รบกวนอ่านและวิจารณ์หน่อยครับ อยากหัดเขียน

ภาพบ้านเรือนและถนนลูกรังคุ้นชินตากับอากาศครึ้มฝนส่งกลิ่นเขียวชื้นด้านนอกเมื่อครู่ ค่อยๆจางหายไป   กลิ่นยาที่ผสานเสียงดังเป็นจังหวะของเครื่องวัดความดัน และภาพสายระโยงระยางรอบตัว เคลื่อนมาทาบทับแทนที่ในโสตสัมผัส ผมรู้ดีว่าอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่กรีดลึกผ่านเส้นประสาทที่มือและเท้า ถูกบรรเทาเจือจางด้วยเสียงขานรับอย่างเสียมิได้ “เดี๋ยวคืนนี้ผมนอนเฝ้าพี่เค้าเองครับ” ผมหลับตาลง ซ่อนความรู้สึกลึกๆที่พร้อมเผยความจริงต่อสายตาเพื่อนร่วมงานที่มาเฝ้าดูอาการของผมอยู่เต็มห้อง

    “ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วง อุตส่าห์มานอนเฝ้า” ผมใส่สิ่งที่อยากให้เขารู้สึกออกไปกับคำขอบคุณ “พี่ไม่ต้องมโนเลยนะ จะให้น้องผู้หญิงมานอนเฝ้าได้ยังไงล่ะ” เขาปรามความรู้สึกผมไม่ให้ถลำไปมากกว่านี้ “ห้ามแล้วก็ไม่เชื่อ ดูทรงแล้วว่าขี่ไม่ได้ ยังจะดื้อ” เสียงแหบทุ้มเป็นเอกลักษณ์ของเขา ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อนที่ผมเจอเขาเป็นครั้งแรกเลย “เป็นห่วงพี่หรอ” ผมแกล้งแหย่ออกไป “โอ้ย นอนเหอะ ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็บอกละกัน” เขาดึงผ้าห่มคลุมหน้า ยกแขนขึ้นพาดข้างหูคล้ายเป็นกำแพงกั้นสายตาระหว่างเตียงคนไข้ของผมกับโซฟาสีเขียวอ่อนของเขา

    ความเงียบ เสียงเข็มนาฬิกา เสียงหึ่งของเครื่องปรับอากาศ เสียงลมหายใจของเขาเมื่อพลิกตัว เบา ดัง สลับกันไป สติสั่งให้ผมหลับตาเพื่อพักผ่อน แต่หัวใจสั่งให้ผมฝืนขยับตัว ผมเบิ่งตาในความมืดเพื่อเก็บภาพตรงหน้าไว้ในความทรงจำ “มีคนเคยบอกรึเปล่าว่าใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสีครีมแล้วหล่อมาก” ผมคิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไป ผมรวบรวมสติและแรงที่เหลือ ก้าวลงจากเตียงคนไข้อย่างยากลำบาก ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาที่นอนบนโซฟาค่อยๆแจ่มชัดเหมือนเลนส์ที่ถูกปรับโฟกัส ผมย่อตัวลง ยื่นหน้าเข้าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา ชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเราที่ผสานเป็นจังหวะเดียวกัน ผมตัดสินใจแนบใบหน้าลงบนท่อนแขนของเขา สูดกลิ่นกายที่กรุ่นกระจายโรยริน บางครั้งจินตนาการก็เหมือนมิตรแท้ที่เฝ้าปลอบโยนในยามที่โลกแห่งความเป็นจริงไม่เคยเข้าข้างเราเลย “พี่จะเอาอะไร ผมช่วย จะเข้าห้องน้ำรึเปล่า” เสียงแหบทุ้มที่คุ้นเคยปลุกผมจากภวังค์ เขาพยุงผมลุกจากเตียงเพื่อเข้าห้องน้ำ

       ผมจ้องมองตัวเอง ภาพชายที่สะท้อนผ่านกรอบกระจกมัวในห้องน้ำ บอกอายุของเงาในนั้นว่าน่าจะขึ้นเลขสี่แล้ว ผมใช้นิ้วมือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกแหวกช่อผมด้านข้างเพื่อพิจารณาดูเส้นผมสีขาวที่กระจายตัวอยู่เต็มข้างหู ไขมันบริเวณพุงที่เกยขอบอ่างล้างหน้าเป็นสัญญาณว่าผมควรแบ่งเวลางานไปวิ่งเหมือนที่เคยทำมา ผมศิโรราบยอมให้สังขารร่วงโรยลงไปตฝมากขนาดนี้เชียวหรือ วูบหนึ่งผมไม่มั่นใจที่จะออกไปเจอกับเขา เขาที่มีทุกอย่างตรงข้ามกับภาพสะท้อนในกระจกตรงหน้า “ขี้อยู่หรอพี่” ผมใช้มือจัดทรงผมยุ่งเหยิง ก่อนค่อยๆเปิดประตูออกไป

“ฟังเพลงอะไรอยู่” ผมทำลายความเงียบ “ฟังไปเรื่อยๆน่ะ ฟังได้หมด คุ้กกี้เสี่ยงทายก็ฟังนะ” เขาหัวเราะ ปลดหูฟังข้างหนึ่งวางพาดบนไหล่ “แล้วพี่ล่ะชอบฟังแนวไหน” ผมหยุดคิดเพียงเสี้ยววินาที “เคยฟังเพลง The way we were ของ Barbra Streisand ไหม” ผมฮัมเมโลดี้ท่อนเริ่มต้นให้เขาฟัง “ฟังเพลงเกย์มากพี่” เขายิ้ม ใช้สายตายั่วให้ผมตอบโต้ พยุงผมขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล “หรอ แล้วฟังไปเรื่อย คุ้กกี้ก็ฟังด้วย เป็นพวกไหน เบื่อนักพวกชอบแปะป้ายตีตราคนอื่น ผู้ชายห้ามฟังโอเปร่า ชอบดูละครเพลงก็ไม่แมน สีชมพูก็ใส่ไม่ได้” ผมรัวความคิดใส่เขาแทนกำแพงปกป้องความรู้สึกบางอย่างในใจ

สีเทาเกิดจากการผสมกันของคู่สีฝั่งตรงข้าม ผมชอบสีเทาเพราะไม่เข้มจนเป็นสีดำหรือจางจนเป็นสีขาว สีเทาคล้ายการแอบรักใครสักคนที่ทำให้รู้สึกเหมือนลอยอยู่กึ่งกลางระหว่างคู่ความรู้สึกตรงข้าม ระหว่างความหวังและการหลอกตัวเอง ชัดเจนกับคลุมเครือ หรือความเป็นจริงกับการคิดไปเองฝ่ายเดียว การดำรงอยู่ของเขาในคืนที่กำลังจะสิ้นแสงจันทร์นี้คือแสงของความหวังสีขาวสว่างสดใส หรือความริบหรี่สีดำมืดมิดเหมือนผืนฟ้าด้านนอก ผมไม่อยากให้แสงอาทิตย์แรกของวันเดินทางมาถึง

“เมื่อคืนไม่หลับเลย นางพยาบาลเข้าๆออกๆทั้งคืน” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ผมก็ฝันแปลกๆนะพี่ ฝันว่าผีอำ พี่เดินมานอนทับผมรึเปล่า ฮ่า ฮ่า”
“แล้วปวดเมื่อยตรงไหนรึเปล่าล่ะ นอนที่โซฟาแบบนั้น นวดให้ไหม มือใส่เฝือกอยู่ แต่ตีนพี่ยังใช้ได้” ผมกระแทกเสียงใส่ มนุษย์บางจำพวกมักปิดบังความรู้สึกชอบ ด้วยการแสดงออกทางร่างกายหรือคำพูดว่าไม่ชอบ “พอละๆ คุยกันดีๆสิพี่ ไม่เจอกันตั้งนาน พอเจอกันก็พูดแบบนี้ทุกที” ตลอดเวลาที่รู้จักกันเขาจะรู้ไหมว่าผมเป็นหนึ่งในมนุษย์จำพวกที่แสดงออกตรงข้ามกับความรู้สึกในหัวใจ

“พี่ว่าผมไปเปลี่ยนชื่อดีไหมอะ ชีวิตอาจจะดีขึ้น มีคนทักว่าถ้าชื่อมีแค่พยางค์เดียว การงาน เงินทอง ชีวิตคู่ รุ่งแน่” ผมสวนทันที   “แล้วคนที่ทักเปลี่ยนไปกี่รอบแล้ว รุ่งรึยัง จากศาสตรา เปลี่ยนเป็นอะไรดีนะ เลือกตัดหน้าหรือตัดหลังดีล่ะ ถ้า ศาสเฉยๆ เพื่อนคงเรียกทั้งวัน ไอ้ศาสๆๆ” เขาหัวเราะ “แล้วพี่ล่ะ งาน เงิน รุ่งแล้วผมรู้ เนื้อคู่ล่ะเมื่อไหร่จะมา เดี๋ยวไม่มีคนช่วยเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวตอนแก่นะ”

    “เดี๋ยวคนไข้เช็ดตัวนะคะ” เสียงนางพยาบาลคล้ายระฆังพักยก “เอ่อ ไม่เช็ดได้ไหมครับ” ผมถามเสียงอ่อย “ไม่ต้องอายค่ะ จะได้สบายตัว จะให้พวกพี่เช็ด หรือจะให้ญาติเช็ดให้ดีคะ” ผมเหลือบมองญาติที่นอนกลั้นหัวเราะอยู่ที่โซฟาตัวเดิม “เขินอะไรกันพี่ เมื่อกี้ยังบอกผมอยู่เลยว่ากลัวไม่มีคนดูแลเวลาอึหรือฉี่ นี่ไงพี่นางพยาบาลมาช่วยแล้ว” เขาส่งยิ้มและสายตาท้าทาย “อีญาติครับลงไปซื้อกาแฟให้กูหน่อยสิครับ อเมริกาโน่ร้อน” เขาลุกขึ้น หัวเราะเสียงดัง ปล่อยผมไว้กับนางพยาบาลท่าทางใจดีสองคน

รบกวนช่วยวิจารณ์ด้วยครับ เดี๋ยวจะเขียนต่อ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่