่ มาประกอบฉากจบก็เข้าท่าอยู่นะ
– ขอหัก 0.5 คะแนน เพราะถ้ามองในโลกความจริง ไอ้นี่คงเพี้ยนไปแล้วแน่ อะไรคือการมองตึกโซลทาวเวอร์แล้วช่วยตัวเองวะ ฮา แต่คิดอีกที เมื่อตระหนักเข้าไปในฟีลของพระเอกอาจจะเพราะยังคงฝังใจช่วงที่มี sex กันครั้งแรกกับนางเอก แล้วขณะนั้นเห็นแสงแดดสะท้อนจากโซลทาวเวอร์ตามที่นางเอกพูดไว้ว่ามันโผล่มาวันละหนเท่านั้น เลยเกิดจดจำประโยคนั้นมา remind ถึงเหตุการณ์นั้นในห้องนอนเลยเกิดอารมณ์ อีกอย่างที่ขัดใจเล็ก ๆ คือช่วงหลังพระเอกฝันบ่อยไปนิดนึง จนนึกไปว่าหนังมันคืบหน้าไปมาก แต่จริงๆยังอยู่แต่ในฝัน แต่เอาเถอะ มันคือสไตล์การเล่าเรื่องที่สวยงาม และยอดเยี่ยมที่สุดตามปัจจัยที่จะเอื้ออำนวยให้ทำได้แล้วจริง ๆ
edit: จัดบรรทัดและย่อหน้า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้