อีกปสก.หนึ่งที่อยากเล่า เมื่อเจอพระสงฆ์ในสมาธิ?????

จากกระทู้ก่อนหน้านี้ที่เราได้ทิ้งท้ายไว้ว่า
      ถ้ามีเวลาและโอกาสเราจะมาเล่า
ปสก.ของเราที่ได้เจอในสมาธิจากการทำกรรมฐานอื่นๆอีก. เราจึงเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา( เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะค่ะ)
เล่าเลยล่ะกันจะยาวสักหน่อย

       เหตุการณ์นี้เราได้บันทึกไว้ในสมุดบันทึกเรื่องการปฏิบัติธรรมของเรา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในขณะที่เราทำกรรมฐาน. ซึ่งหลังจากที่ออกจากกรรมฐานเราจะบันทึกไว้เสมอทั้งผลของการปฏิบัติหรือเรื่องราวแปลกๆซึ่งก้อไม่ได้เจอทุกครั้งนะค่ะ แค่บางครั้งเท่านั้น ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเอง เป็นไปเอง

        เราขอสื่อสารด้วยคำง่ายๆเพราะไม่ถนัดใช้ภาษาทางธรรมกลัวจะพูดผิด ต้องขออภัยด้วยนะค่ะ
       เมื่อ 3ปีก่อน วันหนึ่งเราสวดมนต์และทำกรรมฐานตามปกติเช่นเคยและเข้านอนตอนเกือบ 4ทุ่ม. มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดูเวลาเป็นเวลา 6ทุ่มครึ่ง ทำยังไงก้อนอนไม่หลับ ไม่รู้สึกอ่อนเพลียคือร่างกายตอนนั้นรู้สึกสดชื่นเหมือนคนนอนมาเต็มอิ่ม.
         ใจอยากนั่งสมาธิจึงมาที่ห้องพระที่เราใช้ทำกรรมฐานประจำ นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งสมาธิหลังเที่ยงคืน  เรากราบพระอาราธนาคุณพระรัตนตรัยก่อนทำกรรมฐานทุกครั้งเราจะกล่าวในใจว่า

        "วันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจมาปฏิบัติกรรมฐาน
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าตลอดทั้งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทางธรรมเทวดาผู้ปกปักรักษาข้าพเจ้าและเทวดาผู้มีคุณทั้งหลายได้โปรดเมตตาปกปักรักษาและชี้แนะแนวทางการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ชอบที่ควร. มุ่งตรงสู่หนทางแห่งพระนิพพานอย่าให้ได้หลงทาง และให้ได้พบครูบาอาจารย์ทางธรรมให้การปฏิบัติมีความก้าวหน้าสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนาในสิ่งที่ดีที่หวังทุกสิ่งทุกประการเทอญ สาธุๆๆ"

       แล้วก้อเริ่มนั่งสมาธิกำหนดพุทโธๆๆผ่านเวทนา แยกกายกับจิตได้อย่างชัดเจนเป็นไปตามทางที่ได้ทำมา จิตนิ่งดิ่งสงบ สงัด สติเด่นชัด จิตสงบ สติคอยประคองจิต ผ่านปีติ ผ่านเวทนา เกิดดับๆ สติวันนี้ดีมากไม่วอกแวก จิตนิ่งเด่น จนเห็นเป็นผลึกแก้ววงกลมใสเกิดขึ้นกึ่งกลางระหว่างอกอกมีแสงระยิบระยับ เห็นแล้วจิตวันนี้นิ่ง คุ้นชินเพราะได้เคยเห็นมาแล้ว ดูแล้วก้อวาง เฉยๆ ได้ความสงบดีมาก
          สักพักดวงแก้วหายไป สติกำหนดอยู่ที่จิตต่อไป จิตมีความนิ่งดีมาก จิตกระเพื่อมรู้ สงบนิ่งรู้ กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ปรากฎเห็นเหมือนแสงที่ปลายอุโมงค์เป็นจุดเล็กๆ สติกำหนดอยู่ที่จิต วางเฉยต่อสิ่งที่เห็นแต่รู้ ไม่ได้ให้ความสนใจ จะเกิดอะไร จะมีอะไรเรากำหนดรู้แต่สติยังคงอยู่ที่จิตๆจึงนิ่ง
        มีความรู้สึกเหมือนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพุ่งไปตามทางของแสงที่ปลายอุโมงค์จนถึงปลายแสงความสว่างว๊าาปขึ้นมา
         ความรู้สึกเบามาก สติเด่นชัดยิ่งขึ้น กำลังไม่รู้สึกถดถอย ไม่เหนื่อย สำรวจในจิตยังคงนิ่งดี
         สิ่งที่ปรากฏ คือพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือธรรมะของเราเยื้องจากตรงที่เรานั่งสมาธิอยู่ด้านซ้ายมือเยื้องไปด้านหน้า เราก้อนิ่ง สติประคองจิตอยู่เช่นเดิม เห็นท่านหยิบหนังสือธรรมะออกมาเลือกๆดู แล้วได้ยินเสียงท่านพูดขึ้นว่า

    พระสงฆ์  "เหลือไว้แค่นี้พอ นอกนั้นไม่ต้อง. แต่เมื่อถึงเวลาที่เหลือกองนี้ก้อต้องทิ้ง สุดท้ายว่างไม่มีเหลือ แต่ตอนนี้ให้เหลือไว้ตามนี้"

   เรา "ท่านค่ะ หนังสือธรรมะโยมสะสมมามีคุณค่ากับโยม. ท่านจะให้โยมทิ้งได้ยังไงค่ะ หรือหากจะนำไปบริจาคเมื่อถึงเวลาโยมจะนำไปบริจาคเองนะค่ะท่าน โยมยังต้องใช้"

   พระสงฆ์รูปนั้นหันมาทางเราๆเห็นท่านอย่างชัดเจนมาก ท่านเป็นพระที่เราควรเรียกท่านว่าหลวงตาหรือหลวงปู่โดยดูจากภายนอก หน้าตาท่านดูผ่องใสมีเมตตาบารมีมากเราเห็นออร่าเป็นสีทองอยู่รอบๆตัวท่าน เมื่อเห็นท่านอย่างชัดเจนเท่านั้นล่ะ สติบอกเผลอ รีบกลับมากำหนดจิต ประคองจนจิตนิ่ง สงบเช่นเดิม ตั้งสติประคองจิตก้มลงกราบท่านไป 3ครั้ง ในขณะที่กราบมองเห็นที่เท้าท่านเป็นสีทองดูเผินๆเหมือนท่านใส่ถุงเท้าสีทองคำ  ได้สนทนากับพระหลวงปู่ใจอยากรู้ว่าท่านคือใคร  

      พระหลวงปู่ "อาตมาหมายถึง ไม่ให้โยมเป็นนักอ่านแต่ให้เป็นนักภาวนา เหลือไว้แค่ที่อาตมาคัดไว้ ให้ก้อเพียงพอแล้ว โยมมาปฏิบัติธรรมจะมาหวังเอาอะไร การปฏิบัติพระศาสดาพระองค์สอนอยู่แค่เรื่องจิตเป็นสำคัญ ในกายและจิตของเรานี้ โยมจะไปดูอะไรไปอ่านอะไร อ่านกายใจของเรานี้ การปฏิบัติเป็นแต่เรื่องของการสละทุกอย่างออกจากจิตทั้งนั้น หนังสือเหล่านั้นโยมไม่ต้องใช้แล้วนะ
และอาตมาอยากบอกโยมไว้ว่า
        "เวลาไปวัดจะเข้าโบสถ์อย่าใส่รองเท้าย่ำบันไดขึ้นไปถอดที่หน้าประตูโบสถ์ให้ถอดรองเท้านอกบริเวณโบสถ์ ใส่ย่ำขึ้นไปถือว่าไม่เคารพสถานที่ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง"
(อันนี้เราก้อเคยทำเพราะกลัวรองเท้าหายและพื้นบางทีร้อนแดดหรือเปียกฝน ก้อจะใส่รองเท้าย่ำไปถอดไว้ข้างประตูหน้าโบสถ์ แต่หลังจากที่ได้ฟังจากหลวงปู่ไม่เคยทำอีกเลย ถอดห่างออกจากบริเวณทางขึ้นโบสถ์ตลอด)

         "บ้านไหนมีห้องพระและสวดมนต์เป็นประจำ หลัง 6ทุ่มเทวดาที่เป็นญาติกับเจ้าของบ้านจะลงมาสวดมนต์ที่บ้านหลังนั้นให้จัดห้องพระให้สะอาดเรียบร้อย จะเป็นสิริมงคลอยู่ร่มเย็นเป็นสุข"

เราเห็นพระหลวงปู่เขียนข้อความในกระดาษแล้ววางลงต่อหน้าเรา ในกระดาษเขียนว่าให้ฟังธรรมของหลวงปู่เหรียญ/หลวงปู่ดุลย์/หลวงพ่อพุธและ
นำไปต่อยอด. ลงท้ายเหมือนเป็นการลงชื่อตัวหนังสือสีทองเขียนว่า. หลวงปู่ดู่
(ในใจเราคิดหลวงปู่ดู่ไหนอ่ะไม่เคยได้ยินเลยและไม่เคยเห็นท่านเลย. หลวงปู่ดู่ไหนหนอๆ)

พระหลวงปู่ "เราเคยเห็นกันเมื่อนานมาแล้วโยม อย่าลืมไปต่อยอดตามที่อาตมาบอกนะโยม ขอให้เจริญทางธรรม"

         เราตั้งใจก้มลงกราบหลวงปู่ 3ครั้ง ซาบซึ้งในเมตตาและรู้สึกอิ่มเอิบใจ ขนลุกขนพอง จนเกือบควบคุมสติให้อยู่กับจิตไม่อยู่ รีบกำหนดให้สติมั่นคงอยู่กับจิตเช่นเดิมจนจิตสงบ

          สติรู้ว่ากำลังจะถอนออกจากสมาธิ กำหนดจิต สติกำหนดรู้ๆๆๆ ถอยออกจากสมาธิ  ออกมาขากับก้นแทบจะแตกละเอียดปวดมากๆถึงมากที่สุด รีบกำหนดปวดหนอๆๆนานพอสมควรจึงหายปวดเสร็จแล้ว แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลตามที่ได้กระทำมา หลังจากนั้นก้อมาจดบันทึกไว้

        เช้ามาเราได้มาถามน้องชายซึ่งเขาชอบสะสมพระและอยู่วงการพระเครื่องว่า รู้จักหลวงปู่ดู่ไหม น้องชายบอกที่รู้จักก้อมีหลวงปู่ดู่ วัดสะแก  เราก้อถามไม่มีภาพถ่ายเหรอ น้องบอกไม่มี ลองไปเข้าเน็ตดิ

        ปกติเราไม่ค่อยเล่นเน็ตการใช้อุปกรณ์ก้อไม่คล่องแต่เราก้อพิมพ์ค้นหาหลวงปู่ดู่ พอภาพท่านปรากฎเราตื่นเต้นมาก  ใช่ท่านเลย องค์เดียวกับที่ท่านมา

        แต่ที่เห็นในสมาธิท่านจะขาวและผ่องใสมีออร่า  หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเรามาก เราไม่เคยเห็นท่านมาก่อนไม่รู้จักท่านเลย แต่ภาพที่เราเห็นตรงหน้าคือองค์เดียวกับที่มา เรามีความรู้สึกขนลุก น้ำตาอยู่ๆไหล ความรู้สึกเราตอนนั้นคือมันเป็นกำลังใจ เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะใช่.   เรารู้สึกมั่นใจและมีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป. เพื่อพิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์และพยายามเดินให้ถึงเป้าหมายที่เราได้ตั้งใจไว้
       หนังสือที่หลวงปู่ท่านเมตตาแยกให้เราในสมาธิเราก้อมานั่งแยกไว้มี4เล่มจากทั้งหมด 87เล่มบางส่วนได้นำไปบริจาคที่ห้องสมุดประชาชนและมอบให้เพื่อนๆกัลยาณมิตรที่สนใจอยากได้
        แล้วเราก้อฟังธรรมของหลวงปู่เหรียญที่ชอบฟังเป็นพิเศษคือเรื่องเกิดมาทำไมและมรณานุสติ
        ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธเรื่องการปฏิบัติสมาธิภาวนาซึ่งเราฟังแล้วเข้าใจง่าย
        ศึกษาและปฏิบัติเรื่องการดูจิตของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งเรานำเอามาเป็นแนวทางของปฏิบัติทางจิตของเรา

         เราเริ่มต้นปฏิบัติกรรมฐานจากการไปเข้าคอร์สที่สำนักเวฬุวันขอนแก่นตอนอายุ 26ปี และปฏิบัติแนวทางนั้นมาตลอด จนปัจจุบันนี้อายุ 43ปี พบหลวงปู่ดู่ในสมาธิตอนอายุ 39ปี แล้วก้อปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงปู่ปรับใช้แนวทางการปฏิบัติที่เหมาะกับตนเอง
          ทุกวันนี้มีมรณานุสติและพุทธานุสติเป็นอารมณ์กรรมฐาน พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
          เราเชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง เพราะเราได้รู้ได้เห็นได้พิสูจน์แล้ว และยังเชื่อด้วยว่ามีอีกหลายๆท่านที่มีปสก.ทางจิต แต่ไม่ได้มาเล่าเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้

            สุดท้ายขอบคุณที่ท่านเข้ามาอ่านเรื่องของเราๆ ยืนยันว่า
      
              พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์
    ธรรมะของพระพุทธองค์สามารถพิสูจน์ได้

ขอบคุณอีกครั้งจากใจค่ะ  สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่