วิตามินซี หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อ กรดแอสคอบิก (Ascorbic acid หรือ L-Ascorbic acid หรือเรียกกันง่ายๆว่า Ascorbate) มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี เป็นวิตามินที่พบได้ตามธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ หน้าที่ของวิตามินซีที่ร่างกายมนุษย์นำไปใช้เช่น
ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) และ แอลคาร์นิทีน (L-carnitine, สารที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างปกติ)
เป็นส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ชนิดต่างๆ
เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการสมานบาดแผล
เป็นส่วนร่วมของกระบวนการเปลี่ยนแปลงโปรตีนเพื่อการใช้งานในร่างกาย
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายรวมถึงมีส่วนร่วมในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นเช่น วิตามินอี หรือ Tocopherol อีกด้วย
หากร่างกายขาดวิตามินซีจะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะของเลือดออกตามไรฟัน (โรคลักปิดลักเปิด/โรคขาดวิตามินซี) อ่อนเพลีย และทำให้หลอดเลือดฝอยขาดความยืดหยุ่นไม่แข็งแรงหลอดเลือดฯจึงแตกได้ง่าย
วิตามินซีสามารถดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็วและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ โดยปกติผู้ชายควรได้รับวิตามินซี 90 มิลลิกรัม/วัน ในขณะที่ผู้หญิงต้องการ 75 มิลลิกรัม/วัน แต่สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตรควรได้รับวิตามินซีสูงถึงประมาณ 120 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งอาจมีความแตกต่างทางมาตรฐานการบริโภคของแต่ละประเทศที่ต่างกันเล็กน้อย
ยังมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดวิตามินซีเช่น
ผู้ที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ดมควันบุหรี่ (Passive smoker/สูบบุหรี่มือสอง) เป็นประจำ
เด็กทารกที่ต้องดื่มนมผงดัดแปลงชนิดที่ต้องผสมกับน้ำร้อนก่อนซึ่งน้ำร้อนเป็นตัวทำลายวิตามินซีได้อย่างรวดเร็ว
ผู้บริโภคอาหารซ้ำๆขาดความหลากหลายของสารอาหารก็จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะขาดวิตามินซีได้
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมสารอาหารต่างๆก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินต่างๆรวมถึงวิตามินซีลดน้อยลง
อนึ่งยังมีคุณประโยชน์ของวิตามินซีที่ถูกนำมาประยุกต์ในการรักษาอาการโรคต่างๆอาทิ
มีการใช้วิตามินซีร่วมกับผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งพบว่าช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ลดภาวะหลอดเลือดอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
ลดภาวะเป็นต้อกระจก
การใช้กับผู้ป่วยด้วยโรคหวัดก็พบรายงานว่าการฟื้นตัวของร่างกายดีขึ้น
อย่างไรก็ตามยังพบข้อมูลเปรียบเทียบของการใช้วิตามินซีมากเกินไป อาจส่งผลให้มีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ เป็นตะคริวที่ท้อง การบริโภควิตามินซีมากเกินความจำเป็นยังส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณเกลือออกซาเลต (Oxalate) และกรดยูริค (Uric acid) อันเป็นสาเหตุของนิ่วในไตได้อีกด้วย หรือการอมวิตามินซีชนิดเม็ดสำหรับรับประทานเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ควรกระทำด้วยวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรดสามารถทำให้เคลือบฟันและฟันสึกกร่อนได้
ยาวิตามินซีถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย การเลือกใช้วิตามินซีได้อย่างเหมาะสมปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถสอบถามข้อมูลการใช้วิตามินซีได้จากแพทย์หรือเภสัชกรตามร้านขายยาโดยทั่วไป
วิตามินซีมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
วิตามินซี
ยาวิตามินซีมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เช่น
บำบัดอาการขาดวิตามินซีของร่างกาย
รักษาโรคลักปิดลักเปิด/เลือดออกตามไรฟัน
ช่วยเพิ่มสภาวะเป็นกรดให้กับน้ำปัสสาวะในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบบางสาเหตุ
วิตามินซีมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของยาวิตามินซีคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ต่อร่างกายโดยช่วยในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) รวมถึงช่วยสนับสนุนการสร้างองค์ประกอบต่างๆของเซลล์ในร่างกาย
วิตามินซีมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาวิตามินซีมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเช่น
ยาฉีด ขนาด 500 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร
ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 50, 100 และ 500 มิลลิกรัม/เม็ด
เป็นส่วนประกอบกับวิตามินชนิดอื่นในลักษณะยาเม็ด ยาแคปซูล ชนิดรับประทาน
วิตามินซีมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
วิตามินซีมีขนาดการบริหารยา/ใช้ยาได้หลากหลายขึ้นกับอาการโรคและความรุนแรง ในบทความนี้ขอยกตัวอย่างดังนี้เช่น
ก. สำหรับอาการขาดวิตามินซี:
ผู้ใหญ่: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนัง ขนาด 50 - 200 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนัง ขนาด 35 - 100 มิลลิกรัม/วัน
ข. สำหรับรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน/โรคลักปิดลักเปิด:
ผู้ใหญ่: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนังขนาด 100 - 250 มิลลิกรัมวันละ 1 - 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ
เด็ก: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนังขนาด 100 - 300 มิลลิกรัม หรือตามคำสั่งแพทย์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ
*อนึ่ง: วิตามินซีชนิดรับประทานสามารถรับประทานก่อนหรือพร้อมอาหารก็ได้
*****หมายเหตุ:
ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาวิตามินซี ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรดังนี้
ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาหรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาวิตามินซีอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้นหรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆ และ/หรือกับอาหารเสริมที่กินอยู่ก่อน
หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาวิตามินซีสามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษาควรรับประทานยาวิตามินซีให้ตรงเวลา
วิตามินซีมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
สำหรับวิตามินซีสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ดังนี้ เช่น มีอาการท้องเสีย วิงเวียน เป็นลม หน้าแดง ปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะ คริวที่ท้อง การอมวิตามินซีชนิดรับประทานสามารถทำลายเคลือบฟันได้ บางกรณีกับผู้ที่ได้รับวิตามินซีเป็นปริมาณมากจะทำให้มีอาการปวดหลังช่วงล่าง
มีข้อควรระวังการใช้วิตามินซีอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้วิตามินซีเช่น
ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก โดยไม่ได้มีคำสั่งจากแพทย์
ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
การใช้วิตามินซีชนิดฉีดควรต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์ ผู้บริโภคไม่ควรซื้อหาและนำมาฉีดด้วยตนเอง
ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
ห้ามใช้ยาหมดอายุ
ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง:
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมวิตามินซีด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด ) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
วิตามินซีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาวิตามินซีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นเช่น
การใช้วิตามินซีร่วมกับยา Dextroamphetamine อาจทำให้ฤทธิ์ในการรักษาของ Dextro amphetamine ด้อยประสิทธิภาพลงไป กรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
การใช้วิตามินซีร่วมกับยา Deferoxamine (ยาขับธาตุเหล็ก) อาจก่อให้เกิดปัญหากับหัวใจและมีภาวะต้อกระจก กรณีที่ต้องใช้ยาร่วมกันควรเว้นระยะเวลาหลังการใช้ Deferoxamine ไปแล้วประมาณ 1 เดือน
การใช้วิตามินซีร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งเช่น Bortezomib อาจทำให้ประสิทธิภาพของ Bortezomib ด้อยลงไป หากไม่มีความจำเป็นใดๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
ควรเก็บรักษาวิตามินซีอย่างไร?
ควรเก็บยาวิตามินซีในช่วงอุณหภูมิห้องที่เย็น ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และไม่ เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
Vitamin C or Ascorbic acid
ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) และ แอลคาร์นิทีน (L-carnitine, สารที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างปกติ)
เป็นส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ชนิดต่างๆ
เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการสมานบาดแผล
เป็นส่วนร่วมของกระบวนการเปลี่ยนแปลงโปรตีนเพื่อการใช้งานในร่างกาย
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายรวมถึงมีส่วนร่วมในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นเช่น วิตามินอี หรือ Tocopherol อีกด้วย
หากร่างกายขาดวิตามินซีจะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะของเลือดออกตามไรฟัน (โรคลักปิดลักเปิด/โรคขาดวิตามินซี) อ่อนเพลีย และทำให้หลอดเลือดฝอยขาดความยืดหยุ่นไม่แข็งแรงหลอดเลือดฯจึงแตกได้ง่าย
วิตามินซีสามารถดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็วและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ โดยปกติผู้ชายควรได้รับวิตามินซี 90 มิลลิกรัม/วัน ในขณะที่ผู้หญิงต้องการ 75 มิลลิกรัม/วัน แต่สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตรควรได้รับวิตามินซีสูงถึงประมาณ 120 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งอาจมีความแตกต่างทางมาตรฐานการบริโภคของแต่ละประเทศที่ต่างกันเล็กน้อย
ยังมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดวิตามินซีเช่น
ผู้ที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ดมควันบุหรี่ (Passive smoker/สูบบุหรี่มือสอง) เป็นประจำ
เด็กทารกที่ต้องดื่มนมผงดัดแปลงชนิดที่ต้องผสมกับน้ำร้อนก่อนซึ่งน้ำร้อนเป็นตัวทำลายวิตามินซีได้อย่างรวดเร็ว
ผู้บริโภคอาหารซ้ำๆขาดความหลากหลายของสารอาหารก็จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะขาดวิตามินซีได้
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมสารอาหารต่างๆก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินต่างๆรวมถึงวิตามินซีลดน้อยลง
อนึ่งยังมีคุณประโยชน์ของวิตามินซีที่ถูกนำมาประยุกต์ในการรักษาอาการโรคต่างๆอาทิ
มีการใช้วิตามินซีร่วมกับผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งพบว่าช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ลดภาวะหลอดเลือดอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
ลดภาวะเป็นต้อกระจก
การใช้กับผู้ป่วยด้วยโรคหวัดก็พบรายงานว่าการฟื้นตัวของร่างกายดีขึ้น
อย่างไรก็ตามยังพบข้อมูลเปรียบเทียบของการใช้วิตามินซีมากเกินไป อาจส่งผลให้มีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ เป็นตะคริวที่ท้อง การบริโภควิตามินซีมากเกินความจำเป็นยังส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณเกลือออกซาเลต (Oxalate) และกรดยูริค (Uric acid) อันเป็นสาเหตุของนิ่วในไตได้อีกด้วย หรือการอมวิตามินซีชนิดเม็ดสำหรับรับประทานเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ควรกระทำด้วยวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรดสามารถทำให้เคลือบฟันและฟันสึกกร่อนได้
ยาวิตามินซีถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย การเลือกใช้วิตามินซีได้อย่างเหมาะสมปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถสอบถามข้อมูลการใช้วิตามินซีได้จากแพทย์หรือเภสัชกรตามร้านขายยาโดยทั่วไป
วิตามินซีมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
วิตามินซี
ยาวิตามินซีมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เช่น
บำบัดอาการขาดวิตามินซีของร่างกาย
รักษาโรคลักปิดลักเปิด/เลือดออกตามไรฟัน
ช่วยเพิ่มสภาวะเป็นกรดให้กับน้ำปัสสาวะในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบบางสาเหตุ
วิตามินซีมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของยาวิตามินซีคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ต่อร่างกายโดยช่วยในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) รวมถึงช่วยสนับสนุนการสร้างองค์ประกอบต่างๆของเซลล์ในร่างกาย
วิตามินซีมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาวิตามินซีมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเช่น
ยาฉีด ขนาด 500 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร
ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 50, 100 และ 500 มิลลิกรัม/เม็ด
เป็นส่วนประกอบกับวิตามินชนิดอื่นในลักษณะยาเม็ด ยาแคปซูล ชนิดรับประทาน
วิตามินซีมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
วิตามินซีมีขนาดการบริหารยา/ใช้ยาได้หลากหลายขึ้นกับอาการโรคและความรุนแรง ในบทความนี้ขอยกตัวอย่างดังนี้เช่น
ก. สำหรับอาการขาดวิตามินซี:
ผู้ใหญ่: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนัง ขนาด 50 - 200 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนัง ขนาด 35 - 100 มิลลิกรัม/วัน
ข. สำหรับรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน/โรคลักปิดลักเปิด:
ผู้ใหญ่: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนังขนาด 100 - 250 มิลลิกรัมวันละ 1 - 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ
เด็ก: รับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าผิวหนังขนาด 100 - 300 มิลลิกรัม หรือตามคำสั่งแพทย์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ
*อนึ่ง: วิตามินซีชนิดรับประทานสามารถรับประทานก่อนหรือพร้อมอาหารก็ได้
*****หมายเหตุ:
ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาวิตามินซี ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรดังนี้
ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาหรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาวิตามินซีอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้นหรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆ และ/หรือกับอาหารเสริมที่กินอยู่ก่อน
หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาวิตามินซีสามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษาควรรับประทานยาวิตามินซีให้ตรงเวลา
วิตามินซีมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
สำหรับวิตามินซีสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ดังนี้ เช่น มีอาการท้องเสีย วิงเวียน เป็นลม หน้าแดง ปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะ คริวที่ท้อง การอมวิตามินซีชนิดรับประทานสามารถทำลายเคลือบฟันได้ บางกรณีกับผู้ที่ได้รับวิตามินซีเป็นปริมาณมากจะทำให้มีอาการปวดหลังช่วงล่าง
มีข้อควรระวังการใช้วิตามินซีอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้วิตามินซีเช่น
ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก โดยไม่ได้มีคำสั่งจากแพทย์
ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
การใช้วิตามินซีชนิดฉีดควรต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์ ผู้บริโภคไม่ควรซื้อหาและนำมาฉีดด้วยตนเอง
ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
ห้ามใช้ยาหมดอายุ
ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง:
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมวิตามินซีด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด ) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
วิตามินซีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาวิตามินซีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นเช่น
การใช้วิตามินซีร่วมกับยา Dextroamphetamine อาจทำให้ฤทธิ์ในการรักษาของ Dextro amphetamine ด้อยประสิทธิภาพลงไป กรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
การใช้วิตามินซีร่วมกับยา Deferoxamine (ยาขับธาตุเหล็ก) อาจก่อให้เกิดปัญหากับหัวใจและมีภาวะต้อกระจก กรณีที่ต้องใช้ยาร่วมกันควรเว้นระยะเวลาหลังการใช้ Deferoxamine ไปแล้วประมาณ 1 เดือน
การใช้วิตามินซีร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งเช่น Bortezomib อาจทำให้ประสิทธิภาพของ Bortezomib ด้อยลงไป หากไม่มีความจำเป็นใดๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
ควรเก็บรักษาวิตามินซีอย่างไร?
ควรเก็บยาวิตามินซีในช่วงอุณหภูมิห้องที่เย็น ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และไม่ เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์