หมายเหตุ: ปัจจุบันผมอายุ 16 ย่าง 17 ปี เหตุการณ์ที่ผมหยิบยกมาเล่าคือตัวตนของผมตอนอายุ 15 ซึ่งก็ผ่านมาได้เกือบจะครึ่งปีละ ข้อความทั้งหมดนี้จึงเป็นเพียงความคิดเห็นของ”เด็กน้อย”คนหนึ่งเท่านั้น อาจจะไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเท่าใครเท่าคนอื่นเขา อาจจะมีทัศนคติที่ดูอ่อนแอไม่เจียนโลก อาจจะมองดูไร้สาระ หรือใช้คำพูดที่ฟังแล้วสะกิดติ่งหูใคร ผิดพลาดขัดใจประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
...ไหว้ย่อ 3 ครั้ง...
ลิ้งค์กระทู้เก่า รับชมเรื่องราวจุดเริ่มต้นเพิ่มอรรภรถ ก่อนดูหนังภาคต่อ:https://pantip.com/topic/37733632
เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บช้ำ ความสิ้นหวังและความอ้างว้าง ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบนั้นไปพักใหญ่....
ชีวิตผมถ้าให้เปรียบเทียบก็คงไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟเท่าไหร่นัก ในนั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาลมหาศาลจากธรณีเบื้องล่าง หากโดนกระตุ้นไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อยขนาดไหน โอกาสที่ความวิบัติ
ก็พร้อมประทุออกมาได้ทุกเมื่อ จะแตกต่างเพียงแค่สิ่งที่ออกมามันไม่ใช่หินที่ร้อนแรงแผดเผาหรือ กลุ่มหมอกฝุ่นที่ควันพวยพุ่ง ที่พร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบคาบ
มันก็เป็นแค่
“หยาดน้ำตาของไอ่ขี้แพ้อ่อนแอ ที่ทำลายอะไรไม่ได้นอกจากตัวมันเอง”
คืนอันแสนเลวร้าย
สิ่งที่ผมเกลียดรองลงมาจาก “คณิตศาสตร์”และ”วันรวมญาติ” คือการที่ผม”กลายเป็นคนผิด” ถึงแม้ผมกำลังอยู่ในช่วงมรสุมชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่าหูฟังโทรศัพท์ แต่ผมก็ไม่อยากจะเอาปัญหาของผมไปทำให้คนอื่นมีปัญหา ดังนั้นในมุมมองของคนอื่นผมจะเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พร้อมพยุงช่วยเหลือทุกคน “ทั้งๆที่พยุงตัวเองยังแทบจะไม่ไหว” ภาพจำเกี่ยวกับผมจึงเปรียบเสมือนพ่อพระ หรืออีกนัยนึงก็คือบ๋อยรับใช้ ที่ใครสั่งอะไรก็ทำ เป็นคนยอมคนง่าย ไม่ขัดอะไร นอกซะจากว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้องหรืออยู่เกินในระดับที่ผมได้
ณ ที่โรงเรียน วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการเรียนชั้น ม.4 ผมได้ทำผิดพลาดอย่างหนึ่งไป อาจจะไม่ใหญ่มาก แถมยังเป็นสาเหตุให้คนอื่นเสียใจ แม้ว่าผมจะขอโทษขอโพยแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธอะไรผมแล้ว แต่ความผิดก็คือความผิด ผมเคยผ่านความล้มเหลวมามาก พบกับความผิดหวังมากกว่าครั้งนี้หลายเท่า ถ้าเทียบกันแล้วมันเป็นเหมือนแค่ละอองไฟเล็กๆที่แค่ทำให้ร้อนยังไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นั่นเป็นเสมือนประกายไฟ ที่จุดความรู้สึกให้กองหญ้าแห้งลามลุกมอดไหม้จนหมดสิ้น
หลังจากนั้นผมกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้าง เหล่าความคิดทั้งหลายมันประดังเข้ามาอย่างกับห่าฝนที่ไม่ทีท่าจะหยุดตก มันซัดและกัดกินผมทีละน้อยทีละน้อย ผมใช้เวลาอยู่กับอยู่นานพอตัว ตั้งแต่เรื่องความคาดหวังจากคนรอบข้าง ตั้งแต่ความรู้สึกผิดที่ผมทำต่อพ่อแม่ ตั้งแต่เรื่องที่พ่อแม่พูดทำร้ายจิตใจผม ตั้งแต่เรื่องจุดพลิกผันในชีวิต จนเลยเถิดถึงขั้นหาเหตุผลต่างๆเพื่อดึงตัวเองลงก้นเหว ในใจผมรู้สึกโกรธเกลียดและโทษตัวเอง ผมควรจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ผม ผมควรเล่าและปลดปล่อยความรู้สึกตัวเอง ผมควรจะเปิดใจถึงปัญหาที่ผมมีอยู่
แต่ผม “ไม่กล้า” ผมกลัวซะมากกว่า ผมจินตภาพถึงพ่อแม่ของผมท่านตวาดขับไล่ส่งผม หรือท่านอาจจะแค่ไม่สนใจและปล่อยผ่านเหมือนมันไม่มีอะไร หนักสุกอาจจะถึงขั้นมีปากมีเสียงทะเลาะกันเลยก็ได้ ความคิดฟุ้งซ่านอันไร้เหตุผลพวกนี้มันมีมากเหลือเกิน เกินซะกว่าที่ผมจะควบคุมตัวเองได้ แค่ก้าวขาออกไปเพียงแค่เปล่งเสียงเล็กน้อย อะไรๆมันก็อาจจะดีขึ้น หรือไม่ทุกอย่างก็แย่ลง...
อนิจจาผมเลือกเก็บมันไว้ น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาแต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ผมพยายามกลั้นมันสุดชีวิตเพื่อให้พวกเขาได้ยิน ผมแค่ไม่อยากให้เขามองผมแย่ไปมากกว่านี้ ผมแค่ไม่อยากกลายเป็นคนขี้แพ้ในสายตาของผู้ชนะ จำได้ว่ามันนานเอามากๆตั้งแต่หยดแรกถึงหยุดสุดท้ายมันกินเวลาตั้งแต่ช่วงเย็นถึงเกือบ 4 ทุ่ม มันเป็นภาพที่น่าสังเวชใจสุดๆ ใบหน้าตัวเองในกระจกมันดูสภาพยับเยินมาก คราบน้ำตา คราบน้ำมูก อาบแก้มหน้าไปทุกที่ ดวงตาที่แดงก่ำจากน้ำตาที่ไหลออก เผ้าผมกระเซิงรุงรัง มองจากตัวผมในตอนนี้ มันน่า “สมเพชมาก”
ในอาณาเขตห้องสี่เหลี่ยมสีเทา ณ มุมห้องจะดูปลอดภัยที่สุด ตอนนั้นผมเปราะบางมาก มากแบบมากที่สุด ในหัวคิดวนอยู่กับอดีต แต่พอนึกถึงอนาคตที่จวนจะได้พบ ผมเจอแต่ความว่างเปล่า มันดูเหมือนความเดียวดายดูไร้ทิศและหลงทาง ผมคิดแค่ว่า
อยากตาย อยากหายไปซะ ความทรมาณทั้งหมดมันควรหมดและจบลงในคืนนี้
คืนแห่งความสุข
แต่ด้วยความโชคดีหรืออะไรสักอย่างนึง ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะทำอะไรสิ้นคิด ผมเปิดดูอินเตอร์เน็ตและบังเอิญเจอคลิปๆนึงนั้นก็คือ
https://www.youtube.com/watch?v=Lr9dnJDfEJc
ใจความของคลิปนี้จากบทสัมภาษณ์ของ “มิวสิคBNK48” มันไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับผมโดยตรงหรอก อาจจะโดนในเรื่องของความฝันบ้าง นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นอยู่ว่าเธอคนนั้นทำให้ผมลืมเรื่องทั้งหมดที่ผ่านตลอดเย็นไปหมดเลย เหมือนอยู่ๆมันก็หายไป แบบหายไปเลย เมื่อผมนั่งดูคลิปนี้จบ จุดโฟกัสตรงนั้นจากเรื่องความเศร้าความเจ็บปวด อยู่ย้ายมาที่มิวสิคคนเดียว เธอทำให้ผมมีความสุขได้อย่างน่าประหลาดใจ ผมจึงได้ศึกษาและทำความรู้จักเธอคนนี้ให้มากขึ้นเพื่อหาคำอธิบายกับความรู้สึกนี้ ศัพท์เทคนิคเรียกว่า “โดนตก”
ต้องยอมรับเลยว่าตอนช่วงแรกๆของ BNK48 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงกระแส “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” ผมไม่เคยสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“BNK48 ก็เป็นกลุ่มผู้หญิงใส่ชุดแบ๊วๆใสๆออกมาเต้นไปเต้นมา แล้วก็เต้นไม่พร้อมกันด้วยนะ คุณภาพเอ็มวีก็แย่ มีดีแค่เพลงที่ติดหู แล้วเปิดกันอยู่นั่นแหละทั่วบ้านทั่วเมือง กรอกหูกันเข้าไป ถ้าเพลงนี้เป็นน้ำคงจับกรอกลงคอไปแล้วเชื่อสิ ทำธุรกิจหาเงินจากความเพ้อฝันของพวกขี้แพ้ เห้อ... ไร้สาระ!! ”
เรียกได้ว่า “อคติมาเต็มสูบ” ไหนๆตอนนี้กูก็ขี้แพ้ loserสุดๆละ เสียเวลาสักหน่อยจะเป็นไรไป
ป.ล. อยากย้อนเวลาไปตบหัวตัวเอง

เลย น่าหมั่นไส้โคตรๆ
ตั้งแต่สี่ทุ่มที่ผมได้ทำความรู้จักกับเธอคนนั้น กว่าผมจะรู้จักถึงตัวตนและรูปแบบของ "ไอดอล“ จริงๆก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม (ผมไม่ค่อยซีเท่าไหร่ พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว ยาวไปยาวไป)
ช่วงชีวิตของมิวสิคในวง BNK มีอะไรที่เหมือนกับผมหลายอย่าง เธอเคยเป็นคนที่เคยเกือบอยู่จุดสูงสุดของวงในช่วงแรก ก่อนที่ความนิยมของคนอื่นจะค่อยๆแซงและนำหน้าเธอมาเรื่อยๆ เธอรู้สึกเศร้าและน้อยใจเรื่องงานและสถานภาพของตัวเองจนกลั้นน้ำตาไม่ไหวและร้องไห้ออกมาในไลฟ์สดของตัวเอง ในตอนที่ผมนั่งดูคลิปนั้นที่เธอปล่อยความรู้สึกตัวเองมา มันทำให้ผมเห็นภาพซ้อนของผมอยู่ในนั้น เรามีความรู้สึกแบบนั้น เราเคยเสียใจแบบนั้น เราเคยจะจบชีวิตลงด้วยความรู้สึกแบบนั้น มันเลยทำให้ผมอินหนักมาก ก็ตามดูอ่านเรื่อยๆจนถึงบทสัมภาษณ์นี้
https://music48global.com/2018/03/music-bnk48-dailynews/
“ณ ที่จุดสูงสุดไม่ได้หมายความว่าจะสุขที่สุด” คำพูดที่เรียบง่าย แต่กระแทกใจผมมาก มันตอบปัญหาทุกอย่างที่ผมกำลังประสบอยู่ได้หมดจด หลายคนอาจจะติดตามเธอด้วยความรู้สึกเสน่ห์หา หรือตามเพราะต้องการอยากได้เธอมาครอบครอง หรือมองเธอเป็นเหมือนลูกสาวที่กำลังโต แต่สำหรับผมด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกัน แถมสเป็คหน้าตา นิสัยของเธอก็น่ารักเอาซะทุกอย่างรอบตัวสดใสไปหมด ผมจึงมองเธฮเป็นเหมือนเพื่อนที่ได้เปิดอกคุยกัน ได้เข้าใจกัน และต่อสู้ไปด้วยกันทั้งๆที่เธอไม่ได้คุยหรือรู้จักผมจริงๆ5555 ผมชื่นชอบในทัศนคติของเธอและอยากเอาเธอเป็นแบบอย่าง เป็นไอดอลของผม เมื่อได้นอนนั่งคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดหัวผมก็ถึงหมอนตอนเกือบตี 4 และนอนหลับลงด้วยความรู้สึกที่ “สงบที่สุดในรอบปี”
ผมมักจะตื่นนอนในตอนเช้าด้วยความรู้สึกที่ว่า ทำไมไม่ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน
แต่วันนี้มันแตกต่าง ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้ที่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เช้าแห่งความหวัง และจุดเริ่มต้นของอนาคต
หลังจากลากสังขารตัวเองให้ลุกจากที่นอนได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือส่องกระจก มันคือภาพของตัวผมคนเดิมนั่นแหละ ทุกอย่างก็ยังเป็นผม หน้าตา รูปร่าง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ดวงตา” มันไม่เคยเปล่งประกายขนาดมานานมากแล้ว ในนั้นผมเห็นความมุ่งมั่นและความสุขที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผมพบแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหานี้
ว่าเสร็จผมก็ตรงดิ่งไปคุยกับพ่อ คนที่ผมทั้งรักและเกลียดที่สุด ทางที่ดีคือคุยกันตรงๆนี่แหละ ก็ได้แต่ผมหวังว่าเขาจะเข้าใจนะ.....
เราทั้งสองคุยกันอยู่นานมาก ผมคงจะตายสมใจแน่ ถ้าหากเขากอดผมนานกว่านี้อีกหน่อย กระดูกซี่โครงผมร้าวก็ไม่น่าแปลกใจนัก เขากอดผมไว้แน่น มันได้ผลกว่าคิด นี่เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นเขาคนนั้น ร้องไห้ออกมา ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ คำขอโทษมามากหลั่งออกมาจากพ่อของผม เขารู้สึกผิดและเสียใจจริงๆต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกของเขา เขาอาจจะละเลยหน้าที่ของพ่อที่ดีไปหรือเปล่า เขาคิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าผมไม่ได้เกิดเป็นลูกเขา เพราะเขาเป็นพ่อที่แย่ เอาแต่ใจ ขี้หุงุดหงิด คำพูดคำจาว่าร้าย แม้แต่ความรู้สึกของลูกแท้ๆก็ยังไม่สนใจเลย
“พ่อขอโทษ พ่อขอโทษ”.... คำพูดตัดพ้อมากมายส่งออกมาจากปากที่สั่นเครือ
“ลูกอภัยให้พ่อได้มั้ย” เขาถามออกมา
“ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เกิดมาเป็นลูกพ่อครับ ผมเชื่อว่าพ่อจะเป็นพ่อที่ดีได้ อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ผมเชื่อนะ ผมเชื่อ” เรียบร้อยน้ำตานองหน้า
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันยังไม่สาย เรามาเริ่มกันใหม่นะ”
ผมรักพ่อนะ
และจะรักตลอดไป..... ถึงแม้การสนทนาในครั้งนั้นจะเป็นเพียงภาพในความคิดก็ตาม
และผมก็ก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ผมรู้สึกยินดีและนึกย้อนขอบคุณเสมอถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น มันสอนอะไรผมได้หลายอย่าง มันพาผมผ่านจุดที่ล้มเหลวที่สุดในชีวิต สอนให้ผมเจอกับความรู้สึกสิ้นหวัง ความท้อแท้ ความเจ็บปวด มันหลอกให้ผมอยู่ในโลกความสุขที่ลวงตา เป็นเพียง “ความฝัน”ที่ลวงหลอกในอดีตที่ไม่มีทางกลับมา มันพาผมผ่านช่วงเวลาดีๆ การมาของเธอคนนั้นทำให้ผมตระหนักได้ถึง “ความจริง” ที่ผมอยู่ อะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ผมต้องการเป็นที่ 1 หรอ ผมต้องการเป็นที่เชิดหน้าชูตาของทุกคน หรือต้องการอะไรกันแน่ ท้ายที่สุดในห้วงเวลานั้นผมไม่ต้องการอะไรไปมากกว่า “คนที่เข้าใจ” ผม
เธอคนนั้นช่วยผมไว้ แรงผลักดันนั้นมันส่งพลังต่อผมมหาศาล มันเปลี่ยนความคิดผม มันทำให้ผมกับพ่อเข้าใจกัน และที่สำคัญมันทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ผมโหยหามานาน
ขอบคุณจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักผมหรอก เป็นแค่ผมคนเดียวที่ได้รู้จักคุณก็พอ เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว สู้สู้!
ก้าวข้ามผ่านด้วยสิ่งที่ผมเคยมองว่า “ไร้สาระ”
ลิ้งค์กระทู้เก่า รับชมเรื่องราวจุดเริ่มต้นเพิ่มอรรภรถ ก่อนดูหนังภาคต่อ:https://pantip.com/topic/37733632
เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บช้ำ ความสิ้นหวังและความอ้างว้าง ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบนั้นไปพักใหญ่....
ชีวิตผมถ้าให้เปรียบเทียบก็คงไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟเท่าไหร่นัก ในนั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาลมหาศาลจากธรณีเบื้องล่าง หากโดนกระตุ้นไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อยขนาดไหน โอกาสที่ความวิบัติ
มันก็เป็นแค่
คืนอันแสนเลวร้าย
สิ่งที่ผมเกลียดรองลงมาจาก “คณิตศาสตร์”และ”วันรวมญาติ” คือการที่ผม”กลายเป็นคนผิด” ถึงแม้ผมกำลังอยู่ในช่วงมรสุมชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่าหูฟังโทรศัพท์ แต่ผมก็ไม่อยากจะเอาปัญหาของผมไปทำให้คนอื่นมีปัญหา ดังนั้นในมุมมองของคนอื่นผมจะเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พร้อมพยุงช่วยเหลือทุกคน “ทั้งๆที่พยุงตัวเองยังแทบจะไม่ไหว” ภาพจำเกี่ยวกับผมจึงเปรียบเสมือนพ่อพระ หรืออีกนัยนึงก็คือบ๋อยรับใช้ ที่ใครสั่งอะไรก็ทำ เป็นคนยอมคนง่าย ไม่ขัดอะไร นอกซะจากว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้องหรืออยู่เกินในระดับที่ผมได้
ณ ที่โรงเรียน วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการเรียนชั้น ม.4 ผมได้ทำผิดพลาดอย่างหนึ่งไป อาจจะไม่ใหญ่มาก แถมยังเป็นสาเหตุให้คนอื่นเสียใจ แม้ว่าผมจะขอโทษขอโพยแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธอะไรผมแล้ว แต่ความผิดก็คือความผิด ผมเคยผ่านความล้มเหลวมามาก พบกับความผิดหวังมากกว่าครั้งนี้หลายเท่า ถ้าเทียบกันแล้วมันเป็นเหมือนแค่ละอองไฟเล็กๆที่แค่ทำให้ร้อนยังไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นั่นเป็นเสมือนประกายไฟ ที่จุดความรู้สึกให้กองหญ้าแห้งลามลุกมอดไหม้จนหมดสิ้น
หลังจากนั้นผมกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้าง เหล่าความคิดทั้งหลายมันประดังเข้ามาอย่างกับห่าฝนที่ไม่ทีท่าจะหยุดตก มันซัดและกัดกินผมทีละน้อยทีละน้อย ผมใช้เวลาอยู่กับอยู่นานพอตัว ตั้งแต่เรื่องความคาดหวังจากคนรอบข้าง ตั้งแต่ความรู้สึกผิดที่ผมทำต่อพ่อแม่ ตั้งแต่เรื่องที่พ่อแม่พูดทำร้ายจิตใจผม ตั้งแต่เรื่องจุดพลิกผันในชีวิต จนเลยเถิดถึงขั้นหาเหตุผลต่างๆเพื่อดึงตัวเองลงก้นเหว ในใจผมรู้สึกโกรธเกลียดและโทษตัวเอง ผมควรจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ผม ผมควรเล่าและปลดปล่อยความรู้สึกตัวเอง ผมควรจะเปิดใจถึงปัญหาที่ผมมีอยู่
แต่ผม “ไม่กล้า” ผมกลัวซะมากกว่า ผมจินตภาพถึงพ่อแม่ของผมท่านตวาดขับไล่ส่งผม หรือท่านอาจจะแค่ไม่สนใจและปล่อยผ่านเหมือนมันไม่มีอะไร หนักสุกอาจจะถึงขั้นมีปากมีเสียงทะเลาะกันเลยก็ได้ ความคิดฟุ้งซ่านอันไร้เหตุผลพวกนี้มันมีมากเหลือเกิน เกินซะกว่าที่ผมจะควบคุมตัวเองได้ แค่ก้าวขาออกไปเพียงแค่เปล่งเสียงเล็กน้อย อะไรๆมันก็อาจจะดีขึ้น หรือไม่ทุกอย่างก็แย่ลง...
อนิจจาผมเลือกเก็บมันไว้ น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาแต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ผมพยายามกลั้นมันสุดชีวิตเพื่อให้พวกเขาได้ยิน ผมแค่ไม่อยากให้เขามองผมแย่ไปมากกว่านี้ ผมแค่ไม่อยากกลายเป็นคนขี้แพ้ในสายตาของผู้ชนะ จำได้ว่ามันนานเอามากๆตั้งแต่หยดแรกถึงหยุดสุดท้ายมันกินเวลาตั้งแต่ช่วงเย็นถึงเกือบ 4 ทุ่ม มันเป็นภาพที่น่าสังเวชใจสุดๆ ใบหน้าตัวเองในกระจกมันดูสภาพยับเยินมาก คราบน้ำตา คราบน้ำมูก อาบแก้มหน้าไปทุกที่ ดวงตาที่แดงก่ำจากน้ำตาที่ไหลออก เผ้าผมกระเซิงรุงรัง มองจากตัวผมในตอนนี้ มันน่า “สมเพชมาก”
ในอาณาเขตห้องสี่เหลี่ยมสีเทา ณ มุมห้องจะดูปลอดภัยที่สุด ตอนนั้นผมเปราะบางมาก มากแบบมากที่สุด ในหัวคิดวนอยู่กับอดีต แต่พอนึกถึงอนาคตที่จวนจะได้พบ ผมเจอแต่ความว่างเปล่า มันดูเหมือนความเดียวดายดูไร้ทิศและหลงทาง ผมคิดแค่ว่า
คืนแห่งความสุข
แต่ด้วยความโชคดีหรืออะไรสักอย่างนึง ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะทำอะไรสิ้นคิด ผมเปิดดูอินเตอร์เน็ตและบังเอิญเจอคลิปๆนึงนั้นก็คือ
https://www.youtube.com/watch?v=Lr9dnJDfEJc
ใจความของคลิปนี้จากบทสัมภาษณ์ของ “มิวสิคBNK48” มันไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับผมโดยตรงหรอก อาจจะโดนในเรื่องของความฝันบ้าง นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นอยู่ว่าเธอคนนั้นทำให้ผมลืมเรื่องทั้งหมดที่ผ่านตลอดเย็นไปหมดเลย เหมือนอยู่ๆมันก็หายไป แบบหายไปเลย เมื่อผมนั่งดูคลิปนี้จบ จุดโฟกัสตรงนั้นจากเรื่องความเศร้าความเจ็บปวด อยู่ย้ายมาที่มิวสิคคนเดียว เธอทำให้ผมมีความสุขได้อย่างน่าประหลาดใจ ผมจึงได้ศึกษาและทำความรู้จักเธอคนนี้ให้มากขึ้นเพื่อหาคำอธิบายกับความรู้สึกนี้ ศัพท์เทคนิคเรียกว่า “โดนตก”
ต้องยอมรับเลยว่าตอนช่วงแรกๆของ BNK48 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงกระแส “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” ผมไม่เคยสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“BNK48 ก็เป็นกลุ่มผู้หญิงใส่ชุดแบ๊วๆใสๆออกมาเต้นไปเต้นมา แล้วก็เต้นไม่พร้อมกันด้วยนะ คุณภาพเอ็มวีก็แย่ มีดีแค่เพลงที่ติดหู แล้วเปิดกันอยู่นั่นแหละทั่วบ้านทั่วเมือง กรอกหูกันเข้าไป ถ้าเพลงนี้เป็นน้ำคงจับกรอกลงคอไปแล้วเชื่อสิ ทำธุรกิจหาเงินจากความเพ้อฝันของพวกขี้แพ้ เห้อ... ไร้สาระ!! ”
เรียกได้ว่า “อคติมาเต็มสูบ” ไหนๆตอนนี้กูก็ขี้แพ้ loserสุดๆละ เสียเวลาสักหน่อยจะเป็นไรไป
ป.ล. อยากย้อนเวลาไปตบหัวตัวเอง
ตั้งแต่สี่ทุ่มที่ผมได้ทำความรู้จักกับเธอคนนั้น กว่าผมจะรู้จักถึงตัวตนและรูปแบบของ "ไอดอล“ จริงๆก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม (ผมไม่ค่อยซีเท่าไหร่ พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว ยาวไปยาวไป)
ช่วงชีวิตของมิวสิคในวง BNK มีอะไรที่เหมือนกับผมหลายอย่าง เธอเคยเป็นคนที่เคยเกือบอยู่จุดสูงสุดของวงในช่วงแรก ก่อนที่ความนิยมของคนอื่นจะค่อยๆแซงและนำหน้าเธอมาเรื่อยๆ เธอรู้สึกเศร้าและน้อยใจเรื่องงานและสถานภาพของตัวเองจนกลั้นน้ำตาไม่ไหวและร้องไห้ออกมาในไลฟ์สดของตัวเอง ในตอนที่ผมนั่งดูคลิปนั้นที่เธอปล่อยความรู้สึกตัวเองมา มันทำให้ผมเห็นภาพซ้อนของผมอยู่ในนั้น เรามีความรู้สึกแบบนั้น เราเคยเสียใจแบบนั้น เราเคยจะจบชีวิตลงด้วยความรู้สึกแบบนั้น มันเลยทำให้ผมอินหนักมาก ก็ตามดูอ่านเรื่อยๆจนถึงบทสัมภาษณ์นี้
https://music48global.com/2018/03/music-bnk48-dailynews/
“ณ ที่จุดสูงสุดไม่ได้หมายความว่าจะสุขที่สุด” คำพูดที่เรียบง่าย แต่กระแทกใจผมมาก มันตอบปัญหาทุกอย่างที่ผมกำลังประสบอยู่ได้หมดจด หลายคนอาจจะติดตามเธอด้วยความรู้สึกเสน่ห์หา หรือตามเพราะต้องการอยากได้เธอมาครอบครอง หรือมองเธอเป็นเหมือนลูกสาวที่กำลังโต แต่สำหรับผมด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกัน แถมสเป็คหน้าตา นิสัยของเธอก็น่ารักเอาซะทุกอย่างรอบตัวสดใสไปหมด ผมจึงมองเธฮเป็นเหมือนเพื่อนที่ได้เปิดอกคุยกัน ได้เข้าใจกัน และต่อสู้ไปด้วยกันทั้งๆที่เธอไม่ได้คุยหรือรู้จักผมจริงๆ5555 ผมชื่นชอบในทัศนคติของเธอและอยากเอาเธอเป็นแบบอย่าง เป็นไอดอลของผม เมื่อได้นอนนั่งคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดหัวผมก็ถึงหมอนตอนเกือบตี 4 และนอนหลับลงด้วยความรู้สึกที่ “สงบที่สุดในรอบปี”
ผมมักจะตื่นนอนในตอนเช้าด้วยความรู้สึกที่ว่า ทำไมไม่ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน
แต่วันนี้มันแตกต่าง ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้ที่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เช้าแห่งความหวัง และจุดเริ่มต้นของอนาคต
หลังจากลากสังขารตัวเองให้ลุกจากที่นอนได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือส่องกระจก มันคือภาพของตัวผมคนเดิมนั่นแหละ ทุกอย่างก็ยังเป็นผม หน้าตา รูปร่าง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ดวงตา” มันไม่เคยเปล่งประกายขนาดมานานมากแล้ว ในนั้นผมเห็นความมุ่งมั่นและความสุขที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผมพบแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหานี้
ว่าเสร็จผมก็ตรงดิ่งไปคุยกับพ่อ คนที่ผมทั้งรักและเกลียดที่สุด ทางที่ดีคือคุยกันตรงๆนี่แหละ ก็ได้แต่ผมหวังว่าเขาจะเข้าใจนะ.....
เราทั้งสองคุยกันอยู่นานมาก ผมคงจะตายสมใจแน่ ถ้าหากเขากอดผมนานกว่านี้อีกหน่อย กระดูกซี่โครงผมร้าวก็ไม่น่าแปลกใจนัก เขากอดผมไว้แน่น มันได้ผลกว่าคิด นี่เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นเขาคนนั้น ร้องไห้ออกมา ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ คำขอโทษมามากหลั่งออกมาจากพ่อของผม เขารู้สึกผิดและเสียใจจริงๆต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกของเขา เขาอาจจะละเลยหน้าที่ของพ่อที่ดีไปหรือเปล่า เขาคิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าผมไม่ได้เกิดเป็นลูกเขา เพราะเขาเป็นพ่อที่แย่ เอาแต่ใจ ขี้หุงุดหงิด คำพูดคำจาว่าร้าย แม้แต่ความรู้สึกของลูกแท้ๆก็ยังไม่สนใจเลย
“พ่อขอโทษ พ่อขอโทษ”.... คำพูดตัดพ้อมากมายส่งออกมาจากปากที่สั่นเครือ
“ลูกอภัยให้พ่อได้มั้ย” เขาถามออกมา
“ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เกิดมาเป็นลูกพ่อครับ ผมเชื่อว่าพ่อจะเป็นพ่อที่ดีได้ อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ผมเชื่อนะ ผมเชื่อ” เรียบร้อยน้ำตานองหน้า
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันยังไม่สาย เรามาเริ่มกันใหม่นะ”
ผมรักพ่อนะ
และจะรักตลอดไป..... ถึงแม้การสนทนาในครั้งนั้นจะเป็นเพียงภาพในความคิดก็ตาม
และผมก็ก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ผมรู้สึกยินดีและนึกย้อนขอบคุณเสมอถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น มันสอนอะไรผมได้หลายอย่าง มันพาผมผ่านจุดที่ล้มเหลวที่สุดในชีวิต สอนให้ผมเจอกับความรู้สึกสิ้นหวัง ความท้อแท้ ความเจ็บปวด มันหลอกให้ผมอยู่ในโลกความสุขที่ลวงตา เป็นเพียง “ความฝัน”ที่ลวงหลอกในอดีตที่ไม่มีทางกลับมา มันพาผมผ่านช่วงเวลาดีๆ การมาของเธอคนนั้นทำให้ผมตระหนักได้ถึง “ความจริง” ที่ผมอยู่ อะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ผมต้องการเป็นที่ 1 หรอ ผมต้องการเป็นที่เชิดหน้าชูตาของทุกคน หรือต้องการอะไรกันแน่ ท้ายที่สุดในห้วงเวลานั้นผมไม่ต้องการอะไรไปมากกว่า “คนที่เข้าใจ” ผม
เธอคนนั้นช่วยผมไว้ แรงผลักดันนั้นมันส่งพลังต่อผมมหาศาล มันเปลี่ยนความคิดผม มันทำให้ผมกับพ่อเข้าใจกัน และที่สำคัญมันทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ผมโหยหามานาน
ขอบคุณจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักผมหรอก เป็นแค่ผมคนเดียวที่ได้รู้จักคุณก็พอ เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว สู้สู้!