พระอริยะ..จะต้องรู้ซึ่งปฏิจจสมุปบาท? ถ้างั้นพระอริยะท่านน่าจะอธิบายซึ่งปฏิจจสมุปบาทได้ใช่ไหม? ท่านเห็นว่าอย่างไร..ครับ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกได้สดับแล้ว ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ว่า
เพราะอะไรมี อะไรจึงมีหนอ;
เพราะความเกิดขึ้นแห่งอะไร อะไรจึงเกิดขึ้น :
เพราะอะไรมี สังขารทั้งหลายจึงมี;
เพราะอะไรมี วิญญาณจึงมี;
เพราะอะไรมีนามรูปจึงมี;
เพราะอะไรมี สฬายตนะจึงมี;
เพราะอะไรมี ผัสสะจึงมี;
เพราะอะไรมี เวทนาจึงมี;
เพราะอะไรมี ตัณหาจึงมี;
เพราะอะไรมี อุปาทานจึงมี;
เพราะอะไรมีภพจึงมี;
เพราะอะไรมี ชาติจึงมี;
เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี” ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า
พราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี;
เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น :
เพราะ อวิชชามี สังขารทั้งหลายจึงมี;
เพราะสังขารทั้งหลายมีวิญญาณจึงมี;
เพราะวิญญาณมี นามรูปจึงมี;
เพราะนามรูปมี สฬายตนะจึงมี;
เพราะสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี;
เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี;
เพราะเวทนามี ตัณหาจึงมี;
เพราะตัณหามี อุปาทานจึงมี;
เพราะอุปาทานมี ภพจึงมี;
เพราะภพมีชาติจึงมี;
เพราะชาติมี ชรามรณะจึงมี” ดังนี้.  อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า “โลกนี้ ย่อมเกิดขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ว่า
เพราะอะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหนอ;
เพราะความดับแห่งอะไร อะไรจึงดับ :
เพราะอะไรไม่มี สังขารทั้งหลายจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี วิญญาณจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มีผัสสะจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี;
เพราะอะไร ไม่มี ตัณหาจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี ภพจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี;
เพราะอะไรไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี” ดังนี้. 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ว่า
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี;
เพราะความดับ แห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับ :
เพราะอวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายจึงไม่มี;
เพราะสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณจึงไม่มี;
เพราะวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี;
เพราะนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี;
เพราะสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี;
เพราะผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี;
เพราะเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี;
เพราะตัณหาไม่มี อุปาทานจึง ไม่มี;
เพราะอุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี;
เพราะภพไม่มี ชาติจึงไม่มี;
เพราะชาติไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า “โลกนี้ ย่อมดับลงด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงเหตุเกิดและความดับแห่งโลก ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ในกาลใด;
ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้

             ว่า “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ได้เห็นพระสัทธรรมนี้” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ได้เห็นพระสัทธรรมนี้” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง;
             ว่า  “ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง;  <====== เสขะ
             ว่า “ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ผู้ประเสริฐมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส” ดังนี้บ้าง;
             ว่า “ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ” ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.

http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=16&A=2123&Z=2165
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่