ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยทุกท่าน รวมถึงทุกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่22/07/2018 เวลาประมานบ่ายโมงที่ผ่านมา อย่างสุดซึ้งที่ทำให้กลับมามีลมหายใจได้อีกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่เราออกมาตั้งกระทู้หรือโพส ลักษณะนี้เพื่อขอแชร์ความทุ่มเทของคนดีๆที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของสังคมที่ยังมีอยู่ในทุกๆมุมของโลก ขอแชร์ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ ขอแชร์คำขอบคุณคนที่ไม่เคยรู้จัก และสุดท้ายถ้ามีโอกาสอยากเจอคนที่ไม่รู้จักเหล่านั้นอีกครั้ง ในสภาพร่างกายที่มีลมหายใจในวันนี้ พวกคุณคือปาฏิหารย์ที่จะอยู่ในใจของเราตลอดไป
ความมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมบริจาคโลหิตได้ ใครจะคิดว่าจะต้องผ่านเสี้ยววินาทีความตาย เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
เหตุการณ์เริ่มต้นจาก เราได้รับข้อความครบกำหนดการบริจาคเลือด เมื่อวันที่ 16/07/2018 และเราตั้งใจว่า จะไปบริจาคในวัน อาทิตย์ที่ 22/07/2018 ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราทำทุกอย่างตามแผนการที่กำหนด และทำตามข้อปฏิบัติก่อนบริจาคเป็นอย่างดี
1.นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ
2.มีสุขภาพแข็งแรง (บริจาคครั้งนี้ครั้งที่3)
3.ไม่อยู่ระหว่างทานยารักษาโรค
4.ทานข้าวเรียบร้อย ไม่ได้กินมันหรือหวานจัด
5.ดื่มน้ำ2ขวดใหญ่ ก่อนบริจาค
6.เป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า
7.ไม่ได้อยู่ระหว่างมีประจำเดือน
8.ไม่ได้ป่วยในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนบริจาค
พอถึงวันที่ 22/07/2018 เราก็เดินทางไปสภากาชาดกับน้องสาว ไปถึงประมาณ 11โมงกว่าๆ วัดความดันทุกอย่างปกติ แต่ด้วยใกล้เที่ยงคุณหมอเลยแนะนำให้ไปทานข้าวก่อน เราก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารข้างๆตึกสภากาชาด แต่ทานได้นิดเดียวเพราะเราจุกน้ำที่ดื่มเข้าไปเต็มท้อง จากนั้นเราก็กลับมาเข้าคิวเพื่อบริจาคเลือดตามปกติ ประมานเกือบๆบ่ายโมงเราก็บริจาคเลือดเสร็จ ก็รู้สึกปวดฉี่มากจากน้ำที่เข้าไปเยอะ จึงรีบลุกทันที่จนพยาบาลขอให้นั่งก่อนอีกซัก1นาที เราก็นั่งต่อนะ แต่พอเราลุกได้เท่านั้นแหละ ก็รีบเอากระเป๋าไปฝากไว้กับน้องสาว แล้วบอกน้องว่าให้รอตรงช่อง6 (ช่องทานอาหารว่าง) และเรารีบวิ่งลงบันไดเลื่อนไปฉี่แบบไม่พกอะไรติดตัวเลย
ในฝั่งของเรา =>;
จุดพีคอยู่ตรงนี้=》พอเราฉี่เสร็จ รู้สึกว่าไม่ไหว ใจสั่น หวิวในท้อง เวียนหัว เราเลยมานั่งพักที่หน้าห้องน้ำ เพราะคิดว่านั่งแปบนึงน่าจะดีขึ้น จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มาได้ยินเสียงอีกทีว่ามีคนช็อคกำลังชัก (ยังไม่รู้ตัวอีกนะว่าเป็นตัวเองอ่ะ) แล้วมีคนมาตีเอาแอมโมเนียมาให้ดม แล้วถามว่าไหวมั้ย เราจำได้ว่าเราพยักหน้า แล้วเค้าก็จับลุกนั่ง จากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัวอีกครั้ง มาได้ยินอีกทีเค้ากำลังเถียงกัน
เราได้ยินว่า เสียงผู้หญิงเค้าเป็นคุณหมอโรงพยาบาลเอกชนพาสามีมาบริจาคเลือดและอยู่ในเหตุการณ์ พูดว่า ; เคสน้องไม่ปกติเราต้องรีบส่งโรงพยาบาล เค้าเป็นใครมากลับใคร ต้องทำให้เค้ามีสติ (ประมานนี้นะ )
เจ้าหน้าที่เป็นเสียงผู้หญิง ; เคสแบบนี้ปกติเราเจอมาเยอะ ไม่เป็นไรให้เค้านอนซักพักเดี่ยวก็หาย
คุณหมอ ; เค้าไม่หายนี่เกินครึ่งชั่วโมงแล้ว เค้าจะช็อคต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล เค้ามีอาการชัก เราต้องรีบแล้ว ไม่งั้นไม่ทัน เค้าอาจจะไม่กลับมา ( ขอบคุณคุณหมอมากๆนะคะ )
เจ้าหน้าที่ผู้ชาย ; ถามเราว่าชื่ออะไร มากับใคร คนมาด้วยอยู่ไหน ชื่ออะไร เราจำได้ว่าเราตอบไปทั้งหมดนะ แล้วพวกเค้าพยายามจับเราลุกอีกครั้ง
แล้วตอนนั้นมีอยู่ช่วงนึงที่รู้สึกแค่ว่า เฮ้ยสบายเบาๆ สบายจัง เป็นแสงสว่าง และไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วได้มองเค้าทำอะไรกันไม่รู้ดูวุ่นวาย
จากนั้นมารู้สึกตัวอีกทีและได้ยินเค้าตะโกนว่า กลับมาแล้วๆ ชีพจรมาแล้ว ได้ยินพร้อมกับความเจ็บหน้าอกมาก ระดับแม็กซ์ เวียนหัวคลื่นไส้มาเต็ม
ละได้ยินเค้าถกกันอีกครั้ง เสียงผู้ชาย ‘ ต้องให้นอนเฉยๆเลยเรียกรถฉุกเฉินเลย ทำอะไรไม่ได้แล้ว ชีพจรเหลือ 10 ตะโกนว่า เช็คหายใจ เสียงผู้ชายอีกคน ก็พูดว่า กลับมาหายใจแล้ว
พอครั้งนี้แหละเราก็ได้ยินเค้าถามชื่อเราอีกครั้ง และเค้าถามว่ามีญาติคนอื่นอีกมั้ย เราบอกชื่อคนๆนึงด้วยเสียงที่เค้าต้องเอาหูมาฟัง เจ้าหน้าที่เค้าก็คุยกับญาติเราคนนั้นให้ แล้วก้อได้ยินเจ้าหน้าที่พูดกับเราว่าไม่ต้องเป็นกังวลนะจะดูแลเอง (ขอบคุณนะคะคนไม่รู้จัก)
เราจำได้ว่าเราพยายามพูดคำว่าขอบคุณออกไป แต่เค้าจะได้ยินมั้ยนะ อันนี้เราไม่รู้
เราสัมผัสได้แค่ตอนที่บอกกลับมาแล้ว น้ำเสียงของพวกเค้ายินดีที่ช่วยชีวิตเราไว้ได้ ตอนนั้นเรารู้สึกยินดีเหมือนกันที่กลับมาพูดขอบคุณพวกเค้าได้
จากนั้นเค้าก็พยายามทำให้เรามีสติตลอดเวลา ได้ยินเสียงรถพยาบาล และตัวเองนอนในรถ( เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ ปกติจะเป็นคนหลบทางให้)
พอถึงโรงพยาบาล ตอนนั้นเรามีสติมากขึ้น (เพราะโดนตบไปหลายที 555 อันนี้แซวนะ) เจ้าหน้าสภากาชาดมากับเรา 3 คน และเล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอฟังว่าทำอะไรเราไปบ้าง ได้ยินคุณหมอพูดว่าตัดสินใจถูกแล้ว มาทันเวลา เราพยายามจำเค้าเอาไว้ แต่จำไม่ได้จริงๆ เค้าขอเบอร์โทรเรา เราก้อบอกเบอร์ให้นะ จากนั้นเราก็หลับไปเลย ตื่นอีกที เกือบ 6โมงเย็น
มาในฝั่งของน้องสาวเราที่ไปด้วยกัน ที่คุยกันหลังมีสติแล้ว => ;
น้องเล่าให้ฟัง ว่ามีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปเรียกน้องสาวเราจากช่อง6(ช่องทานอาหารว่าง) พอน้องมาถึง ก็เห็นเรา ตัวเหลืองซีด ตัวเย็น และพอเค้าจับลุกก็ตัวเกร็ง ตาเหลือก สลบ และหยุดหายใจ ไม่มีชีพจร อยู่หลายครั้ง เจ้าหน้าที่ผู้ชายต้องปั๊มหัวใจอยู่ 4-5 รอบ เพราะพอกลับมาแล้วก็ไปอีก เจ้าหน้าที่ทั้งปั๊มหัวใจทั้งตบให้ตื่นก็ไม่ตื่น จนเข้าใจว่าเรากำลังจะตาย น้องก็ทำอะไรไม่ถูก และไม่ถ่ายรูปไว้ ( อันนี้เราถามว่าทำไมไม่ถ่ายรูปไว้ อยากเห็น 555)
ที่นี้เรามาดูกันว่าเราพลาดอะไรที่ทำให้เราเกือบตาย => ;
1. เราไปออกกำลังกายก่อนไปบริจาคเลือด 2 ชั่วโมง ( อันนี้เราไม่รู้จริงๆ ว่าไม่ควร รู้สึกผิดจริงๆ)
2. เรานอนเร็วจริง 22.00 น . แต่เราตื่น ตี 3-4 (ถือว่านอนน้อยไป)
3. เราดื่มน้ำเยอะจริงแต่ถือว่ายังน้อยไป เพราะนิสัยที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำเปล่า)
4. เราอาจจะมีภาวะความเครียดสะสมอื่นๆที่ไม่รู้ตัว ( อันนี้เดา เพราะเราเพิ่งเลิกกับแฟน)
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า ^^
1. โชคดีจังยังไม่ตาย ได้อยู่ทำอะไรตามเป้าหมายที่เคยเป็นตัวเราอีกครั้ง >> เราจะกลับมาเป็น new เรา คนที่รักและทำให้ตัวเองมีทุกอย่างเหลือกิน เหลือใช้ เหลือเก็บ เหลือแบ่งปัน (อันนี้ขอไม่นับกลุ่มคนที่จะมาเอาผลประโยชน์จากเรา โดยให้เราต้องทำร้ายตัวเองเพื่อแลกไปนะ)
2. การที่เรากลับมาได้นี่ มีหน้าของคนหลายคนลอยมาที่เราอยากบอกรัก บอกคิดถึง บางคนก็ได้บอกไปแล้ว บางคนก็ยังแต่ใครที่เราบอก มันมาจากใจเราจริงๆนะ
3. โอกาสบางอย่างมันมาครั้งเดียว จะ now หรือ never ดีล่ะ
4. ช่วงเวลาชี้ชะตา บางเรื่องมันเกิดขึ้นแบบไม่เคยตั้งตัว มันโหมกระหน่ำเข้ามาทีละหลายเรื่องพร้อมกันในเวลาใกล้เคียงกัน จนเหมือนโดนเล่นตลก สิ่งที่ต้องทำคือตั้งสติ และมองเหตุการณ์ด้วยกรอบคิดแบบพัฒนาได้ จากนั้นต้องรีบถามตัวเองว่า ได้บทเรียนอะไรบ้าง
5. พูด คิด ทำ ดีดี ตอนตายจะตายดี มีความสุข
6. Focus on ppl that who loved you and do everything for them.
อาการปัจจุบันวันที่ 25/07/2018 เจ็บอกมาก น่าจะเกิดจากตอนกดปั๊มหัวใจ เวียนศรีษะ หน้ามืด ใจเต้นแรง ต้องเคลื่อนไหวช้าๆซักระยะ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยทุกท่าน และรวมไปถึงท่านผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความช่วยเหลือในครั้งนี้ และขอโทษอย่างจริงใจในความผิดพลาดอันเกิดจากความประมาท ทำให้เกิดความเดือดร้อน โดยตัวเราเป็นสาเหตุด้วยนะคะ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นตัวอย่างหรือบทเรียนให้กับใครหลายๆคนที่กำลังตัดสินใจบริจาคเลือด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนบริจาคให้เหมาะสมกับ สโลแกน 1 คนให้ 3 คนรับ ไม่ใช่ 1 คนให้ 3 คนรับ 10 คนเดือดร้อนนะคะ^^
และสุดท้ายจริงๆขอบคุณทุกคนที่รักและเป็นห่วงรวมถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากให้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการแชร์เรื่องนี้ออกไปเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนทำความดีที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยหวังอย่างเดียวคือให้คนที่ถูกช่วยกลับมาหายใจอีกครั้ง^^
ขอขอบคุณจนท.สภากาชาดไทยและผู้อยู่ในเหตการณ์วันที่22/07/2018 เวลาประมาณ 13.00อย่างสุดซึ้งที่ทำให้กลับมามีลมหายใจ
เป็นครั้งแรกที่เราออกมาตั้งกระทู้หรือโพส ลักษณะนี้เพื่อขอแชร์ความทุ่มเทของคนดีๆที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของสังคมที่ยังมีอยู่ในทุกๆมุมของโลก ขอแชร์ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ ขอแชร์คำขอบคุณคนที่ไม่เคยรู้จัก และสุดท้ายถ้ามีโอกาสอยากเจอคนที่ไม่รู้จักเหล่านั้นอีกครั้ง ในสภาพร่างกายที่มีลมหายใจในวันนี้ พวกคุณคือปาฏิหารย์ที่จะอยู่ในใจของเราตลอดไป
ความมั่นใจว่าสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมบริจาคโลหิตได้ ใครจะคิดว่าจะต้องผ่านเสี้ยววินาทีความตาย เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
เหตุการณ์เริ่มต้นจาก เราได้รับข้อความครบกำหนดการบริจาคเลือด เมื่อวันที่ 16/07/2018 และเราตั้งใจว่า จะไปบริจาคในวัน อาทิตย์ที่ 22/07/2018 ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราทำทุกอย่างตามแผนการที่กำหนด และทำตามข้อปฏิบัติก่อนบริจาคเป็นอย่างดี
1.นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ
2.มีสุขภาพแข็งแรง (บริจาคครั้งนี้ครั้งที่3)
3.ไม่อยู่ระหว่างทานยารักษาโรค
4.ทานข้าวเรียบร้อย ไม่ได้กินมันหรือหวานจัด
5.ดื่มน้ำ2ขวดใหญ่ ก่อนบริจาค
6.เป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า
7.ไม่ได้อยู่ระหว่างมีประจำเดือน
8.ไม่ได้ป่วยในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนบริจาค
พอถึงวันที่ 22/07/2018 เราก็เดินทางไปสภากาชาดกับน้องสาว ไปถึงประมาณ 11โมงกว่าๆ วัดความดันทุกอย่างปกติ แต่ด้วยใกล้เที่ยงคุณหมอเลยแนะนำให้ไปทานข้าวก่อน เราก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารข้างๆตึกสภากาชาด แต่ทานได้นิดเดียวเพราะเราจุกน้ำที่ดื่มเข้าไปเต็มท้อง จากนั้นเราก็กลับมาเข้าคิวเพื่อบริจาคเลือดตามปกติ ประมานเกือบๆบ่ายโมงเราก็บริจาคเลือดเสร็จ ก็รู้สึกปวดฉี่มากจากน้ำที่เข้าไปเยอะ จึงรีบลุกทันที่จนพยาบาลขอให้นั่งก่อนอีกซัก1นาที เราก็นั่งต่อนะ แต่พอเราลุกได้เท่านั้นแหละ ก็รีบเอากระเป๋าไปฝากไว้กับน้องสาว แล้วบอกน้องว่าให้รอตรงช่อง6 (ช่องทานอาหารว่าง) และเรารีบวิ่งลงบันไดเลื่อนไปฉี่แบบไม่พกอะไรติดตัวเลย
ในฝั่งของเรา =>;
จุดพีคอยู่ตรงนี้=》พอเราฉี่เสร็จ รู้สึกว่าไม่ไหว ใจสั่น หวิวในท้อง เวียนหัว เราเลยมานั่งพักที่หน้าห้องน้ำ เพราะคิดว่านั่งแปบนึงน่าจะดีขึ้น จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มาได้ยินเสียงอีกทีว่ามีคนช็อคกำลังชัก (ยังไม่รู้ตัวอีกนะว่าเป็นตัวเองอ่ะ) แล้วมีคนมาตีเอาแอมโมเนียมาให้ดม แล้วถามว่าไหวมั้ย เราจำได้ว่าเราพยักหน้า แล้วเค้าก็จับลุกนั่ง จากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัวอีกครั้ง มาได้ยินอีกทีเค้ากำลังเถียงกัน
เราได้ยินว่า เสียงผู้หญิงเค้าเป็นคุณหมอโรงพยาบาลเอกชนพาสามีมาบริจาคเลือดและอยู่ในเหตุการณ์ พูดว่า ; เคสน้องไม่ปกติเราต้องรีบส่งโรงพยาบาล เค้าเป็นใครมากลับใคร ต้องทำให้เค้ามีสติ (ประมานนี้นะ )
เจ้าหน้าที่เป็นเสียงผู้หญิง ; เคสแบบนี้ปกติเราเจอมาเยอะ ไม่เป็นไรให้เค้านอนซักพักเดี่ยวก็หาย
คุณหมอ ; เค้าไม่หายนี่เกินครึ่งชั่วโมงแล้ว เค้าจะช็อคต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล เค้ามีอาการชัก เราต้องรีบแล้ว ไม่งั้นไม่ทัน เค้าอาจจะไม่กลับมา ( ขอบคุณคุณหมอมากๆนะคะ )
เจ้าหน้าที่ผู้ชาย ; ถามเราว่าชื่ออะไร มากับใคร คนมาด้วยอยู่ไหน ชื่ออะไร เราจำได้ว่าเราตอบไปทั้งหมดนะ แล้วพวกเค้าพยายามจับเราลุกอีกครั้ง
แล้วตอนนั้นมีอยู่ช่วงนึงที่รู้สึกแค่ว่า เฮ้ยสบายเบาๆ สบายจัง เป็นแสงสว่าง และไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วได้มองเค้าทำอะไรกันไม่รู้ดูวุ่นวาย
จากนั้นมารู้สึกตัวอีกทีและได้ยินเค้าตะโกนว่า กลับมาแล้วๆ ชีพจรมาแล้ว ได้ยินพร้อมกับความเจ็บหน้าอกมาก ระดับแม็กซ์ เวียนหัวคลื่นไส้มาเต็ม
ละได้ยินเค้าถกกันอีกครั้ง เสียงผู้ชาย ‘ ต้องให้นอนเฉยๆเลยเรียกรถฉุกเฉินเลย ทำอะไรไม่ได้แล้ว ชีพจรเหลือ 10 ตะโกนว่า เช็คหายใจ เสียงผู้ชายอีกคน ก็พูดว่า กลับมาหายใจแล้ว
พอครั้งนี้แหละเราก็ได้ยินเค้าถามชื่อเราอีกครั้ง และเค้าถามว่ามีญาติคนอื่นอีกมั้ย เราบอกชื่อคนๆนึงด้วยเสียงที่เค้าต้องเอาหูมาฟัง เจ้าหน้าที่เค้าก็คุยกับญาติเราคนนั้นให้ แล้วก้อได้ยินเจ้าหน้าที่พูดกับเราว่าไม่ต้องเป็นกังวลนะจะดูแลเอง (ขอบคุณนะคะคนไม่รู้จัก)
เราจำได้ว่าเราพยายามพูดคำว่าขอบคุณออกไป แต่เค้าจะได้ยินมั้ยนะ อันนี้เราไม่รู้
เราสัมผัสได้แค่ตอนที่บอกกลับมาแล้ว น้ำเสียงของพวกเค้ายินดีที่ช่วยชีวิตเราไว้ได้ ตอนนั้นเรารู้สึกยินดีเหมือนกันที่กลับมาพูดขอบคุณพวกเค้าได้
จากนั้นเค้าก็พยายามทำให้เรามีสติตลอดเวลา ได้ยินเสียงรถพยาบาล และตัวเองนอนในรถ( เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ ปกติจะเป็นคนหลบทางให้)
พอถึงโรงพยาบาล ตอนนั้นเรามีสติมากขึ้น (เพราะโดนตบไปหลายที 555 อันนี้แซวนะ) เจ้าหน้าสภากาชาดมากับเรา 3 คน และเล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอฟังว่าทำอะไรเราไปบ้าง ได้ยินคุณหมอพูดว่าตัดสินใจถูกแล้ว มาทันเวลา เราพยายามจำเค้าเอาไว้ แต่จำไม่ได้จริงๆ เค้าขอเบอร์โทรเรา เราก้อบอกเบอร์ให้นะ จากนั้นเราก็หลับไปเลย ตื่นอีกที เกือบ 6โมงเย็น
มาในฝั่งของน้องสาวเราที่ไปด้วยกัน ที่คุยกันหลังมีสติแล้ว => ;
น้องเล่าให้ฟัง ว่ามีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปเรียกน้องสาวเราจากช่อง6(ช่องทานอาหารว่าง) พอน้องมาถึง ก็เห็นเรา ตัวเหลืองซีด ตัวเย็น และพอเค้าจับลุกก็ตัวเกร็ง ตาเหลือก สลบ และหยุดหายใจ ไม่มีชีพจร อยู่หลายครั้ง เจ้าหน้าที่ผู้ชายต้องปั๊มหัวใจอยู่ 4-5 รอบ เพราะพอกลับมาแล้วก็ไปอีก เจ้าหน้าที่ทั้งปั๊มหัวใจทั้งตบให้ตื่นก็ไม่ตื่น จนเข้าใจว่าเรากำลังจะตาย น้องก็ทำอะไรไม่ถูก และไม่ถ่ายรูปไว้ ( อันนี้เราถามว่าทำไมไม่ถ่ายรูปไว้ อยากเห็น 555)
ที่นี้เรามาดูกันว่าเราพลาดอะไรที่ทำให้เราเกือบตาย => ;
1. เราไปออกกำลังกายก่อนไปบริจาคเลือด 2 ชั่วโมง ( อันนี้เราไม่รู้จริงๆ ว่าไม่ควร รู้สึกผิดจริงๆ)
2. เรานอนเร็วจริง 22.00 น . แต่เราตื่น ตี 3-4 (ถือว่านอนน้อยไป)
3. เราดื่มน้ำเยอะจริงแต่ถือว่ายังน้อยไป เพราะนิสัยที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำเปล่า)
4. เราอาจจะมีภาวะความเครียดสะสมอื่นๆที่ไม่รู้ตัว ( อันนี้เดา เพราะเราเพิ่งเลิกกับแฟน)
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า ^^
1. โชคดีจังยังไม่ตาย ได้อยู่ทำอะไรตามเป้าหมายที่เคยเป็นตัวเราอีกครั้ง >> เราจะกลับมาเป็น new เรา คนที่รักและทำให้ตัวเองมีทุกอย่างเหลือกิน เหลือใช้ เหลือเก็บ เหลือแบ่งปัน (อันนี้ขอไม่นับกลุ่มคนที่จะมาเอาผลประโยชน์จากเรา โดยให้เราต้องทำร้ายตัวเองเพื่อแลกไปนะ)
2. การที่เรากลับมาได้นี่ มีหน้าของคนหลายคนลอยมาที่เราอยากบอกรัก บอกคิดถึง บางคนก็ได้บอกไปแล้ว บางคนก็ยังแต่ใครที่เราบอก มันมาจากใจเราจริงๆนะ
3. โอกาสบางอย่างมันมาครั้งเดียว จะ now หรือ never ดีล่ะ
4. ช่วงเวลาชี้ชะตา บางเรื่องมันเกิดขึ้นแบบไม่เคยตั้งตัว มันโหมกระหน่ำเข้ามาทีละหลายเรื่องพร้อมกันในเวลาใกล้เคียงกัน จนเหมือนโดนเล่นตลก สิ่งที่ต้องทำคือตั้งสติ และมองเหตุการณ์ด้วยกรอบคิดแบบพัฒนาได้ จากนั้นต้องรีบถามตัวเองว่า ได้บทเรียนอะไรบ้าง
5. พูด คิด ทำ ดีดี ตอนตายจะตายดี มีความสุข
6. Focus on ppl that who loved you and do everything for them.
อาการปัจจุบันวันที่ 25/07/2018 เจ็บอกมาก น่าจะเกิดจากตอนกดปั๊มหัวใจ เวียนศรีษะ หน้ามืด ใจเต้นแรง ต้องเคลื่อนไหวช้าๆซักระยะ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยทุกท่าน และรวมไปถึงท่านผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความช่วยเหลือในครั้งนี้ และขอโทษอย่างจริงใจในความผิดพลาดอันเกิดจากความประมาท ทำให้เกิดความเดือดร้อน โดยตัวเราเป็นสาเหตุด้วยนะคะ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นตัวอย่างหรือบทเรียนให้กับใครหลายๆคนที่กำลังตัดสินใจบริจาคเลือด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนบริจาคให้เหมาะสมกับ สโลแกน 1 คนให้ 3 คนรับ ไม่ใช่ 1 คนให้ 3 คนรับ 10 คนเดือดร้อนนะคะ^^
และสุดท้ายจริงๆขอบคุณทุกคนที่รักและเป็นห่วงรวมถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากให้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการแชร์เรื่องนี้ออกไปเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนทำความดีที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยหวังอย่างเดียวคือให้คนที่ถูกช่วยกลับมาหายใจอีกครั้ง^^