ประสบการณ์ส่วนตัวในการเดินทางเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์
ตามที่เคยได้ลั่นวาจาไว้กับตนเอง
ในช่วงชีวิตวัยทำงาน ก่อนการเข้าอุปสมบท 5 วัน กับการลาบิดามารดาเดินหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อทดแทนพระคุณ
ความรู้สึกเหมือนได้ปล่อยวางหน้าที่อะไรบางอย่าง บ้างมีคนช่วยดูแลต่อ บ้างวางไว้เฉยๆ บ้างก็กังวลใจเล็กๆ
การอุปสมบทครั้งนี้เป็นการอุปสมบทหมู่ ซึ่งมีทั้งคนที่อยู่ในช่วงวัยเรียนไปจนถึงวัยใกล้เกษียณ
เนื่องจากทางวัดห้ามมิให้มีการจัดงานทำขวัญนาทหรือจัดเลี้ยงใดเลยๆ
การบอกกล่าวบรรดาพี่ป้าน้าอา บรรดาญาตสนิทมิตรสหายต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องมากังวลเกรงอกเกรงใจกัน
เพราะไม่ได้แจกการ์ดเรียนเชิญ (ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของคนไทยไปแล้ว) จึงทำให้ไม่ได้แจ้งข่าวให้ใครรู้เท่าที่ควร
ส่วนการเตรียมตัวเบื้องต้นก็มีการทดลองอดอาหารมื้อเย็นมาก็เกือบเดือนแล้ว (แต่ก็มีบางวันที่มิได้ปฏิบัติ)
การท่องบทสวดมนต์เพื่อเตรียมการอุปสมบท ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการจดจำ ส่วนใญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก
แรกๆอาจจะดูยากไปซะหน่อยส่วนตัวก็ห่างจากภาษาบาลีมานานมาก เท่าที่ท่องได้ก็มีไม่กี่บท
ข้อกำหนดทางวัดคือก่อนที่จะมีสิทธิเข้าอุปสมบทได้ ทุกคนต้องมีการสอบท่องคำขออุปสมบทกับพระอาจารย์ให้ได้ก่อน
ส่วนภาพรวมอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ความคลาดหวังส่วนตัวที่จะได้รับจากากรบวชครั้งนี้
นอกเสียจากได้ทำหน้าที่ทดแทนบุญบิดา มารดา แล้วก็ยังเป็นการนำพาท่านมาฟังเทศน์ฟังธรรมบ้างได้เข้าวัดทำบุญ
แต่กับส่วนตัวก็อยากมีสมาธิบ้างไม่มากก็น้อยเท่าที่จะทำได้ เพราะช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ในหัวเริ่มไม่มีอะไรให้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเลย ความรู้สึกมันเหมือนสับสนปนเขว้งๆนะ อยากไปทั้งซ้าย อยากไปทั้งขวา อยากทำโน่น อยากทำนี่ บ้างได้เริ่ม บ้างไม่ได้เริ่ม เหมือนเชือกฟางที่หลุดออกจากม้วยแล้วมีคนพยายามขยุ้มเพื่อเก็บใส่ถุง มันดูยุ่งๆหน่อยๆ
วันนี้เท่านี้ก่อนแล้วกัน และจะมาเล่าต่อนะ
ร่มกาสาวพัสตร์ บทที่ 1
ตามที่เคยได้ลั่นวาจาไว้กับตนเอง
ในช่วงชีวิตวัยทำงาน ก่อนการเข้าอุปสมบท 5 วัน กับการลาบิดามารดาเดินหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อทดแทนพระคุณ
ความรู้สึกเหมือนได้ปล่อยวางหน้าที่อะไรบางอย่าง บ้างมีคนช่วยดูแลต่อ บ้างวางไว้เฉยๆ บ้างก็กังวลใจเล็กๆ
การอุปสมบทครั้งนี้เป็นการอุปสมบทหมู่ ซึ่งมีทั้งคนที่อยู่ในช่วงวัยเรียนไปจนถึงวัยใกล้เกษียณ
เนื่องจากทางวัดห้ามมิให้มีการจัดงานทำขวัญนาทหรือจัดเลี้ยงใดเลยๆ
การบอกกล่าวบรรดาพี่ป้าน้าอา บรรดาญาตสนิทมิตรสหายต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องมากังวลเกรงอกเกรงใจกัน
เพราะไม่ได้แจกการ์ดเรียนเชิญ (ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของคนไทยไปแล้ว) จึงทำให้ไม่ได้แจ้งข่าวให้ใครรู้เท่าที่ควร
ส่วนการเตรียมตัวเบื้องต้นก็มีการทดลองอดอาหารมื้อเย็นมาก็เกือบเดือนแล้ว (แต่ก็มีบางวันที่มิได้ปฏิบัติ)
การท่องบทสวดมนต์เพื่อเตรียมการอุปสมบท ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการจดจำ ส่วนใญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก
แรกๆอาจจะดูยากไปซะหน่อยส่วนตัวก็ห่างจากภาษาบาลีมานานมาก เท่าที่ท่องได้ก็มีไม่กี่บท
ข้อกำหนดทางวัดคือก่อนที่จะมีสิทธิเข้าอุปสมบทได้ ทุกคนต้องมีการสอบท่องคำขออุปสมบทกับพระอาจารย์ให้ได้ก่อน
ส่วนภาพรวมอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ความคลาดหวังส่วนตัวที่จะได้รับจากากรบวชครั้งนี้
นอกเสียจากได้ทำหน้าที่ทดแทนบุญบิดา มารดา แล้วก็ยังเป็นการนำพาท่านมาฟังเทศน์ฟังธรรมบ้างได้เข้าวัดทำบุญ
แต่กับส่วนตัวก็อยากมีสมาธิบ้างไม่มากก็น้อยเท่าที่จะทำได้ เพราะช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ในหัวเริ่มไม่มีอะไรให้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเลย ความรู้สึกมันเหมือนสับสนปนเขว้งๆนะ อยากไปทั้งซ้าย อยากไปทั้งขวา อยากทำโน่น อยากทำนี่ บ้างได้เริ่ม บ้างไม่ได้เริ่ม เหมือนเชือกฟางที่หลุดออกจากม้วยแล้วมีคนพยายามขยุ้มเพื่อเก็บใส่ถุง มันดูยุ่งๆหน่อยๆ
วันนี้เท่านี้ก่อนแล้วกัน และจะมาเล่าต่อนะ