สำหรับผม BNK48 เป็นธุรกิจที่มีโมเดลที่น่าสนใจ และสร้างปรากฏการณ์ในประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยมีศิลปิน วงดนตรีไหนทำมาก่อน
เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยการเฟ้นหาผู้หญิงในวัยต่างๆ ซึ่งรุ่นที่ 1 มีตั้งแต่อายุสิบกว่าถึงยี่สิบต้นๆ และมีสมาชิกวงอยู่ด้วยกันประมาณ 20 กว่าคน เกือบ 30 คน
ทำไมวงดนตรีที่เมื่อแสดงสด เน้นเปิดเพลงแล้วโชว์ความสามารถในการเต้น ต้องมีสมาชิกมากขนาดนี้ วงอื่นที่มีความสามารถ ร้องได้ เต้นดีเช่นกัน ยังไม่ใช้จำนวนสมาชิกขนาดนี้ คำตอบคือ เพราะมันเป็นธุรกิจ และธุรกิจคือ asset ที่ใช้หารายได้ สร้างกำไรได้มหาศาลถ้าทำถูกจุด
และ BNK48 ก็ทำถูกจุด
การที่ในวงต้องมีสมาชิกที่มาจากหลายจังหวัด หน้าตาแตกต่างกัน มีสไตล์ที่ดูแตกต่าง รวมถึงอายุที่หลากหลาย ก็เพราะต้องการที่จะดึงดูดลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ในมุมมองของผู้เขียนการที่มีสินค้าให้เลือก 20 กว่าแบบ แม้จะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน ย่อมดึงดูดลูกค้าให้ซื้อ หรือใช้บริการได้กว้างขึ้น และมากขึ้น เปรียบเสมือนกับตู้ไอศกรีมที่มีหลากหลายรสชาติ เป็นสินค้าชนิดไอศกรีมเหมือนกัน แต่หลายแบบ หลายรสชาติ ย่อมเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นตามความชอบที่แตกต่างของผู้บริโภค
ลองคิดว่าหากไม่ใช่ BNK48 แต่เป็น BNK4 ที่มีสมาชิกเพียงแค่สี่คน จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลจากงานอีเว้นท์จับมือ และการขายสินค้า รวมถึงของที่ระลึกที่ใช้การสุ่มมาเพิ่มจำนวนการซื้อของผู้บริโภคหรือไม่
ของที่ระลึกดังกล่าวนั้นจากที่ทราบมาคือที่รองแก้วที่ทำจากกระดาษ ซึ่งการได้มาในตอนเปิดตัวนั้น ผู้บริโภคหรือแฟนคลับ ต้องใช้บริการร้าน BNK48 Cafe ด้วยการสั่งเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านเป็นราคา 200 บาท และหากสั่งเมนูอื่นที่ไม่อยู่ในหมวดนี้ต้องเสียเงินทั้งสิ้น 250 บาท ของสะสมที่พูดถึงนั้นจะมีการสกรีนรูปสมาชิกแต่ละคนของวง และมีแบบพิเศษที่เป็นลิมิเต็ดอิดีชั่นอีกด้วย ทีนี้ลองคิดดูว่าหากคนคนนึงชอบหลายคนในวง หรือแม้แต่ชอบแค่คนเดียวในวง ก็ต้องซื้อและใช้บริการร้านคาเฟ่ซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งที่รองแก้วลายที่ปรารถนาเพราะของที่ระลึกดังกล่าวถูกมอบให้แบบสุ่ม และยิ่งมีลิมิเต็ดอิดีชั่น ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้แฟนคลับต้องใช้บริการซ้ำเพื่อให้ได้ครอบครองของสะสมชนิดนี้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือของสะสมชิ้นนี้ทำเป็นยางก็ได้ หรือเป็นแผ่นพลาสติกรองแก้วสกรีนลายลิขสิทธิ์ BNK48 แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ คงเพราะกระดาษต้นทุนถูกกว่า เพื่อกำไรที่มากกว่า
นอกจากนี้ก็ยังมีคัพเค้กที่เป็นสินค้าที่จำหน่ายในคาเฟ่ ซึ่งเป็นคัพเค้กหน้าตาธรรมดา ที่มีแผ่นน้ำตาลสกรีนรูปสมาชิก BNK48 วางอยู่ข้างบน
อีกตามเคยที่เทคนิคที่ใช้สร้างเม็ดเงินมหาศาลนี้ถูกนำมาใช้ สินค้าชนิดนี้ลูกค้าไม่สามารถเลือกแผ่นน้ำตาลดังกล่าวได้ ทางร้านจะสุ่มคัพเค้กที่มีแผ่นน้ำตาลให้ลูกค้า ซึ่งหากลูกค้าอยากได้แผ่นน้ำตาลลายสมาชิกในดวงใจ ก็คงต้องซื้อสินค้าเดิมซ้ำ เค้กดังกล่าวนี้จำหน่ายในราคา 100 บาท
ในความเห็นสวนตัวมองว่ามีการใช้แบรนด์ BNK48 เป็น Frame หรือกรอบในการนำสินค้าหรือของที่ระลึกที่มีต้นทุนต่ำเป็นดังรูปในกรอบ ทำให้สินค้าหรือบริการมีมูลค่าสูงขึ้น
และสิ่งที่น่าสนใจต่อมาคืออีเว้นท์งานจับมือ งานจับมือนี้ที่ได้สืบค้นข้อมูลมาทราบว่าเป็นงานที่แฟนคลับสามารถนำบัตรที่เปิดขายก่อนวันงานมาใช้เป็นทางผ่านในการจับมือกับสมาชิกในดวงใจ ซึ่งบัตรมีราคาประมาณ 500-600 บาท ไม่นับบัตรผีที่คนซื้อเก็งกำไรขายต่อ หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้น บัตรนี้จะให้สิทธิ์ผู้ถือบัตรเป็นเวลา 8 วินาทีในการจับมือและพูดคุยกับสมาชิกที่ตนเองชอบ หากชอบหลายคนต้องซื้อหลายใบ หากอยากจับมากกว่า 8 วินาที พูดคุยให้นานกว่านั้น ก็ลงเอยที่การซื้อบัตรเพิ่มมากขึ้นอยู่ดี
ความเห็นส่วนตัวคิดว่าธุรกิจโมเดลนี้เน้นความถี่และปริมาณในการที่สินค้าและบริการถูกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นบัตรจับมือ สินค้าในคาเฟ่ และการได้มาซึ่งของที่ระลึก ด้วยการที่มีสมาชิกในวงหลายคน ทำให้ของที่ระลึกบางอย่าง รวมถึงสินค้าบางอย่างสามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลด้วยการจำหน่ายแบบลุ้นสุ่ม และออกคอลเลคชั่นใหม่บ่อยๆ หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพต้องใช้กรณีของที่ระลึกดังเช่นที่รองแก้ว หากแฟนคลับหนึ่งคนต้องการที่รองแก้วเป็นลายสมาชิกหมายเลข 1 ของวง แฟนคลับคนนั้นต้องซื้อเมนูซิกเนเจอร์กี่ครั้ง หรือต้องใช้บริการคาเฟ่ 250 บาทกี่รอบบิล
ไม่สามารถตอบได้
ไม่สามารถรู้ได้ว่าในคลังของที่ระลึกดังกล่างนั้น มีที่รองแก้วลายสมาชิกหนึ่งคนที่ซ้ำกันกี่ใบ และในวันที่ใช้บริการจะมีลายที่บุคคลนั้นปรารถนาสต็อคอยู่หรือไม่
เทคนิคเน้นปริมาณและความถี่ในการขายสินค้าและบริการก็ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดกับอีเว้นท์งานจับมือ ดังที่กล่าว หากแฟนคลับต้องการจะจับมือให้บ่อยขึ้นก็ต้องซื้อบัตรมากขึ้น เพราะบัตร 1 ใบจับได้หนึ่งคนภายในเวลา 8 วินาที หากอยากจับหลายคน ก็ต้องซื้อเพิ่มขึ้นอีก และงานจับมือนี้ก็ถูกจัดขึ้นบ่อย ซึ่งเน้นความถี่และปริมาณอย่างชัดเจน
ที่น่าเป็นห่วงในบางแง่มุม ก็คือตัวศิลปิน สมาชิกของวงบางคนที่อาจยังไม่มีวุฒิภาวะมากนัก อาจจะต้องตกเป็นเหยื่อของสังคม โดยการที่อาจจะกระทำสิ่งใดที่สังคมเห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิต หรือสถานะทางสังคมที่เปลี่ยนไป ด้วยการถูกสป็อตไลท์ส่องลงมาให้เป็นบุคคลสาธารณะที่มีแน้วโน้มถูกสังคมตำหนิ ติเตียน และถูกแทะโลมได้ง่าย และสมาชิกบางคนก็ยังอายุน้อย
สุดท้ายนี้ธุรกิจนี้ก็จะขยายต่อไป ทั้งสินค้า บริการ และจำนวนสมาชิกภายใต้แบรนด์ BNK
อันนี้คือความเห็นส่วนตัว อาจจะมองในมุมมองของการวิเคราะห์ธุรกิจมากกว่าผู้ชม ผู้บริโภคนะครับ
แล้วคุณคิดว่า BNK48 มี business model ที่ยอดเยี่ยมมั้ย ลองแชร์ความเห็นกันครับ
คุณว่า BNK48 มีโมเดลธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมั้ย
เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยการเฟ้นหาผู้หญิงในวัยต่างๆ ซึ่งรุ่นที่ 1 มีตั้งแต่อายุสิบกว่าถึงยี่สิบต้นๆ และมีสมาชิกวงอยู่ด้วยกันประมาณ 20 กว่าคน เกือบ 30 คน
ทำไมวงดนตรีที่เมื่อแสดงสด เน้นเปิดเพลงแล้วโชว์ความสามารถในการเต้น ต้องมีสมาชิกมากขนาดนี้ วงอื่นที่มีความสามารถ ร้องได้ เต้นดีเช่นกัน ยังไม่ใช้จำนวนสมาชิกขนาดนี้ คำตอบคือ เพราะมันเป็นธุรกิจ และธุรกิจคือ asset ที่ใช้หารายได้ สร้างกำไรได้มหาศาลถ้าทำถูกจุด
และ BNK48 ก็ทำถูกจุด
การที่ในวงต้องมีสมาชิกที่มาจากหลายจังหวัด หน้าตาแตกต่างกัน มีสไตล์ที่ดูแตกต่าง รวมถึงอายุที่หลากหลาย ก็เพราะต้องการที่จะดึงดูดลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ในมุมมองของผู้เขียนการที่มีสินค้าให้เลือก 20 กว่าแบบ แม้จะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน ย่อมดึงดูดลูกค้าให้ซื้อ หรือใช้บริการได้กว้างขึ้น และมากขึ้น เปรียบเสมือนกับตู้ไอศกรีมที่มีหลากหลายรสชาติ เป็นสินค้าชนิดไอศกรีมเหมือนกัน แต่หลายแบบ หลายรสชาติ ย่อมเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นตามความชอบที่แตกต่างของผู้บริโภค
ลองคิดว่าหากไม่ใช่ BNK48 แต่เป็น BNK4 ที่มีสมาชิกเพียงแค่สี่คน จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลจากงานอีเว้นท์จับมือ และการขายสินค้า รวมถึงของที่ระลึกที่ใช้การสุ่มมาเพิ่มจำนวนการซื้อของผู้บริโภคหรือไม่
ของที่ระลึกดังกล่าวนั้นจากที่ทราบมาคือที่รองแก้วที่ทำจากกระดาษ ซึ่งการได้มาในตอนเปิดตัวนั้น ผู้บริโภคหรือแฟนคลับ ต้องใช้บริการร้าน BNK48 Cafe ด้วยการสั่งเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านเป็นราคา 200 บาท และหากสั่งเมนูอื่นที่ไม่อยู่ในหมวดนี้ต้องเสียเงินทั้งสิ้น 250 บาท ของสะสมที่พูดถึงนั้นจะมีการสกรีนรูปสมาชิกแต่ละคนของวง และมีแบบพิเศษที่เป็นลิมิเต็ดอิดีชั่นอีกด้วย ทีนี้ลองคิดดูว่าหากคนคนนึงชอบหลายคนในวง หรือแม้แต่ชอบแค่คนเดียวในวง ก็ต้องซื้อและใช้บริการร้านคาเฟ่ซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งที่รองแก้วลายที่ปรารถนาเพราะของที่ระลึกดังกล่าวถูกมอบให้แบบสุ่ม และยิ่งมีลิมิเต็ดอิดีชั่น ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้แฟนคลับต้องใช้บริการซ้ำเพื่อให้ได้ครอบครองของสะสมชนิดนี้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือของสะสมชิ้นนี้ทำเป็นยางก็ได้ หรือเป็นแผ่นพลาสติกรองแก้วสกรีนลายลิขสิทธิ์ BNK48 แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ คงเพราะกระดาษต้นทุนถูกกว่า เพื่อกำไรที่มากกว่า
นอกจากนี้ก็ยังมีคัพเค้กที่เป็นสินค้าที่จำหน่ายในคาเฟ่ ซึ่งเป็นคัพเค้กหน้าตาธรรมดา ที่มีแผ่นน้ำตาลสกรีนรูปสมาชิก BNK48 วางอยู่ข้างบน
อีกตามเคยที่เทคนิคที่ใช้สร้างเม็ดเงินมหาศาลนี้ถูกนำมาใช้ สินค้าชนิดนี้ลูกค้าไม่สามารถเลือกแผ่นน้ำตาลดังกล่าวได้ ทางร้านจะสุ่มคัพเค้กที่มีแผ่นน้ำตาลให้ลูกค้า ซึ่งหากลูกค้าอยากได้แผ่นน้ำตาลลายสมาชิกในดวงใจ ก็คงต้องซื้อสินค้าเดิมซ้ำ เค้กดังกล่าวนี้จำหน่ายในราคา 100 บาท
ในความเห็นสวนตัวมองว่ามีการใช้แบรนด์ BNK48 เป็น Frame หรือกรอบในการนำสินค้าหรือของที่ระลึกที่มีต้นทุนต่ำเป็นดังรูปในกรอบ ทำให้สินค้าหรือบริการมีมูลค่าสูงขึ้น
และสิ่งที่น่าสนใจต่อมาคืออีเว้นท์งานจับมือ งานจับมือนี้ที่ได้สืบค้นข้อมูลมาทราบว่าเป็นงานที่แฟนคลับสามารถนำบัตรที่เปิดขายก่อนวันงานมาใช้เป็นทางผ่านในการจับมือกับสมาชิกในดวงใจ ซึ่งบัตรมีราคาประมาณ 500-600 บาท ไม่นับบัตรผีที่คนซื้อเก็งกำไรขายต่อ หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้น บัตรนี้จะให้สิทธิ์ผู้ถือบัตรเป็นเวลา 8 วินาทีในการจับมือและพูดคุยกับสมาชิกที่ตนเองชอบ หากชอบหลายคนต้องซื้อหลายใบ หากอยากจับมากกว่า 8 วินาที พูดคุยให้นานกว่านั้น ก็ลงเอยที่การซื้อบัตรเพิ่มมากขึ้นอยู่ดี
ความเห็นส่วนตัวคิดว่าธุรกิจโมเดลนี้เน้นความถี่และปริมาณในการที่สินค้าและบริการถูกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นบัตรจับมือ สินค้าในคาเฟ่ และการได้มาซึ่งของที่ระลึก ด้วยการที่มีสมาชิกในวงหลายคน ทำให้ของที่ระลึกบางอย่าง รวมถึงสินค้าบางอย่างสามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลด้วยการจำหน่ายแบบลุ้นสุ่ม และออกคอลเลคชั่นใหม่บ่อยๆ หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพต้องใช้กรณีของที่ระลึกดังเช่นที่รองแก้ว หากแฟนคลับหนึ่งคนต้องการที่รองแก้วเป็นลายสมาชิกหมายเลข 1 ของวง แฟนคลับคนนั้นต้องซื้อเมนูซิกเนเจอร์กี่ครั้ง หรือต้องใช้บริการคาเฟ่ 250 บาทกี่รอบบิล
ไม่สามารถตอบได้
ไม่สามารถรู้ได้ว่าในคลังของที่ระลึกดังกล่างนั้น มีที่รองแก้วลายสมาชิกหนึ่งคนที่ซ้ำกันกี่ใบ และในวันที่ใช้บริการจะมีลายที่บุคคลนั้นปรารถนาสต็อคอยู่หรือไม่
เทคนิคเน้นปริมาณและความถี่ในการขายสินค้าและบริการก็ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดกับอีเว้นท์งานจับมือ ดังที่กล่าว หากแฟนคลับต้องการจะจับมือให้บ่อยขึ้นก็ต้องซื้อบัตรมากขึ้น เพราะบัตร 1 ใบจับได้หนึ่งคนภายในเวลา 8 วินาที หากอยากจับหลายคน ก็ต้องซื้อเพิ่มขึ้นอีก และงานจับมือนี้ก็ถูกจัดขึ้นบ่อย ซึ่งเน้นความถี่และปริมาณอย่างชัดเจน
ที่น่าเป็นห่วงในบางแง่มุม ก็คือตัวศิลปิน สมาชิกของวงบางคนที่อาจยังไม่มีวุฒิภาวะมากนัก อาจจะต้องตกเป็นเหยื่อของสังคม โดยการที่อาจจะกระทำสิ่งใดที่สังคมเห็นว่าไม่เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิต หรือสถานะทางสังคมที่เปลี่ยนไป ด้วยการถูกสป็อตไลท์ส่องลงมาให้เป็นบุคคลสาธารณะที่มีแน้วโน้มถูกสังคมตำหนิ ติเตียน และถูกแทะโลมได้ง่าย และสมาชิกบางคนก็ยังอายุน้อย
สุดท้ายนี้ธุรกิจนี้ก็จะขยายต่อไป ทั้งสินค้า บริการ และจำนวนสมาชิกภายใต้แบรนด์ BNK
อันนี้คือความเห็นส่วนตัว อาจจะมองในมุมมองของการวิเคราะห์ธุรกิจมากกว่าผู้ชม ผู้บริโภคนะครับ
แล้วคุณคิดว่า BNK48 มี business model ที่ยอดเยี่ยมมั้ย ลองแชร์ความเห็นกันครับ