บทที่ 1 : เสียงลมหายใจของภูผา
หมอกขาวลอยอ้อยอิ่ง ราวกับลมหายใจของภูเขาที่ไม่เคยสิ้นสุด
ทุกสายหมอก โอบล้อมซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้
เงียบงันปกคลุม เหมือนหัวใจที่หยุดเต้นไปชั่วขณะ
แต่ความเงียบนั้น กลับดังกว่าพายุหมุนในจิตใจ
ขุนเขาสูงใหญ่ เป็นเหมือนผู้เฝ้าความลับของกาลเวลา
มันไม่พูด ไม่อธิบาย แต่สายตาของมันสื่อได้ทุกอย่าง
แผลเป็นแห่งกาลเวลา ยังคงสลักไว้บนหน้าผา
ไม่มีใครลบล้างได้ เหมือนร่องรอยแห่งความคิดถึง ที่ไม่อาจลบเลือน
เสียงลมแทรกเข้ามาเบาๆ คล้ายบทเพลงที่ใครสักคนแต่งเพื่อปลอบใจ
แต่ทุกท่วงทำนอง กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ฉันเงยหน้ามองเมฆ เห็นร่างของเธอในแสงสลัว
เหมือนโลกทั้งใบ ยังคงหายใจอยู่ เพียงเพื่อรำพึงชื่อเธอ
บทที่ 2 : รอยเท้าแห่งความเงียบ
เส้นทางที่ทอดยาว บนผืนหญ้าเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้าง
ฉันมองเห็นรอยเท้าที่ค่อยๆ ลบเลือนด้วยสายหมอก
แต่หัวใจ กลับจดจำทุกก้าว ชัดเจนยิ่งกว่าหินผา
แต่ละรอยคือคำบอกลา แต่ละก้าวคือการตัดขาด
ฉันเดินตามมันเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้ว่าจะไปถึงที่ใด
ความเงียบโอบกอดทุกฝีก้าว เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่เคยห่างหาย
เสียงนกที่บินผ่านบนฟ้า เป็นเหมือนเสียงกระซิบแห่งความสูญเสีย
รอยเท้านั้น ไม่เคยนำไปสู่เธอ มีแต่ทางที่วกวนสู่ความว่างเปล่า
ฉันหยุดก้าว แต่ใจกลับยังเดินตามรอยเท้าในฝัน
แม้ไม่มีวันพบปลายทาง แต่ความทรงจำ กลับกัดกินไม่รู้จบ
เหมือนคำถามที่ไร้คำตอบ แต่ก็ยังถามซ้ำทุกค่ำคืน
บทที่ 3 : ดวงตะวันในม่านหมอก
แสงตะวันเจือจาง ลอดผ่านม่านเมฆ
ราวกับสายตาของใครบางคน ที่ยังคงเฝ้ามอง
ความอบอุ่นนั้น ไม่เพียงพอจะขับไล่ความหนาวในใจ
ทุกลำแสง กลับกลายเป็นดาบที่กรีดลึกลงไปอีกครั้ง
ขุนเขาโยงเงายาว ดั่งความคิดถึงที่ไร้จุดสิ้นสุด
ฉันยื่นมือออกไปรับ แต่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
ดวงตะวันอวดประกาย ราวกับให้สัญญาว่าจะกลับมา
แต่ทุกการลับขอบฟ้า คือการหายไปที่ไม่ทิ้งร่องรอย
หมอกยังหนาแน่น เหมือนกำแพงที่กั้นกลางหัวใจ
แม้ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่มันกลับเหมือนการรอคอย ที่ไม่มีวันบรรลุผล
แสงนั้นเจ็บปวดเกินจะทน แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะมองมันต่อไป
บทที่ 4 : หญ้าอ่อนริมเหว
ใบหญ้าไหวเอนรับแรงลม เหมือนกำลังเต้นรำปลอบใจขอบเหว
ทุกใบหญ้าเล็กน้อย แต่ไม่ยอมแพ้ต่อแรงหนาว
รากของมันยึดแน่นกับดิน อย่างที่หัวใจฉันไม่อาจทำได้
ฉันอิจฉามัน เพราะมันไม่เคยถูกพรากจากบ้าน
หยดน้ำค้างบนใบหญ้า เปรียบเสมือนรอยแผลของชีวิต
แต่พวกมันยังคงงดงาม และสดใสทุกครั้งที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
ตรงขอบเหว คือความเวิ้งว้างที่ไร้ก้นบึ้ง
เสียงลมที่พัดผ่าน ดังเหมือนเสียงถอนหายใจ ของวิญญาณโบราณ
ฉันก้าวเข้าใกล้ เห็นเพียงเงามืดที่กลืนกินทุกสิ่ง
ความเวิ้งว้างนี้ คือกระจกสะท้อนหัวใจของฉันเอง
เต็มไปด้วยช่องว่างที่เธอทิ้งไว้ ไม่เคยถูกเติมเต็ม
บทที่ 5 : เสียงที่หลงทางในหมอก
หมอกขาวหนาทึบ ราวกับโลกกำลังจะหายไป
เสียงของฉันถูกกลืนกินอย่างง่ายดาย
ฉันพยายามตะโกนเรียกชื่อเธอ แต่คำตอบคือความว่างเปล่า
เสียงสะท้อนกลับมา เป็นเพียงเศษเงาที่บาดใจ
เหมือนเสียงหัวเราะของเธอ ยังวนเวียนอยู่ไม่ไกล
ทุกเสียงในหมอก คือบทสนทนาที่ไม่เคยได้เริ่มต้น
คำถามมากมาย ไม่มีวันมีคำตอบ
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางหมอก เหมือนนักโทษในเรือนจำที่ไม่มีประตู
ทุกก้าวที่เดิน คือการวนกลับมาที่เดิม
ความเงียบ คือบทลงโทษที่โหดร้ายที่สุด ที่โลกมอบให้ฉัน
บทที่ 6 : เงาของขุนเขา
ยอดเขาสูงชันตระหง่าน แต่เงาที่ทอดยาวนั้น กดทับจิตใจฉัน
ฉันไม่รู้ว่า เป็นเงาแห่งความยิ่งใหญ่ หรือเงาแห่งความโดดเดี่ยว
ในเงานั้น ฉันเห็นภาพของเราเคียงข้างกัน
ภาพหัวเราะ ภาพจับมือ ภาพเดินฝ่าลม
แต่เมื่อฉันเอื้อมมือกลับไป ภาพเหล่านั้น ก็แตกสลายเป็นหมอก
ทุกเงายาวขึ้นตามแสงอาทิตย์ที่อับแสง
และในที่สุด มันกลืนกินฉันทั้งร่างโดยไม่เมตตา
ความมืดไม่เคยอบอุ่น มันเพียงกลบเกลื่อนทุกสิ่ง
ฉันถูกกลืนไปในเงา เหมือนถ้อยคำที่ถูกลบออกจากบทกวี
ความจริงนั้น เจ็บปวดเกินกว่าเงาจะปิดบัง
และฉันจึงยอมจำนนต่อความมืด โดยไม่ต่อต้าน
บทที่ 7 : ความรักที่ข้ามไม่ถึง
ขุนเขาสูงชัน เหมือนกำแพงเหล็กกั้นกลางระหว่างเรา
ฉันปีนขึ้นไปด้วยมือเปื้อนเลือดและเหงื่อที่ไหลไม่หยุด
แต่ทุกยอดที่ก้าวไปถึง กลับนำไปสู่ความว่างเปล่า
เธออยู่ฟากหนึ่ง ฉันอยู่อีกฟาก
เสียงเรียกหาของเรา กลายเป็นเศษเสียงที่ลมพัดหายไป
ความรักของเรากว้างใหญ่ดั่งหุบเหว
แต่ไม่มีสะพานใดทอดเชื่อม
ฉันพยายามยื่นมือออกไป ยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
แต่สิ่งที่คว้ามาได้ คือหนามแห่งความเจ็บปวด
เหมือนบทเพลงที่ไม่มีวันบรรเลงจบ
ความรักนี้ยังคงอยู่ แต่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้เลย
บทที่ 8 : ราตรีในม่านเมฆ
ยามอาทิตย์สิ้นแรง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงามืดลึกลับ
หมอกยังโอบกอดยอดเขา เหมือนผ้าม่านคลุมร่างคนตาย
ดวงดาวบางดวง เผยแสงอย่างเหนียมอาย
แต่แสงนั้นอ่อนเกินไป ที่จะปลอบใจหัวใจที่สั่นไหว
ราตรีนี้ยาวนาน ดั่งไม่มีวันสิ้นสุด
ทุกลมหายใจ เหมือนเสียงสวดที่ไม่มีผู้ตอบ
ฉันนั่งฟังเสียงหัวใจเต้นช้า เหมือนกลองที่ขาดจังหวะ
แต่ละจังหวะ เป็นเหมือนร่องรอยการพรากจาก
ดวงจันทร์ปรากฏ ดั่งใบหน้าที่แสนเศร้า
ฉันเอื้อมไม่ถึง แม้จะเฝ้ามองมันทุกค่ำคืน
และความมืด ก็กลายเป็นผ้าคลุมที่หนักหน่วงเกินแบกไหว
บทที่ 9 : ร่องรอยน้ำตาในหุบเขา
สายธารเล็กๆ ไหลรินจากภูเขาสู่หุบเหว
เหมือนน้ำตาที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ของโลกใบนี้
มันซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ร้องไห้อย่างเงียบงัน
ดอกไม้ริมธาร ก้มศีรษะลง เหมือนร่วมเศร้าโศก
น้ำใสสะท้อนภาพท้องฟ้า แต่ไม่สะท้อนฉัน
ฉันก้มลงดื่ม แต่รสชาติเหมือนหยดน้ำตาของตัวเอง
ทุกหยดน้ำ คือถ้อยคำที่ไม่เคยได้พูดออกมา
มันไหลลงสู่เบื้องล่างไม่เคยหวนคืน
เหมือนความคิดถึงที่มีทางเดียว คือล่องไปไกล
ฉันจึงปล่อยให้น้ำตา ไหลไปพร้อมกับสายน้ำ
หวังว่าสักวันหนึ่ง จะไปถึงที่ที่เธออยู่
บทที่ 10 : ทางเดินไร้ปลายทาง
เส้นทางคดเคี้ยว เลาะไปตามไหล่เขา
เหมือนเส้นชะตาที่วกวน ไร้สิ้นสุด
ทุกก้าวฉันไม่รู้ว่า ปลายทางจะนำไปสู่ที่ใด
แต่ความเงียบ คือเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว
ฉันถามท้องฟ้า ถามภูเขา แต่ไม่มีเสียงใดตอบ
แม้แต่สายลมยังพัดหนี เหมือนไม่อยากเกี่ยวข้อง
ทุกก้าว คือการแบกโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ
แต่ฉันยังคงเดิน เพราะการหยุด คือการยอมตายทั้งเป็น
เส้นทางนี้ไร้ปลาย เหมือนคำสัญญาที่ไม่เคยกลายเป็นจริง
แต่ฉันยังเลือกเดินต่อไป โดยไม่รู้ว่า รอคอยสิ่งใดอยู่ข้างหน้า
เหมือนคนที่เฝ้ารักใครสักคน ที่ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
เสียงที่หลงทางในหมอก