คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 21
คำถามที่ดี ดีกว่าคำตอบที่ดี
ขออนุญาต
แสดงความเห็นครับ
เขมกสูตร
๑๗/๒๒๕-๒๓๐
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระเขมกะ:
ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลย
ในอุปทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ว่าเป็นอัตตา หรือ อัตตนิยะ
(สิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา)
พระเถระทั้งหลาย:
ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลย
ในอุปทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ว่าเป็น
อัตตา หรือเป็นอัตตนิยะ (ก็จริง)
แต่ผมก็มิได้เป็นพระอรหันต์,
อนึ่ง ผมยังมีความรู้สึกถือติด
ในอุปทานขันธ์ ๕ ว่าเรามีอยู่
ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า
เราเป็นนี่
พระเถระ ท:
ที่ท่านกล่าวว่า เรามี นั้น
ท่านว่าอะไรเป็น เรามี;
ท่านว่ารูปเป็น เรามี หรือว่า
เรามีนอกเหนือจากรูป; ท่านว่า
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
เป็น เรามี
หรือว่าเรามี นอกเหนือจาก
เวทนา..สัญญา.สังขาร.วิญญาณ;
ที่ท่านกล่าวว่า
เรามี นั้น ท่านว่าอะไรเป็น เรามี?
พระเขมกะ:
ผมมิได้ว่ารูปเป็น เรามี และ
ก็มิได้ว่าเรามี นอกเหนือจากรูป;
ผมมิได้ว่า
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
เป็น เรามี และ
ก็มิได้ว่า เรามี นอกเหนือจาก
เวทนา..สัญญา.สังขาร.วิญญาณ;
แต่กระนั้น ผมก็ยังมีความรู้สึก
ถือติดอยู่ในอุปทานขันธ์ ๕ ว่า
เรามีอยู่ ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อย
ไปว่า เราเป็นนี้
เปรียบเหมือนดังกลิ่นอุบล ปทุม
หรือบุณฑริก ผู้ใดกล่าวว่า
กลิ่นของกลีบ หรือว่ากลิ่นของสี
หรือว่ากลิ่นของเกสร,
เขากล่าวอย่างนี้
จะชื่อว่าพูดถูกต้องไหม?
พระเถระ ท: ไม่ถูกเลย ท่าน
พระเขมกะ: จะตอบให้ถูก จะว่า
อย่างไรล่ะ ท่าน?
พระเถระ ท: จะตอบให้ถูก
ก็ต้องว่า กลิ่นของดอก สิท่าน
พระเขมกะ: ฉันนั้นเหมือนกันแล
ท่านทั้งหลาย ผมมิได้กล่าวว่ารูป
เป็น เรามี และก็มิได้ว่าเรามีอยู่
นอกเหนือจากรูป, มิได้ว่า
เวทนา ฯลฯ วิญญาณ เป็น เรามี
และก็มิได้ว่า เรามี นอกเหนือจาก
เวทนา ฯลฯ วิญญาณ, แต่กระนั้น
ผมก็ยังมีความรู้สึกถือติดอยู่ใน
อุปทานขันธ์ ๕ ว่า เรามีอยู่ ทั้งที่
ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า เราเป็น
อันนี้
ท่านทั้งหลาย สังโยชน์เบื้อง
ต่ำทั้ง ๕ เป็นสิ่งที่อริยสาวกละได้
แล้วก็จริง แต่กระนั้น
มานะว่า เรามี ฉันทะว่า เรามี
อนุสัยว่า เรามี
ที่ตามคลออยู่ (คืออย่างละเอียด)
ในอุปทานขันธ์ ๕ อริยสาวกนั้นก็
ยังละไม่ได้
สมัยต่อมา อริยสาวกนั้น
พิจารณาเห็นอยู่เนืองๆ ซึ่งความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปใน
อุปทานขันธ์ทั้ง ๕ ว่า
รูปดังนี้
สมุทัยแห่งรูปดังนี้
อัสดงแห่งรูปดังนี้
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
ดังนี้
สมุทัยแห่งเวทนา..วิญญาณดังนี้
อัสดงแห่งเวทนา..วิญญาณดังนี้
เมื่ออริยสาวกนั้น
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อมสิ้นไปในอุปทานขันธ์
ทั้ง ๕ เหล่านี้อยู่เสมอๆ, มานะว่า
เรามี ฉันทะว่า เรามี อนุสัยว่าเรามี
ที่ตามคลออยู่ในอุปทานขันธ์
ทั้ง ๕ ซึ่งท่านยังถอนไม่ได้นั้น
ก็จะถึงซึ่งความขาดถอนไปสิ้น
เปรียบดังผ้าที่สกปรก มีรอย
เปื้อนจับติด เจ้าของนำไปมอบให้
แก่ช่างซักฟอก ช่างซักฟอกขยำ
ขยี้ผ้านั้น ในน้ำด่างขี้เถ้า ในน้ำ
ด่างเกลือ หรือในโคมัย แล้วซัก
ล้างในน้ำสะอาด, แม้ว่าผ้านั้นจะ
สะอาดขาวผ่องแล้วก็จริง
แต่กระนั้น กลิ่นน้ำด่าง หรือกลิ่น
โคมัย ที่แทรกติดอยู่ ก็หาหมดสิ้น
ไปไม่; ช่างซักมอบผ้านั้นคืนให้
แก่เจ้าของ เขาเอาเก็บใส่ไว้ในตู้
อบกลิ่น (ครานั้น) กลิ่นด่าง หรือ
กลิ่นโคมัยใดๆ ที่แทรกติดอยู่ ซึ่ง
ยังไม่หมดไป ก็จะหายไปได้โดยเด็ดขาด ฉันใด
(ความที่แสดงมาข้างต้นนี้)
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ขอบคุณครับ,
ขออนุญาต
แสดงความเห็นครับ
เขมกสูตร
๑๗/๒๒๕-๒๓๐
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระเขมกะ:
ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลย
ในอุปทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ว่าเป็นอัตตา หรือ อัตตนิยะ
(สิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา)
พระเถระทั้งหลาย:
ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลย
ในอุปทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ว่าเป็น
อัตตา หรือเป็นอัตตนิยะ (ก็จริง)
แต่ผมก็มิได้เป็นพระอรหันต์,
อนึ่ง ผมยังมีความรู้สึกถือติด
ในอุปทานขันธ์ ๕ ว่าเรามีอยู่
ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า
เราเป็นนี่
พระเถระ ท:
ที่ท่านกล่าวว่า เรามี นั้น
ท่านว่าอะไรเป็น เรามี;
ท่านว่ารูปเป็น เรามี หรือว่า
เรามีนอกเหนือจากรูป; ท่านว่า
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
เป็น เรามี
หรือว่าเรามี นอกเหนือจาก
เวทนา..สัญญา.สังขาร.วิญญาณ;
ที่ท่านกล่าวว่า
เรามี นั้น ท่านว่าอะไรเป็น เรามี?
พระเขมกะ:
ผมมิได้ว่ารูปเป็น เรามี และ
ก็มิได้ว่าเรามี นอกเหนือจากรูป;
ผมมิได้ว่า
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
เป็น เรามี และ
ก็มิได้ว่า เรามี นอกเหนือจาก
เวทนา..สัญญา.สังขาร.วิญญาณ;
แต่กระนั้น ผมก็ยังมีความรู้สึก
ถือติดอยู่ในอุปทานขันธ์ ๕ ว่า
เรามีอยู่ ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อย
ไปว่า เราเป็นนี้
เปรียบเหมือนดังกลิ่นอุบล ปทุม
หรือบุณฑริก ผู้ใดกล่าวว่า
กลิ่นของกลีบ หรือว่ากลิ่นของสี
หรือว่ากลิ่นของเกสร,
เขากล่าวอย่างนี้
จะชื่อว่าพูดถูกต้องไหม?
พระเถระ ท: ไม่ถูกเลย ท่าน
พระเขมกะ: จะตอบให้ถูก จะว่า
อย่างไรล่ะ ท่าน?
พระเถระ ท: จะตอบให้ถูก
ก็ต้องว่า กลิ่นของดอก สิท่าน
พระเขมกะ: ฉันนั้นเหมือนกันแล
ท่านทั้งหลาย ผมมิได้กล่าวว่ารูป
เป็น เรามี และก็มิได้ว่าเรามีอยู่
นอกเหนือจากรูป, มิได้ว่า
เวทนา ฯลฯ วิญญาณ เป็น เรามี
และก็มิได้ว่า เรามี นอกเหนือจาก
เวทนา ฯลฯ วิญญาณ, แต่กระนั้น
ผมก็ยังมีความรู้สึกถือติดอยู่ใน
อุปทานขันธ์ ๕ ว่า เรามีอยู่ ทั้งที่
ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า เราเป็น
อันนี้
ท่านทั้งหลาย สังโยชน์เบื้อง
ต่ำทั้ง ๕ เป็นสิ่งที่อริยสาวกละได้
แล้วก็จริง แต่กระนั้น
มานะว่า เรามี ฉันทะว่า เรามี
อนุสัยว่า เรามี
ที่ตามคลออยู่ (คืออย่างละเอียด)
ในอุปทานขันธ์ ๕ อริยสาวกนั้นก็
ยังละไม่ได้
สมัยต่อมา อริยสาวกนั้น
พิจารณาเห็นอยู่เนืองๆ ซึ่งความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปใน
อุปทานขันธ์ทั้ง ๕ ว่า
รูปดังนี้
สมุทัยแห่งรูปดังนี้
อัสดงแห่งรูปดังนี้
เวทนา..สัญญา.สังขาร..วิญญาณ
ดังนี้
สมุทัยแห่งเวทนา..วิญญาณดังนี้
อัสดงแห่งเวทนา..วิญญาณดังนี้
เมื่ออริยสาวกนั้น
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อมสิ้นไปในอุปทานขันธ์
ทั้ง ๕ เหล่านี้อยู่เสมอๆ, มานะว่า
เรามี ฉันทะว่า เรามี อนุสัยว่าเรามี
ที่ตามคลออยู่ในอุปทานขันธ์
ทั้ง ๕ ซึ่งท่านยังถอนไม่ได้นั้น
ก็จะถึงซึ่งความขาดถอนไปสิ้น
เปรียบดังผ้าที่สกปรก มีรอย
เปื้อนจับติด เจ้าของนำไปมอบให้
แก่ช่างซักฟอก ช่างซักฟอกขยำ
ขยี้ผ้านั้น ในน้ำด่างขี้เถ้า ในน้ำ
ด่างเกลือ หรือในโคมัย แล้วซัก
ล้างในน้ำสะอาด, แม้ว่าผ้านั้นจะ
สะอาดขาวผ่องแล้วก็จริง
แต่กระนั้น กลิ่นน้ำด่าง หรือกลิ่น
โคมัย ที่แทรกติดอยู่ ก็หาหมดสิ้น
ไปไม่; ช่างซักมอบผ้านั้นคืนให้
แก่เจ้าของ เขาเอาเก็บใส่ไว้ในตู้
อบกลิ่น (ครานั้น) กลิ่นด่าง หรือ
กลิ่นโคมัยใดๆ ที่แทรกติดอยู่ ซึ่ง
ยังไม่หมดไป ก็จะหายไปได้โดยเด็ดขาด ฉันใด
(ความที่แสดงมาข้างต้นนี้)
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ขอบคุณครับ,
แสดงความคิดเห็น
อัตตา และ อนัตตา อยู่ที่ไหน ครับ