"""ขอเกริ่นก่อนครับว่า กระทู้ของข้าพเจ้า เป็นการแชร์เรื่องราวความคิดและประสบการณ์ส่วนตัวตอนที่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ """
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า บางแง่มุมในประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอนั้น อาจจะให้แง่คิดและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ไม่มากก็น้อย และอาจจะเป็นเรื่องอ่านเล่นๆ สำหรับยุวชนที่มีความต้องการที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้เช่นกัน
ซึ่งบางเนื้อหาอาจจะผิดต่อหลักศีลธรรมและหลักสาระสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นเพียงมุมมองที่ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดความเป็นตัวตนออกมาผ่านตัวหนังสือ และนอกจากนั้นการใช้สำนวนและถ้อยคำบางคำอาจจะมีความไม่สุภาพและดูแปลกประหลาด ตามลักษณะนิสัยส่วนตัวของข้าพเจ้าอีกด้วย
***ขอเพิ่มเติมตอนเกริ่นอีกนิดว่า ... ข้าพเจ้าตัดสินใจแชร์เรื่องราวนี้ หลังจากวันเวลาผ่านมาแล้ว 3-4 ปี และข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อีกครั้ง และได้พยายามเขียนบันทึกครั้งใหม่ จึงอ่านบันทึกเก่าอีกครั้ง ก็พบว่า ตนเองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยช่วงวัย ความคิดทัศนคติต่างๆ และด้วยมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้ไม่สามารถเขียนในลักษณะแบบเดิมได้
บทที่ 1 " การเตรียมกาย-ใจ "
วันที่ 4 ธันวาคม 2558
เป็นวันก่อนที่จะมีพิธีบรรพชาอุปสมบทของตัวข้าพเจ้าเอง (บรรพชา คือ การบวชเป็นสามเณร , อุปสมบท คือ การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์) ข้าพเจ้าได้ลาออกจากงานที่ทำอยู่ประจำ และอยากลองทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทางผู้ใหญ่คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คือการอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ตัวข้าพเจ้าสามารถจะกระทำให้ผู้อื่นได้หากเขาเชื่อแบบนั้น แต่ลึกๆในตัวข้าพเจ้าแล้วนั้น ค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อถือในแนวทางของพระศาสนา ศาสนพิธีกรรม หรือหลักปฏิบัติต่างๆ สักเท่าใดนัก เนื่องจากตัวข้าพเจ้าเองมีความคิดว่า ภาพลักษณ์ต่างๆของศาสนาที่ถูกสะท้อนออกมาในสังคมปัจจุบันนั้น มันยังดูไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็นสักเท่าใด ผนวกกับความไม่เข้าใจในแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าจึงใคร่อยากที่จะขวนขวาย ทดลองศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองดูสักครั้ง และในอีกด้านหนึ่งของสมองก็ยังอยากที่จะหาคำตอบของอะไรสักอย่างให้กับชีวิตของตัวข้าพเจ้า... โดยที่ข้าพเจ้าเองนั้นก็ยังไม่รู้ถึงคำถามที่ตนเองต้องการจะหาคำตอบเสียด้วยซ้ำ .......จึงได้แต่คงไว้ซึ่งจิตใจที่แน่วแน่ในวิถีทางของการอุปสมบทในครั้งนี้
ข้าพเจ้าเริ่มจากการพยายามละทิ้งปัจจัยจากโลกภายนอก หรือวัตถุที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อวิถีทางการบวช เช่น โทรศัพท์ อุปกรณ์เทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ และการพยายามละทิ้งเรื่องราวที่เคยอยู่ในหัวสมองของข้าพเจ้า ทั้งสิ่งที่เป็นความสุข หรือ ความทุกข์ต่างๆนั้น ... หลายคนอาจคิดว่าไม่สามารถทำได้หรอก การตัดทุกอย่างออกจากหัวนั้นเป็นไปไม่ได้ .......แต่ข้าพเจ้าคิดว่า " สามารถทำได้ หากเรามีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงในทิศทางที่เราตัดสินใจ " ซึ่งก็สามารถทำได้อยู่ประมาณหนึ่ง คือ ทำให้ไม่ค่อยมีความรู้สึกใดๆ หรือสามารถวางเฉยต่อเรื่องราวสถานการณ์ต่างๆ ณ เวลานั้นๆได้
ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่แจ้งข่าว หรือบอกเพื่อนฝูง และคนรู้จักอื่นๆในการบวชครั้งนี้ เพราะคิดว่าเป็นหนทางที่ตัวข้าพเจ้าเองอยากที่จะลองก้าวเดินไปด้วยตัวเอง และเนื่องจากเคยเห็นเหตุการณ์ที่แบบว่า แจ้งข่าวแล้ว แต่บอกไม่ทั่วถึง จึงทำให้มีความเคืองขัดข้องใจกันในภายหลัง .... ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะไม่ต้องการให้มีคนมาสักเท่าใดนัก อาศัยเฉพาะใครที่สนใจถาม ก็จะบอก หรือทางญาติผู้ใหญ่อยากจะเชิญใครก็ตามแต่ท่านเท่านั้น
ครั้นถึงเวลาของการปลงผม (ตัดผม) ประมาณเวลาบ่าย 2 ข้าพเจ้าเริ่มจากการคุกเข่าขอขมาในสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งที่ดีและไม่ดีก็ตาม ต่อหน้าทางญาติผู้ใหญ่ บิดา และมารดาของข้าพเจ้า ขณะที่กำลังนั่งคุกเข่าก็พลันนึกขอบคุณทุกสรรพสิ่งอันใด ที่ให้ตัวข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ตัวข้าพเจ้าตั้งใจไว้ ขอบคุณทุกเรื่องราวที่เป็นบทเรียนให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจอันเป็นประสบการณ์ที่ดีต่อไป (คือความรู้สึกต่างๆมั่วไปหมด แต่ก็เป็นอะไรที่รู้สึกดีนะ..)
หลังจากนั้นมารดาของข้าพเจ้าได้พาตัวข้าพเจ้ามาที่วัดซึ่งเป็นวัดที่อยู่ด้านหลังของบ้านข้าพเจ้า (บ้านข้าพเจ้าเป็นโรงงานเก่า) ซึ่งถูกกั้นกันด้วยแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในจังหวัด และเมื่อมาถึงที่วัด ก็พบกับพระสงฆ์ 2 รูป หลวงพี่ท่านก็ชี้แจงว่าให้ถอดเสื้อออก พร้อมทั้งหยิบใบมีดโกนอันใหม่ ใบคมกริ้บ ตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยจะโกนผมเลยสักครั้งในชีวิต นี่จะเป็นการตัดผมด้วยใบมีดโกนเป็นครั้งแรก และในระหว่างที่หลวงพี่ละเลงใบมีดโกนบนศรีษะข้าพเจ้าอย่างเมามัน ก็รู้สึกเหมือน แสบๆ คันๆ ที่บริเวณหนังศรีษะด้านขวา และก็มีน้ำสีแดงๆ ไหลย้อยลงมาที่ตา ...... ใช่แล้ว..... เลือด ..... อ๊ากกกก.... แสบ....
และเมื่อโกนผมเสร็จ หลวงพี่ก็ได้ให้ข้าพเจ้าไปอาบน้ำ พร้อมทั้งเปลี่ยนชุดเป็นนุ่งขาวห่มขาว พร้อมทั้งนำผมที่โกนแล้ว ใส่ในใบบัว แล้วนำไปลอยในแม่น้ำด้านหลังของวัด ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเอาไปลอยในแม่น้ำ สร้างมลพิษให้แก่พระแม่คงคาด้วย ถึงจะเป็นความเชื่อก็เถอะ ก็เพียงทำไปตามพิธีกรรมแต่โดยดี โดยตั้งจิตใจให้มั่นคง อธิษฐานขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ใจหวัง ...... เมื่อลอยผมเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินไปส่งมารดาให้กลับบ้าน ส่วนตัวข้าพเจ้าเองจะอยู่ที่วัด ณ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หลังจากที่มารดาเดินทางกลับไปแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้มานั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำ มองดูด้านหลังของบ้านข้าพเจ้า ที่เป็นกำแพงสังกะสีสูงตระหง่านเรียงยาวดั่งกำแพงไททั่น ในการ์ตูน Attack on Titan พร้อมทั้งหยิบหนังสือบทสวดมนต์มาซ้อมท่องบทพิธีบรรพชาอุปสมบท จริงๆแล้วข้าพเจ้าเองก็ได้ซ้อมท่องบทสวดนี้อยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ก็เพื่อความแน่ใจจึงต้องทบทวนอีกอยู่เรื่อยๆ และเมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบกำแพงไททั่นไป ข้าพเจ้าก็เข้าไปในกุฏิของข้าพเจ้า ซึ่งจะนอนอยู่กับหลวงพี่อีกท่านหนึ่ง ซึ่งบวชมาก่อนแล้วเมื่อหลายวันก่อน
กุฏิของข้าพเจ้าเป็นพื้นกระเบื้อง ปูใหม่ มีทีวี ตู้เย็น และแอร์คอนดิชันเนอร์ ดูสะดวกสบาย แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้มีความตั้งมั่นตั้งใจไว้ว่าจะไม่เปิดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนี้ ยกเว้นแต่ตู้เย็นที่จำเป็นต้องแช่น้ำดื่ม และอาหารบางส่วนที่มีคนถวายมาให้
ข้าพเจ้าก็สอบถามเกี่ยวกับที่วัดนี้กับหลวงพี่ที่อยู่ในกุฏิเดียวกันได้ใจความว่า ที่วัดจะไม่มีการทำพิธีวัตรเช้า และเย็น เนื่องจากเป็นวัดบ้าน แต่จะทำก็เฉพาะในช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงผิดหวังเล็กน้อย เพราะอยากที่จะลองปฏิบัติตามหลักวิธีการทางพระพุทธศาสนาเผื่อจะได้อะไรในชีวิตบ้าง หลังจากนั้นจึงพยายามที่จะข่มตานอน แต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาเพิ่งจะแค่ 1 ทุ่มเศษๆ แถมหลวงพี่อีกท่านขอเปิดไฟนอนตลอดทั้งคืนอีก ข้าพเจ้าจึงได้แต่กำหนด ลมหายใจเข้า-ออก ..... พุทโธ ..... พุทโธ..... จนกระทั่งหลับไปในที่สุด ...แต่ก็มักจะลืมตาตื่นขึ้นมาเรื่อยๆ เนื่องจากแสงไฟที่สว่างจ้า คอยแทยงม่านตาอยู่ตลอดทั้งคืน ......ToT
บันทึกชีวิตผมตอนเป็นพระ
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า บางแง่มุมในประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอนั้น อาจจะให้แง่คิดและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ไม่มากก็น้อย และอาจจะเป็นเรื่องอ่านเล่นๆ สำหรับยุวชนที่มีความต้องการที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้เช่นกัน
ซึ่งบางเนื้อหาอาจจะผิดต่อหลักศีลธรรมและหลักสาระสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นเพียงมุมมองที่ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดความเป็นตัวตนออกมาผ่านตัวหนังสือ และนอกจากนั้นการใช้สำนวนและถ้อยคำบางคำอาจจะมีความไม่สุภาพและดูแปลกประหลาด ตามลักษณะนิสัยส่วนตัวของข้าพเจ้าอีกด้วย
***ขอเพิ่มเติมตอนเกริ่นอีกนิดว่า ... ข้าพเจ้าตัดสินใจแชร์เรื่องราวนี้ หลังจากวันเวลาผ่านมาแล้ว 3-4 ปี และข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อีกครั้ง และได้พยายามเขียนบันทึกครั้งใหม่ จึงอ่านบันทึกเก่าอีกครั้ง ก็พบว่า ตนเองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยช่วงวัย ความคิดทัศนคติต่างๆ และด้วยมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้ไม่สามารถเขียนในลักษณะแบบเดิมได้
บทที่ 1 " การเตรียมกาย-ใจ "
วันที่ 4 ธันวาคม 2558
เป็นวันก่อนที่จะมีพิธีบรรพชาอุปสมบทของตัวข้าพเจ้าเอง (บรรพชา คือ การบวชเป็นสามเณร , อุปสมบท คือ การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์) ข้าพเจ้าได้ลาออกจากงานที่ทำอยู่ประจำ และอยากลองทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทางผู้ใหญ่คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คือการอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ตัวข้าพเจ้าสามารถจะกระทำให้ผู้อื่นได้หากเขาเชื่อแบบนั้น แต่ลึกๆในตัวข้าพเจ้าแล้วนั้น ค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อถือในแนวทางของพระศาสนา ศาสนพิธีกรรม หรือหลักปฏิบัติต่างๆ สักเท่าใดนัก เนื่องจากตัวข้าพเจ้าเองมีความคิดว่า ภาพลักษณ์ต่างๆของศาสนาที่ถูกสะท้อนออกมาในสังคมปัจจุบันนั้น มันยังดูไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็นสักเท่าใด ผนวกกับความไม่เข้าใจในแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าจึงใคร่อยากที่จะขวนขวาย ทดลองศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองดูสักครั้ง และในอีกด้านหนึ่งของสมองก็ยังอยากที่จะหาคำตอบของอะไรสักอย่างให้กับชีวิตของตัวข้าพเจ้า... โดยที่ข้าพเจ้าเองนั้นก็ยังไม่รู้ถึงคำถามที่ตนเองต้องการจะหาคำตอบเสียด้วยซ้ำ .......จึงได้แต่คงไว้ซึ่งจิตใจที่แน่วแน่ในวิถีทางของการอุปสมบทในครั้งนี้
ข้าพเจ้าเริ่มจากการพยายามละทิ้งปัจจัยจากโลกภายนอก หรือวัตถุที่คิดว่าไม่จำเป็นต่อวิถีทางการบวช เช่น โทรศัพท์ อุปกรณ์เทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ และการพยายามละทิ้งเรื่องราวที่เคยอยู่ในหัวสมองของข้าพเจ้า ทั้งสิ่งที่เป็นความสุข หรือ ความทุกข์ต่างๆนั้น ... หลายคนอาจคิดว่าไม่สามารถทำได้หรอก การตัดทุกอย่างออกจากหัวนั้นเป็นไปไม่ได้ .......แต่ข้าพเจ้าคิดว่า " สามารถทำได้ หากเรามีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงในทิศทางที่เราตัดสินใจ " ซึ่งก็สามารถทำได้อยู่ประมาณหนึ่ง คือ ทำให้ไม่ค่อยมีความรู้สึกใดๆ หรือสามารถวางเฉยต่อเรื่องราวสถานการณ์ต่างๆ ณ เวลานั้นๆได้
ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่แจ้งข่าว หรือบอกเพื่อนฝูง และคนรู้จักอื่นๆในการบวชครั้งนี้ เพราะคิดว่าเป็นหนทางที่ตัวข้าพเจ้าเองอยากที่จะลองก้าวเดินไปด้วยตัวเอง และเนื่องจากเคยเห็นเหตุการณ์ที่แบบว่า แจ้งข่าวแล้ว แต่บอกไม่ทั่วถึง จึงทำให้มีความเคืองขัดข้องใจกันในภายหลัง .... ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะไม่ต้องการให้มีคนมาสักเท่าใดนัก อาศัยเฉพาะใครที่สนใจถาม ก็จะบอก หรือทางญาติผู้ใหญ่อยากจะเชิญใครก็ตามแต่ท่านเท่านั้น
ครั้นถึงเวลาของการปลงผม (ตัดผม) ประมาณเวลาบ่าย 2 ข้าพเจ้าเริ่มจากการคุกเข่าขอขมาในสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ทั้งที่ดีและไม่ดีก็ตาม ต่อหน้าทางญาติผู้ใหญ่ บิดา และมารดาของข้าพเจ้า ขณะที่กำลังนั่งคุกเข่าก็พลันนึกขอบคุณทุกสรรพสิ่งอันใด ที่ให้ตัวข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ตัวข้าพเจ้าตั้งใจไว้ ขอบคุณทุกเรื่องราวที่เป็นบทเรียนให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจอันเป็นประสบการณ์ที่ดีต่อไป (คือความรู้สึกต่างๆมั่วไปหมด แต่ก็เป็นอะไรที่รู้สึกดีนะ..)
หลังจากนั้นมารดาของข้าพเจ้าได้พาตัวข้าพเจ้ามาที่วัดซึ่งเป็นวัดที่อยู่ด้านหลังของบ้านข้าพเจ้า (บ้านข้าพเจ้าเป็นโรงงานเก่า) ซึ่งถูกกั้นกันด้วยแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในจังหวัด และเมื่อมาถึงที่วัด ก็พบกับพระสงฆ์ 2 รูป หลวงพี่ท่านก็ชี้แจงว่าให้ถอดเสื้อออก พร้อมทั้งหยิบใบมีดโกนอันใหม่ ใบคมกริ้บ ตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยจะโกนผมเลยสักครั้งในชีวิต นี่จะเป็นการตัดผมด้วยใบมีดโกนเป็นครั้งแรก และในระหว่างที่หลวงพี่ละเลงใบมีดโกนบนศรีษะข้าพเจ้าอย่างเมามัน ก็รู้สึกเหมือน แสบๆ คันๆ ที่บริเวณหนังศรีษะด้านขวา และก็มีน้ำสีแดงๆ ไหลย้อยลงมาที่ตา ...... ใช่แล้ว..... เลือด ..... อ๊ากกกก.... แสบ....
และเมื่อโกนผมเสร็จ หลวงพี่ก็ได้ให้ข้าพเจ้าไปอาบน้ำ พร้อมทั้งเปลี่ยนชุดเป็นนุ่งขาวห่มขาว พร้อมทั้งนำผมที่โกนแล้ว ใส่ในใบบัว แล้วนำไปลอยในแม่น้ำด้านหลังของวัด ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเอาไปลอยในแม่น้ำ สร้างมลพิษให้แก่พระแม่คงคาด้วย ถึงจะเป็นความเชื่อก็เถอะ ก็เพียงทำไปตามพิธีกรรมแต่โดยดี โดยตั้งจิตใจให้มั่นคง อธิษฐานขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ใจหวัง ...... เมื่อลอยผมเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินไปส่งมารดาให้กลับบ้าน ส่วนตัวข้าพเจ้าเองจะอยู่ที่วัด ณ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หลังจากที่มารดาเดินทางกลับไปแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้มานั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำ มองดูด้านหลังของบ้านข้าพเจ้า ที่เป็นกำแพงสังกะสีสูงตระหง่านเรียงยาวดั่งกำแพงไททั่น ในการ์ตูน Attack on Titan พร้อมทั้งหยิบหนังสือบทสวดมนต์มาซ้อมท่องบทพิธีบรรพชาอุปสมบท จริงๆแล้วข้าพเจ้าเองก็ได้ซ้อมท่องบทสวดนี้อยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ก็เพื่อความแน่ใจจึงต้องทบทวนอีกอยู่เรื่อยๆ และเมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบกำแพงไททั่นไป ข้าพเจ้าก็เข้าไปในกุฏิของข้าพเจ้า ซึ่งจะนอนอยู่กับหลวงพี่อีกท่านหนึ่ง ซึ่งบวชมาก่อนแล้วเมื่อหลายวันก่อน
กุฏิของข้าพเจ้าเป็นพื้นกระเบื้อง ปูใหม่ มีทีวี ตู้เย็น และแอร์คอนดิชันเนอร์ ดูสะดวกสบาย แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้มีความตั้งมั่นตั้งใจไว้ว่าจะไม่เปิดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนี้ ยกเว้นแต่ตู้เย็นที่จำเป็นต้องแช่น้ำดื่ม และอาหารบางส่วนที่มีคนถวายมาให้
ข้าพเจ้าก็สอบถามเกี่ยวกับที่วัดนี้กับหลวงพี่ที่อยู่ในกุฏิเดียวกันได้ใจความว่า ที่วัดจะไม่มีการทำพิธีวัตรเช้า และเย็น เนื่องจากเป็นวัดบ้าน แต่จะทำก็เฉพาะในช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงผิดหวังเล็กน้อย เพราะอยากที่จะลองปฏิบัติตามหลักวิธีการทางพระพุทธศาสนาเผื่อจะได้อะไรในชีวิตบ้าง หลังจากนั้นจึงพยายามที่จะข่มตานอน แต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาเพิ่งจะแค่ 1 ทุ่มเศษๆ แถมหลวงพี่อีกท่านขอเปิดไฟนอนตลอดทั้งคืนอีก ข้าพเจ้าจึงได้แต่กำหนด ลมหายใจเข้า-ออก ..... พุทโธ ..... พุทโธ..... จนกระทั่งหลับไปในที่สุด ...แต่ก็มักจะลืมตาตื่นขึ้นมาเรื่อยๆ เนื่องจากแสงไฟที่สว่างจ้า คอยแทยงม่านตาอยู่ตลอดทั้งคืน ......ToT