เรื่องสั้นวันพุธ (4 ก.ค. 61) : นางฟ้าที่ไม่กลัวฝน

เรื่องสั้นวันพุธ : นางฟ้าที่ไม่กลัวฝน
โดย  ลิอ่อง

    “เตย พวกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเพชรมีแต่คนอยากเป็นนางฟ้ากัน เตยอยากเป็นมั้ย ?”

    “นางฟ้าเหรอ ?”

    “อือ”

    “อยากสิ เป็นนางฟ้าได้แต่งตัวสวย มีพรวิเศษด้วย”

    “เพชรไม่เป็นหรอก” คนที่ตั้งคำถามรีบพูดแทรกขึ้นมา

    “ทำไมล่ะ ?”

    “นางฟ้าต้องอยู่บนฟ้า แล้วถ้าฝนตกจะทำไง ?”

    อีกฝ่ายหันมามองหน้าแล้วตอบดังๆ

    “ก็ใส่หมวกกันน็อกซี่”

    ...........................

    เตยอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงข้อความที่ตัวเองเคยโต้ตอบกับเพชรในวันที่พวกเธอยังสวมชุดนักเรียนอนุบาล ทั้งคู่นั่งเคียงกันบนขอนไม้ใต้ร่มมะขามใหญ่ข้างบ้านของเตยซึ่งไม่ไกลจากบ้านของเพชร และบางทีก็มีน้องนุ่งของแต่ละคนมาป้วนเปี้ยน เล่นซุกซนอยู่บริเวณนั้นด้วย น้องชายคนเดียวของเตย กับน้องชายและน้องสาวของเพชร นั่นคือการพูดคุยกันเมื่อสิบกว่าปีก่อนซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักระหว่างเธอกับเพชร ทั้งที่พ่อของเพชรและพ่อของเตยมีแม่คนเดียวกันคือ ย่าน้อม

    พ่อของเพชรคือลุงชาญ ลูกชายคนที่สี่ของย่ากับปู่คนแรกที่ตายจากไปนานแล้ว ลุงชาญเป็นคนที่พูดจาโผงผาง แววตาเป็นประกายกล้า สีหน้าท่าทางจริงจัง ลุงชาญเคยไปทำงานเมืองนอก และรับเหมาก่อสร้าง กับเป็นนายหน้าขายที่ดิน และช่วยงานพวกกำนันกับผู้ใหญ่บ้าน

    ส่วนพ่อของเตย ลูกชายคนที่หกของย่าน้อมกับปู่สินของเตย คือผู้ชายที่ไม่ค่อยมีคำพูดให้ใครนอกจากยามเมา พ่อขายแรงงานในไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ขายฝีมือการทำสุ่มไก่ และในยามว่าง ถ้าไม่ใช่ไก่ ความสนใจของพ่อก็อยู่ที่การตกแต่งบ้านหลังน้อยๆ ที่ปลูกอยู่ข้างๆ บ้านของย่าด้วยฝีมือและแรงของพ่อเอง แต่...ที่เตยเห็นตลอดมาตั้งแต่เล็กจนใหญ่ก็คือ พ่อมักเมาเหล้า ทั้งที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล

    เวลาพ่อเมาเหล้า ทุกคนในบ้าน ทั้งย่าทั้งปู่ พี่น้องทุกคน รวมทั้งแม่ของเตยพากันเอือมระอายิ่งนัก เพราะไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า สิ่งที่พ่อรับปากไว้ก่อนหน้าที่จะเมานั้นจะยังคงเป็นเช่นที่รับคำไว้หรือไม่ เพราะไม่มีใครรู้ว่า พ่อจะหยุดกินเหล้าเพื่อทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้สำเร็จต่อไปได้เมื่อใด

         ครั้งหนึ่งลุงชาญโมโหพ่อของเตยสุดขีดในวันที่พ่อกินเหล้าต่อเนื่องมาถึงวันที่สองและวันที่สาม ตอนนั้นพ่อลงไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดินในสภาพเมามาย สวมกางเกงตัวเดียว มิไยที่ใครจะพูดจาหว่านล้อมอย่างไร พ่อก็ยังนอนเหยียดยาวอยู่อย่างนั้นพร้อมกับพร่ำพูดอะไรต่อมิอะไรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจุดนั้นไม่ได้ห่างจากบ้านของเตย และถัดไปอีกเล็กน้อยก็คือบ้านลุงชาญ

         วันนั้น พ่อจึงถูกลุงชาญและลุงชิด น้องชายถัดกัน ช่วยกันหามร่าง แล้วก็โยนลงไปโดยแรงในกระถางปลูกบัวขนาดยักษ์ที่ลุงชิดสั่งซื้อมาเก็บไว้แล้วใส่น้ำเอาไว้จนปริ่มขอบ ทำให้พ่อต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาพร้อมกับคำด่าทอลุงทั้งสองด้วยเสียงอันดัง และนั่นก็ยิ่งเป็นสาเหตุของการที่เตยและเพชรไม่สุงสิงกันเหมือนแต่ก่อน

          และทั้งๆ ที่ไม่เคยมีผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาห้ามปราม แต่เด็กๆ ทุกคนก็เลือกที่จะเล่นอยู่แต่ในบ้านของตัวทั้งที่ระยะห่างระหว่างบ้านทั้งสองหลังเพียงแค่ระยะเดินไม่ถึงสามสิบก้าว เตยเคยมองไปสบตาของเพชรที่แลมาทางบ้านของเตยโดยบังเอิญหลายหน  แต่พอสบตากัน เพชรก็มักจะละสายตาไปทางอื่นเสียทุกคราวไป เตยจึงจำไม่ได้แล้วว่าคุยกับเพชรครั้งสุดท้ายเมื่อไร  
    
          เตยไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพ่อจึงต้องกินเหล้า เพราะเห็นพ่อเป็นแบบนี้บ่อยๆ มาตั้งแต่เตยรู้ความ และสิ่งที่เตยต้องประสบในเวลาต่อมาหลังจากพ่อเมาเหล้าหลายต่อหลายหนก็คือ แม่ของเตยต้องอารมณ์เสียมากที่สุด และถ้าโกรธมากเข้า แม่จะเสียงดังและใช้กำลังทุบตีพ่ออย่างไม่เกรงกลัว บางครั้งข้าวของในบ้านก็เสียหายไปด้วย ซึ่งพ่อก็ไม่เคยโต้ตอบแม่เลย เมื่อเตยโตขึ้นเรื่อยๆ จึงคิดเอาเองว่า สาเหตุหลักที่พ่อกินเหล้าน่าจะมาจากความเสียใจของพ่อที่จำต้องปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของลุงชาญ ซึ่งพี่น้องทุกคนต่างก็รู้ว่าเมียของเขาไม่ได้เต็มใจเลย
    
           พ่อเป็นน้องชายท้ายแถว และเป็นคนที่ไม่เคยมีหลักทรัพย์ใดๆ แม้ว่าย่าที่เพิ่งตายจากไปสามปีจะเหลือบ้านหลังเล็กไว้ให้พ่อ แต่มันก็ยังเป็นสมบัติของลุงชาญอยู่ดี เพราะมันอยู่ในที่ดินของเขา เหตุผลนี้เองที่พ่อไม่เคยย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ กระทั่งมีพี่สาวของพ่อคนหนึ่งมาอยู่แทน และกลายเป็นความขมขื่นมากเข้าเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเมียลุงชาญเริ่มพูดจาและแสดงท่าทีแปลกๆ ใส่เธออีกคน จนเมื่อลุงชาญได้เป็นนายก อบต. ทุกคนจึงได้เห็นร่วมกันว่า เมียลุงชาญยิ่งแสดงความรังเกียจพ่อของเตยและพี่สาวของพ่ออย่างออกนอกหน้า เป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนถึงวันที่ลุงชาญกลายเป็นอดีตนายกฯ เพราะแพ้เลือกตั้งในการลงสมัครหนที่สอง แต่พ่อกับแม่ของเตยก็ยังต้องทนกับสภาพนี้ต่อไป เพราะยังไม่มีเงินมากพอที่จะหาที่ดินผืนใหม่และปลูกบ้านหลังใหม่
    
             ตั้งแต่จำความได้ โลกของเตยจึงมีเพียงบ้านหลังเล็กๆ อันเป็นสถานที่เกิดและเติบโตขึ้นมากับน้องชาย บ้านที่สร้างด้วยปีกไม้และเศษไม้ที่พ่อได้รับมาจากการไปรับจ้างเป็นคนงานเลื่อยไม้ให้จ่าวาด ตำรวจที่โรงพักในอำเภอ ความกว้างยาวของบ้านเตยเมื่อคำนวณเนื้อที่ออกมาแล้วก็น่าจะมีขนาดเท่าๆ กับห้องครัวของเพชร ข้อนี้เป็นความจริงที่พ่อและแม่ของเตยยอมรับโดยดีเหมือนเป็นสิทธิอันชอบธรรมตั้งแต่แรกสร้างครอบครัว และไม่มีทางเลือกอื่น อันส่งผลให้เส้นทางชีวิตของเตยกับน้องจึงแทบไม่มีทางเลือกใดๆ เช่นกัน

         เตยกับน้องเรียนที่โรงเรียนประถมในเขตเทศบาล ห่างจากบ้านเพียงสองสามกิโลเมตรและขี่จักรยานไปด้วยตัวเองได้ เพราะที่หน้าโรงเรียนมีตำรวจมาคอยดูแลเด็กๆ เวลาข้ามถนน ส่วนเพชรกับน้องๆ นั่งรถตู้รับส่งไปโรงเรียนเอกชนที่อยู่ห่างออกไปอีกสามกิโลเมตร ใส่ชุดนักเรียนที่มีสีและรูปทรงต่างออกไปจากของเตยชัดเจน และ...ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรสำหรับเตยและเพชรก็แทบจะแตกต่างกันไปเสียทุกสิ่งอัน    

          ตลอดมาที่เตยแลดูเพชรกับน้องๆ ด้วยแววตาทึ่งปะปนไปกับความเศร้าสร้อยรวมทั้งความริษยาในเบื้องลึก โดยเฉพาะเพชรที่อยู่ในวัยเดียวกับเธอ เพชรเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ วงหน้าน้อยกระจุ๋มกระจิ๋มแบบตุ๊กตา ผิวก็ขาว เธอมักมีเสื้อผ้าสวยๆ สวมใส่ และมันก็ช่างเข้ากันดีกับเด็กหญิงที่แสนร่าเริง ช่างพูดอย่างเธอ ไม่เหมือนเตยที่มีผิวคล้ำแบบแม่ รูปหน้าแบนๆ ตาโตแต่หางตาตกและแววตาแฝงรอยหม่นหมองเป็นนิจ อิริยาบถของเตยก็ตรงข้ามกับเพชร เพราะเตยเป็นเด็กช่างคิด พูดน้อย เคลื่อนไหวช้า ขณะที่เพชรนั้นแคล่วคล่อง ปราดเปรียวอยู่เสมอ
    
               สิ่งเดียวที่เตยพยายามทำให้ตนเองอยู่เทียบเคียงกับเพชรก็คือ การเรียน เตยเป็นเด็กรักเรียนและตั้งใจเรียนมาก ทำคะแนนได้ดีเสมอมาจวบจนถึงชั้นมัธยมปลาย วันหนึ่งเตยจึงได้มีรอยยิ้มพร้อมกับความภาคภูมิใจอย่างยิ่งเมื่อเธอได้รับการคัดเลือกจากคณะครูที่โรงเรียนให้ได้รับทุนการศึกษาพิเศษในโครงการหลวงที่จะช่วยครอบครัวประหยัดเงินค่าเล่าเรียนตลอดระยะเวลาสี่ปีที่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และแน่นอน เตยสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดได้ ขณะที่เพชรเองก็สอบเข้าเรียนต่อในอีกสถาบันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

           ครั้งที่รู้ผลสอบเข้าสถาบันนี้ เตยบอกตัวเองว่าเธอไม่ควรจะน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอีกต่อไป ที่เคยมองเพชรด้วยสายตาและความรู้สึกเช่นวันวานก็ควรแปรเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเธอกำลังสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดขึ้นกับตัวเอง พ่อแม่ และน้องชาย แม้จะค่อยเป็นไปคราวละเล็กละน้อยก็ตาม แต่เป้าหมายข้างหน้าก็มีความหวังอันเรืองรองรอคอยอยู่    
    



            รถโดยสารเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง หลังจากส่งคนลงที่ป้ายหยุดรถริมทางหน้าทางเข้านิคมอุตสาหกรรมอันเป็นเครื่องหมายว่าเข้าเขตตัวจังหวัดแล้ว เตยมองถุงบนตักที่ตั้งใจหิ้วมาจากบ้านด้วยน้ำหนักไม่ต่ำกว่าสองกิโลกรัม ภายในนั้นคือลูกมะละกอรูปทรงยาวรีที่เริ่มสุกเห็นสีส้มอมเหลือง เตยรู้จักรสชาติของมันดีเท่าๆ กับที่รู้จักต้นมะละกอต้นนี้ เช่นเดียวกับหลานย่าคนอื่นๆ ที่มักแย่งกันเก็บมาผ่ากินเนื้อในด้วยความอิ่มเอม

           ตอนสายของวันนี้ที่เตยเดินหิ้วถุงมะละกอเพื่อออกมารอขึ้นรถที่ป้ายจอดรถเมล์หน้าตลาด เด็กสาวแทบจะลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามีสิ่งนี้อยู่ในมือของเธอ ทั้งที่น้ำหนักของมันไม่ใช่น้อยๆ เพราะหูยังก้องไปด้วยถ้อยคำของแม่ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่เธอจะออกจากบ้านมา

           “เตย แม่อยากคุยอะไรด้วยสักหน่อย มานี่แน่ะ” แม่เรียกเธอในช่วงที่อยู่ในบ้านกันสองคน “แม่เห็นว่าเราโตแล้ว เริ่มรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร เลยอยากพูดเสียแต่วันนี้”


(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่