วัฒนธรรมการทำงานแบบไทย โดยคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย 9/6/2561
https://pantip.com/topic/37754440
Cr: Wanarat Ourairat
ผลการสำรวจมุมมองของชาวต่างชาติกับวิธีการทำงานแบบคนไทย มีอยู่ 11 ข้อแต่ขอคัดมา 10 ข้อ เมื่อได้อ่านแล้วท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ จะยอมรับหรือคัดค้าน จะปรับปรุงแก้ไขหรืออย่างไร เรียนเชิญตามอัธยาศัยครับ
ข้อแรก ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือวิธีการใหม่ๆ ส่วนใหญ่มักยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้นต่อไป หากมีอะไรใหม่ในองค์กร จะกลายเป็นการสร้างความรำคาญและมักจะไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร และในบางกรณีอาจถูกต่อต้านด้วย
ข้อที่สอง ไม่กล้าโต้แย้ง ในกรณีที่มีการเจรจาเรื่องหนึ่งเรื่องใด และแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยหรืออาจกำลังสูญเสียผลประโยชน์ คนไทยมักจะมีนิสัยขี้เกรงใจ ไม่โต้แย้ง แต่ก็ไม่เห็นด้วย ทำให้อีกฝ่ายเป็นผู้คุมเกมและไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง นิสัยเช่นนี้ทำให้ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะในใจต่อต้าน แต่ไม่แสดงออก
ข้อที่สาม ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด นอกจากจะไม่โต้แย้งแล้ว ในหลายกรณีคนไทยก็มักจะไม่แสดงออก ไม่ถาม ไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด เมื่อมีข้อสงสัยหรือมีความคิดดีๆ ก็เก็บงำเอาไว้ ไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน บางครั้งทำให้เดินไปคนละทิศคนละทาง งานก็ไม่สำเร็จ ความสามารถที่มีก็ไม่ได้นำออกมาใช้อย่างเต็มที่ สังเกตง่ายๆ เวลามีการประชุมหรือสัมมนาเรื่องใด แทนที่จะซักถามให้เกิดความกระจ่างชัดเจน แต่มักจะนั่งเงียบ แล้วกลับมาครุ่นคิดหรือถามกันเองภายหลัง ตามคำที่มักจะได้ยินกันว่า ‘ไว้ไปพูดหลังไมค์’
ข้อที่สี่ ความรับผิดชอบ ฝรั่งมองว่าคนไทยมักไม่ทำงานให้สำเร็จตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้ มักจะเลื่อนออกไป หรือไม่ก็เร่งทำในวินาทีสุดท้ายก่อนถึงกำหนดเวลา ทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพ ประเภทสุกเอาเผากิน และมักจะไม่ยอมตกลงหรือเซ็นยินยอมรับความผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะกลัวการผูกมัด
ข้อที่ห้า ขาดการวางแผนรองรับปัญหา ส่วนใหญ่คนไทยจะรอให้ปัญหาเกิดก่อน แล้วค่อยมาคิดแก้ไข เป็นการทำงานแบบ Reactive แต่จะไม่วางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น มักจะรอให้นายเป็นผู้สั่งลงมาว่าจะให้ดำเนินการต่ออย่างไร สำหรับในข้อนี้ ผมอาจมีมุมมองต่าง เพราะเริ่มได้เห็นการทำงานแบบ Proactive ของผู้บริหารคนไทยหลายท่าน และหลายองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการจัดทำแผนการสื่อสารในภาวะวิกฤติ และการอบรมผู้บริหารเพื่อรับมือกับภาวะวิกฤติ ยิ่งในสถานการณ์ผันผวนเช่นนี้ ได้เห็นองค์กรทั้งไทยเทศตื่นตัวลุกขึ้นมาเตรียมวางแผนรองรับกันอย่างเต็มที่
ข้อที่หก บอกแต่ข่าวดี คนไทยจะไม่กล้าบอกข่าวร้ายกับผู้บริหารต่างชาติ มักจะพยายามหาข่าวดีๆ หรือมีวิธีการในการเลี่ยงไม่ตอบตามความเป็นจริง บางครั้งทำให้สถานการณ์ลุกลามใหญ่โตเกินแก้ และบางคนก็มักจะพูดเฉพาะในสิ่งที่เจ้านายอยากฟังเท่านั้น ข้อนี้ ผมยืนยันครับว่า ระบบการทำงานประเภทนายว่าขี้ข้าพลอย หรือขุนพลพลอยพยัก มีอยู่เป็นจำนวนมากจริงๆ
ข้อที่เจ็ด ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม ไม่มีความกระตือรือล้นในการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เป็นจุดอ่อนอย่างยิ่งของคนไทย เพราะมักจะเก่งแบบศิลปินเดี่ยว ทำงานกับหมู่คณะไม่ค่อยได้ และไม่ขวนขวายหาวิธีในการฝึกฝน พัฒนาทักษะและความคิดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความรอบรู้ทางโลกหรือแม้กระทั่งเรื่องงาน ให้มีการต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ ข้อนี้ก็ประจักษ์ชัดนะครับ เถียงเขาไม่ได้จริงๆ!
ข้อที่แปด ไม่มีความซื่อสัตย์ หรือ Integrity ฝรั่งมองว่าคนไทยนิสัยชอบโกหก แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เช่น มาสายก็อ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกเวลางาน จึงควรมีความซื่อสัตย์กับตนเองและองค์กรมากกว่านี้ ผมเคยเขียนถึงไปแล้วหลายครั้งว่าน่าแปลกใจที่ในภาษาไทย ไม่มีคำแปลที่ครอบคลุมสำหรับคำว่า Integrity ซึ่งหมายถึง ความเป็นเนื้อแท้ ความซื่อตรง
ข้อที่เก้า ระบบพวกพ้อง คนไทยจะแยกไม่ออกระหว่างพวกพ้องและส่วนรวม มักจะปกป้องคนที่ถือว่าเป็นเพื่อน เป็นพวกเดียวกัน และจะปกป้องทั้งที่รู้ว่า ทำไม่ถูกต้อง แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนร่วม เอาเป็นว่า พรรคพวกเพื่อนพ้องมาก่อนเสมอ!
ข้อที่สิบ แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ฝรั่งมองว่าคนไทยแยกไม่ออกระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว มักจะเอามาพัวพันกันตลอดเวลา ชอบอยากรู้เรื่องของคนอื่น และเป็นที่มาของข่าวลือสารพัดชนิดที่ไม่เป็นประโยชน์กับงานและองค์กร มักจะคุยเรื่องส่วนตัวมากเกินไป มักลาออกโดยไม่แจ้งล่วงหน้าตามกำหนด แต่คาดหวังผลประโยชน์เต็มที่ เวลาโดนตำหนิเรื่องงาน ก็มักจะนำมาพัวพันเป็นเรื่องส่วนตัว ฯลฯ
https://www.facebook.com/bonwanarat/posts/1835681376474999
Thai working culture? วัฒนธรรมการทำงานแบบไทย โดยคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย 9/6/2561 สรายุทธ กันหลง
https://pantip.com/topic/37754440
Cr: Wanarat Ourairat
ผลการสำรวจมุมมองของชาวต่างชาติกับวิธีการทำงานแบบคนไทย มีอยู่ 11 ข้อแต่ขอคัดมา 10 ข้อ เมื่อได้อ่านแล้วท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ จะยอมรับหรือคัดค้าน จะปรับปรุงแก้ไขหรืออย่างไร เรียนเชิญตามอัธยาศัยครับ
ข้อแรก ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือวิธีการใหม่ๆ ส่วนใหญ่มักยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้นต่อไป หากมีอะไรใหม่ในองค์กร จะกลายเป็นการสร้างความรำคาญและมักจะไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร และในบางกรณีอาจถูกต่อต้านด้วย
ข้อที่สอง ไม่กล้าโต้แย้ง ในกรณีที่มีการเจรจาเรื่องหนึ่งเรื่องใด และแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยหรืออาจกำลังสูญเสียผลประโยชน์ คนไทยมักจะมีนิสัยขี้เกรงใจ ไม่โต้แย้ง แต่ก็ไม่เห็นด้วย ทำให้อีกฝ่ายเป็นผู้คุมเกมและไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง นิสัยเช่นนี้ทำให้ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะในใจต่อต้าน แต่ไม่แสดงออก
ข้อที่สาม ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด นอกจากจะไม่โต้แย้งแล้ว ในหลายกรณีคนไทยก็มักจะไม่แสดงออก ไม่ถาม ไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด เมื่อมีข้อสงสัยหรือมีความคิดดีๆ ก็เก็บงำเอาไว้ ไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน บางครั้งทำให้เดินไปคนละทิศคนละทาง งานก็ไม่สำเร็จ ความสามารถที่มีก็ไม่ได้นำออกมาใช้อย่างเต็มที่ สังเกตง่ายๆ เวลามีการประชุมหรือสัมมนาเรื่องใด แทนที่จะซักถามให้เกิดความกระจ่างชัดเจน แต่มักจะนั่งเงียบ แล้วกลับมาครุ่นคิดหรือถามกันเองภายหลัง ตามคำที่มักจะได้ยินกันว่า ‘ไว้ไปพูดหลังไมค์’
ข้อที่สี่ ความรับผิดชอบ ฝรั่งมองว่าคนไทยมักไม่ทำงานให้สำเร็จตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้ มักจะเลื่อนออกไป หรือไม่ก็เร่งทำในวินาทีสุดท้ายก่อนถึงกำหนดเวลา ทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพ ประเภทสุกเอาเผากิน และมักจะไม่ยอมตกลงหรือเซ็นยินยอมรับความผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะกลัวการผูกมัด
ข้อที่ห้า ขาดการวางแผนรองรับปัญหา ส่วนใหญ่คนไทยจะรอให้ปัญหาเกิดก่อน แล้วค่อยมาคิดแก้ไข เป็นการทำงานแบบ Reactive แต่จะไม่วางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น มักจะรอให้นายเป็นผู้สั่งลงมาว่าจะให้ดำเนินการต่ออย่างไร สำหรับในข้อนี้ ผมอาจมีมุมมองต่าง เพราะเริ่มได้เห็นการทำงานแบบ Proactive ของผู้บริหารคนไทยหลายท่าน และหลายองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการจัดทำแผนการสื่อสารในภาวะวิกฤติ และการอบรมผู้บริหารเพื่อรับมือกับภาวะวิกฤติ ยิ่งในสถานการณ์ผันผวนเช่นนี้ ได้เห็นองค์กรทั้งไทยเทศตื่นตัวลุกขึ้นมาเตรียมวางแผนรองรับกันอย่างเต็มที่
ข้อที่หก บอกแต่ข่าวดี คนไทยจะไม่กล้าบอกข่าวร้ายกับผู้บริหารต่างชาติ มักจะพยายามหาข่าวดีๆ หรือมีวิธีการในการเลี่ยงไม่ตอบตามความเป็นจริง บางครั้งทำให้สถานการณ์ลุกลามใหญ่โตเกินแก้ และบางคนก็มักจะพูดเฉพาะในสิ่งที่เจ้านายอยากฟังเท่านั้น ข้อนี้ ผมยืนยันครับว่า ระบบการทำงานประเภทนายว่าขี้ข้าพลอย หรือขุนพลพลอยพยัก มีอยู่เป็นจำนวนมากจริงๆ
ข้อที่เจ็ด ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม ไม่มีความกระตือรือล้นในการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เป็นจุดอ่อนอย่างยิ่งของคนไทย เพราะมักจะเก่งแบบศิลปินเดี่ยว ทำงานกับหมู่คณะไม่ค่อยได้ และไม่ขวนขวายหาวิธีในการฝึกฝน พัฒนาทักษะและความคิดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความรอบรู้ทางโลกหรือแม้กระทั่งเรื่องงาน ให้มีการต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ ข้อนี้ก็ประจักษ์ชัดนะครับ เถียงเขาไม่ได้จริงๆ!
ข้อที่แปด ไม่มีความซื่อสัตย์ หรือ Integrity ฝรั่งมองว่าคนไทยนิสัยชอบโกหก แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เช่น มาสายก็อ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกเวลางาน จึงควรมีความซื่อสัตย์กับตนเองและองค์กรมากกว่านี้ ผมเคยเขียนถึงไปแล้วหลายครั้งว่าน่าแปลกใจที่ในภาษาไทย ไม่มีคำแปลที่ครอบคลุมสำหรับคำว่า Integrity ซึ่งหมายถึง ความเป็นเนื้อแท้ ความซื่อตรง
ข้อที่เก้า ระบบพวกพ้อง คนไทยจะแยกไม่ออกระหว่างพวกพ้องและส่วนรวม มักจะปกป้องคนที่ถือว่าเป็นเพื่อน เป็นพวกเดียวกัน และจะปกป้องทั้งที่รู้ว่า ทำไม่ถูกต้อง แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนร่วม เอาเป็นว่า พรรคพวกเพื่อนพ้องมาก่อนเสมอ!
ข้อที่สิบ แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ฝรั่งมองว่าคนไทยแยกไม่ออกระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว มักจะเอามาพัวพันกันตลอดเวลา ชอบอยากรู้เรื่องของคนอื่น และเป็นที่มาของข่าวลือสารพัดชนิดที่ไม่เป็นประโยชน์กับงานและองค์กร มักจะคุยเรื่องส่วนตัวมากเกินไป มักลาออกโดยไม่แจ้งล่วงหน้าตามกำหนด แต่คาดหวังผลประโยชน์เต็มที่ เวลาโดนตำหนิเรื่องงาน ก็มักจะนำมาพัวพันเป็นเรื่องส่วนตัว ฯลฯ
https://www.facebook.com/bonwanarat/posts/1835681376474999