https://www.facebook.com/1026715697475618/videos/1037998709680650/?t=49
ทำไมต้องสวดบท อิทัปปัจยาและปฏิจสมุปบาท?
เป็นเป็นการจดจำหลักธรรมชั้นโลกุตระ และเมื่อปฏิบัติธรรม สามารถนำเนื้อความแห่งหลักธรรมนี้มาใคร่ครวญและพิจารณาธรรมได้
ประเด็นคือ เราหาได้เข้าใจเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เราไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งเหล่านี้ได้เลย
แต่เราจะค่อยๆเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราได้นำธรรมะนี้มาใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
มันก็คือ... สิ่งที่เป็นธรรมชาติของเรา ของเขา และของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง5
การที่เราเชื่อ น้อมจิตไปในการพิจารณาธรรมเหล่านี้ ทำให้เราได้มีโอกาสที่จะได้ทราบ ความลับของธรรมชาติ
ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง คือเมื่อเราทราบความจริงแท้ ว่าสิ่งทั้งปวงเกิดมาแต่เหตุอย่างไร
เราย่อมสามารถดับเหตุการเกิดขึ้นของสิ่งทั้งปวงได้นั่นเอง
นี่คือสัจจะ ความจริง ที่เป็นความจริงขั้นสูงสุด การเชื่อมั่นในธรรมเหล่านี้ก่อน แม้จะยังไม่เข้าใจหลักธรรมนั้นๆ
การมีศรัทธา แต่ก็มีหลักกลามสูตรกำกับ แต่ก็ไม่ละทิ้งในการพิจารณาเห็นสัจธรรม ที่หยั่งลงไม่ได้โดยการตรึก นึก คิด หรือเป็นเหตุเป็นผล ใดๆ
ย่อมทำให้เขาผู้นั้นสามารถ เข้าถึงความจริงแท้ ที่เข้าถึงได้โดยยาก ได้
และวิจิกิจฉาย่อมไม่มีแก่เขาเหล่านั้นค่ะ
ขอทิ้งท้ายด้วยพระสูตร ญาณวัตถุ 77 นะคะ
ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทแต่ละสายถึงเหตุเกิดและความดับ ทั้งปัจจุบัน อดีต อนาคต ชื่อว่าโสดาบัน (ญาณวัตถุ77)
ภิกษุ ท!
เราจักแสดงซึ่ง ญาณวัตถุ77 อย่าง แก่พวกเธอทั้งหลาย.
พวกเธอทั้งหลายจงฟังข้อความนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.
ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า:-
ภิกษุ ท!
ก็ญาณวัตถุ77 อย่าง เป็นอย่างไรเล่า?
ญาณวัตถุ77 อย่างนั้น คือ:-
-----[หมวด1]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อม จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด2]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด3]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด4]-----
ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด5]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด6]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด7]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา.
-----[หมวด8]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด9]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด10]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายออนาคต เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด11]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา.
ภิกษุ ท!
เหล่านี้ เรียกว่า ญาณวัตถุ77 อย่าง ดังนี้แล.
แหล่งที่มา :
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน
จดจำ " อิทัปปัจยตา " และ " ปฏิจสมุปบาท " ไว้เพื่อ.. โยนิโสมนสิการ และ เพ่งพิสูจน์.. สัจจะธรรม [[[ พุทธวจน ]]]
ทำไมต้องสวดบท อิทัปปัจยาและปฏิจสมุปบาท?
เป็นเป็นการจดจำหลักธรรมชั้นโลกุตระ และเมื่อปฏิบัติธรรม สามารถนำเนื้อความแห่งหลักธรรมนี้มาใคร่ครวญและพิจารณาธรรมได้
ประเด็นคือ เราหาได้เข้าใจเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เราไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งเหล่านี้ได้เลย
แต่เราจะค่อยๆเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราได้นำธรรมะนี้มาใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
มันก็คือ... สิ่งที่เป็นธรรมชาติของเรา ของเขา และของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง5
การที่เราเชื่อ น้อมจิตไปในการพิจารณาธรรมเหล่านี้ ทำให้เราได้มีโอกาสที่จะได้ทราบ ความลับของธรรมชาติ
ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง คือเมื่อเราทราบความจริงแท้ ว่าสิ่งทั้งปวงเกิดมาแต่เหตุอย่างไร
เราย่อมสามารถดับเหตุการเกิดขึ้นของสิ่งทั้งปวงได้นั่นเอง
นี่คือสัจจะ ความจริง ที่เป็นความจริงขั้นสูงสุด การเชื่อมั่นในธรรมเหล่านี้ก่อน แม้จะยังไม่เข้าใจหลักธรรมนั้นๆ
การมีศรัทธา แต่ก็มีหลักกลามสูตรกำกับ แต่ก็ไม่ละทิ้งในการพิจารณาเห็นสัจธรรม ที่หยั่งลงไม่ได้โดยการตรึก นึก คิด หรือเป็นเหตุเป็นผล ใดๆ
ย่อมทำให้เขาผู้นั้นสามารถ เข้าถึงความจริงแท้ ที่เข้าถึงได้โดยยาก ได้
และวิจิกิจฉาย่อมไม่มีแก่เขาเหล่านั้นค่ะ
ขอทิ้งท้ายด้วยพระสูตร ญาณวัตถุ 77 นะคะ
ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทแต่ละสายถึงเหตุเกิดและความดับ ทั้งปัจจุบัน อดีต อนาคต ชื่อว่าโสดาบัน (ญาณวัตถุ77)
ภิกษุ ท!
เราจักแสดงซึ่ง ญาณวัตถุ77 อย่าง แก่พวกเธอทั้งหลาย.
พวกเธอทั้งหลายจงฟังข้อความนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.
ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า:-
ภิกษุ ท!
ก็ญาณวัตถุ77 อย่าง เป็นอย่างไรเล่า?
ญาณวัตถุ77 อย่างนั้น คือ:-
-----[หมวด1]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อม จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด2]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด3]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด4]-----
ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด5]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด6]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด7]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา.
-----[หมวด8]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
6.ญาณ คือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด9]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด10]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายออนาคต เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา;
-----[หมวด11]-----
1.ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
2.ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
3.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
4.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
5.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
6.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี;
7.ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา.
ภิกษุ ท!
เหล่านี้ เรียกว่า ญาณวัตถุ77 อย่าง ดังนี้แล.
แหล่งที่มา :
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน