.
บทที่ ๘ พิธีประลองฉลูนักษัตร
สนามประลองคัดเลือกขุนพลนักษัตรเมืองปตานีคือสนามเดียวกับที่จะใช้ประลองราชาสิบสองนักษัตรในอีก ๓ เดือนข้างหน้า ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือนอกกำแพงเมือง มีทั้งหมด ๒ สนาม
สนามแรกสำหรับการประลองฝีมือธนูและฝีมือดาบ สร้างค่ายเชิงเทินสูงสองวาล้อมรอบลานประลองกว้างรูปวงกลมสำหรับประจำตำแหน่งพลแม่นธนูระดมยิงใส่ผู้เข้าแข่งขันด้านล่าง ถัดจากเชิงเทินออกไปเป็นอัฒจันทร์ที่นั่งยกระดับพื้นสูงขึ้นเป็นชั้นเป็นวงสำหรับผู้ชม ขึงตาข่ายหลังแนวเชิงเทินป้องกันลูกธนูที่อาจพุ่งหลงขึ้นมา มีช่องบันไดขึ้นลงสำหรับผู้ชมจากด้านนอกสนามทั้งหมด ๘ ช่อง กระจายอยู่ตามทิศต่างๆ
อีกสนามอยู่ด้านทิศเหนือของสนามแรก เป็นลานโล่งกลางแปลงสำหรับการประลองต่อสู้บนหลังม้าและหลังช้าง มีอัฒจันทร์ที่นั่งปลูกยาวเป็นแนวเส้นตรงเพียงด้านเดียว ด้านหลังของอัฒจันทร์ประชิดติดกับอัฒจันทร์ของสนามแรกที่ใช้ประลองธนูและดาบ
ช่วงสายใกล้พ้นช่วงยามแรกของวัน (เวลา ๙ นาฬิกา) ฝูงชนชาวปตานีต่างแห่แหนเข้ามาอยู่บนอัฒจันทร์ด้านทิศใต้และทิศตะวันตกจนแน่นขนัด ปะปนไปด้วยพ่อค้าและชาวต่างเมือง ส่วนด้านทิศตะวันออกเต็มไปด้วยขุนนางและเจ้าพนักงานระดับกลางและล่าง ส่วนขุนนางระดับสูงกำหนดให้เข้าชมบนอัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือ ซึ่งตรงกลางปลูกปะรำที่ประทับขององค์กษัตริย์และราชวงศ์ บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ประจำเฝ้าแหนรอบที่ประทับ นั่งลดหลั่นตามลำดับตำแหน่งออกไป
ชาวเมืองล้วนพูดคุยกันด้วยเสียงเริงร่ายินดีเพราะเป็นวันที่รอคอยมานานนับปี วันที่จะได้ชมการประลองอาวุธเฟ้นหาผู้มีฝีมือสูงสุดของเมืองปตานีในรอบ ๑๓ ปี ต่างวิจารณ์ถึงฝีมือผู้เข้าแข่งขัน ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสิงขรบุตรท่านขุนพลใหญ่จะเป็นผู้ชนะ บ้างก็เห็นว่าองค์ชายอัศวเมฆอาจมีพระปรีชาสามารถเหนือกว่าถึงได้ทรงเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึง บางส่วนก็พูดถึงฝีมือดาบของรองหัวหน้าครูฝึกทหารและผู้ช่วยนายกองเรือวัยฉกรรจ์
อย่างไรก็ตามอดมีคำตำหนิถึงการเข้าร่วมประลองอาวุธของเจ้าทิพไม่ได้... ว่าไม่เหมาะสม มิได้เจียมฝีมือตนเองเลย สองสามวันก่อนยังโดนองค์ชายอัศวเมฆทรงทุบตีบาดเจ็บ ครั้งนี้หาเรื่องใส่ตัวอีกแท้ๆ
ไม่นานนักได้ยินเสียงประโคมปี่กลองนำ พระเจ้าศรีมหาราชและพระเจ้าฤทธิเทวาเสด็จพร้อมพระราชวงศ์และเซียงจือกงในฐานะพระราชอาคันตุกะ เสียงชาวเมืองและขุนนางบนอัฒจันทร์พลันเงียบลง สักครู่เห็นเจ้าชีวิตทั้งสองทรงปรากฏพระองค์ขึ้นมาจากช่องทางเสด็จด้านหลังข้างปะรำที่ประทับ เมื่อทรงพระดำเนินเข้าประทับบนพระที่นั่งทั้งสองพระองค์แล้วบรรดาขุนนาง เจ้าพนักงานและชาวเมืองต่างพากันถวายบังคมและกล่าวสดุดี พร้อมเสียงปี่กลองยุติลง
จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่พิธีการประลองอาวุธคัดเลือกขุนพลฉลูนักษัตรแห่งเมืองปตานี
ขุนพลสิงหลผู้อยู่ในลานประลองเบื้องหน้าปะรำที่ประทับ กราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดังถึงรายละเอียดของพิธีการและเบิกตัวผู้เข้าประลองสู่สนามแข่งขัน เพียงไม่นานผู้ชมทั้งสนามจึงได้เห็นนักสู้ที่มีวัยตั้งแต่รุ่นหนุ่มถึงวัยฉกรรจ์จำนวน ๘ คนเดินเรียงกันออกมาจากช่องประตูทางทิศใต้ของลานประลอง
คนแรกคือ องค์ชายอัศวเมฆ...
การประลองไม่ถือยศศักดิ์สูงต่ำ ทุกคนคือนักสู้เหมือนกันหมด ทำให้องค์ชายทรงคุกชานุกับพื้นเช่นเดียวกับนักสู้คนอื่น แต่กระนั้นการเรียงลำดับแนะนำตัวก็ยังเรียงตามยศศักดิ์
“ผู้เข้าประลองคนแรก คือองค์ชายอัศวเมฆ พระราชบุตรแห่งนครปตานี นอกจากทรงเชี่ยวชาญการเมืองการปกครอง ยังทรงศึกษาฝึกฝนเพลงอาวุธทั้งหลายจนทรงพระปรีชาสามารถเหนือนักรบทั่วไป” ขุนพลสิงหลกราบทูล ในขณะที่องค์ชายใหญ่ทรงถวายบังคมไปพร้อมกัน ซึ่งผู้รับการขานนามถัดไปก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
“คนที่สอง คือพลาสิน รองหัวหน้าครูฝึกทหารประจำกองทัพ เป็นผู้มีฝีมือรบสูงสุดในบรรดาครูฝึกทั้งหมด”
“คนที่สาม คือสิงขร ราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวง เป็นผู้มีฝีมือเชิงอาวุธเก่งกล้าที่สุดในบรรดาราชองครักษ์ทั้งหมด”
“คนที่สี่ คือ อาโป ผู้ช่วยนายกองเรือ ได้ออกรบและเป็นผู้สังหารหัวหน้าโจรสลัด ครั้งจัดทัพเรือไปช่วยเมืองปะหังปราบพวกโจรทะเลเมื่อ ๒ ปีก่อน”
“คนที่ห้า คือ พายัน หัวหน้ากองม้าจู่โจมเร็ว ๑,๐๐๐ ตัว สังกัดนายกองม้า เคยนำกำลังไปช่วยปราบโจรที่เมืองสายบุรีเมื่อ ๓ ปีก่อน”
“คนที่หก คือ สะเทิง รองหัวหน้าด่านไทร ด่านชายแดนข้ามเมืองไทรบุรี มีผลงานจับกุมและสังหารโจรร้ายกว่า ๒๐ คนที่หนีข้ามชายแดนสองฝั่งในรอบ ๓ ปี”
“คนที่เจ็ด คือ ปาหัต ผู้ช่วยหัวหน้ากองพระตำรวจ สังกัดเจ้ากรมเมือง ผู้ไล่ล่าจับตัวผู้ร้ายก่อคดีอุกฉกรรจ์กว่า ๒๐ คดี”
ตลอดเวลาที่บุคคลทั้งเจ็ดได้รับประกาศนาม ชาวเมืองต่างปรบมือโห่ร้องต้อนรับ แต่เมื่อเริ่มประกาศนามสุดท้ายกลับคล้ายมีบางอย่างก่อตัวขึ้น ทำให้บรรยากาศชะงักลง
“คนที่แปด คือเจ้าทิพ บุตรชายพระเจ้านครปตานี”
เป็นเพียงนามสั้นๆ ไม่มีศักดิ์ ไม่มีสรรพคุณให้เอ่ยอ้าง ไม่มีเสียงโห่ร้องต้อนรับ...
--------------------------------------------------
ขุนพลใหญ่สิงหลเป็นผู้รับสนองพระราชโองการรับผิดชอบพิธีการประลอง แต่เนื่องเพราะบุตรชายเข้าร่วมชิงชัย จึงขอพระราชทานอนุญาตให้ขุนพลธรณิน รองขุนพลใหญ่ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินชี้ขาดการแข่งขัน
บัดนี้ขุนพลธรณินได้ก้าวเข้ามายังลานประลองพร้อมกลุ่มทหารซึ่งแบกแคร่มาสามตัว วางเรียงเบื้องหน้าคณะผู้เข้าแข่งขัน แคร่ด้านซ้ายและขวาเป็นแคร่ว่างเปล่า ส่วนแคร่ตัวตรงกลางมีคันธนูกองสุมอยู่
“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท...” ขุนพลธรณินกราบบังคมทูลพระเจ้าศรีมหาราชผู้เป็นองค์ประธาน “การประลองจะเริ่มต้นจากการคัดเลือกคันธนูที่ผู้เข้าแข่งขันจักต้องใช้ในการประลอง เป็นคันธนูชั้นยอดซึ่งผ่านการคัดสรรมาแล้วจำนวน ๒๐ คัน ผู้เข้าแข่งขันต้องช่วยกันเลือกคันธนูที่ดีที่สุดให้เหลือเพียง ๘ คัน เพื่อใช้ในการประลองยิงธนู... ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตเริ่มดำเนินการ ณ บัดนี้ พระพุทธเจ้าข้า”
สิ้นคำกราบทูล ผู้เข้าแข่งขันต่างเดินเข้าไปรุมล้อมแคร่ตัวกลางที่มีคันธนูกองสุมอยู่ องค์ชายอัศวเมฆและเจ้าทิพซึ่งอยู่ลำดับหัวแถวและท้ายแถวเมื่อทรงดำเนินและเดินไปล้อมแคร่ จึงอยู่ชิดติดกัน
ทุกคนแต่งกายในชุดทหารตามยศศักดิ์ของตน มีเพียงเจ้าทิพที่แต่งกายชุดสามัญชน สะพายกระบอกไม้ไผ่อยู่กลางหลัง สองมือเกี่ยวจับเชือกที่คล้องสะพายด้านหน้าไว้มั่นประหนึ่งสิ่งของมีค่า
“เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย.. ตอนลงแข่งขันเขาจะจัดเตรียมซองใส่ลูกธนูให้ ไม่ต้องพกกระบอกไม้สะพายติดตัวมาเยี่ยงนี้หรอก”
พระดำรัสขององค์ชายเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากผู้เข้าแข่งขันหลายคน
การประลองใช้วิธีจับสลากลำดับก่อนหลัง ผู้เข้าแข่งขันก่อนจะได้สิทธิ์เลือกคันธนูก่อน ดังนั้นทุกคนจึงต้องช่วยกันเลือกคันธนูที่ดีที่สุดทั้ง ๘ คันเพราะตนเองอาจต้องหยิบคันธนูลำดับท้ายๆ ลงสู่สนามแข่งขันก็เป็นได้
การคัดเลือกคันธนูกลางลานประลองแท้จริงแล้วก็เพื่อให้ผู้ชมได้ยลบุคลิกภาพของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน... ก่อนจะลงสนามในสภาพปกปิดหน้าตา มิอาจจำแนกตัวตนได้
ผู้เข้าแข่งขันต่างหยิบฉวยคันธนูที่วางอยู่บนแคร่ขึ้นมาพิเคราะห์และทดสอบ เสียงปล่อยสายเอ็นหนังดังเฟี้ยวฟ้าวไม่ขาดระยะ แม้ไม่มีลูกธนูมาทดสอบแต่ก็สามารถประเมินประสิทธิภาพของคันธนูได้ บ้างกล่าวชมเชยหรือตำหนิคันธนูในมือของตน มีเพียงเจ้าทิพที่ท่วงท่าการพิเคราะห์คันธนูไม่เหมือนใคร การดึงสายเอ็นหนังมิได้กระทำสุดแรง บางครั้งก็เอานิ้วสอดเข้าไปตรงซอกมุมปลายคันธนู ณ จุดเกี่ยวกับสายเอ็นหนัง แล้วยกขึ้นปล่อยให้แกว่งไกวไปมา สลับทำทีละข้าง ดูไปคล้ายกำลังละเล่นแต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมจริงจัง
เมื่อทุกคนได้ทดสอบคันธนูทั้ง ๒๐ คันแล้ว ต่างแย่งกันนำเสนอว่าคันไหนดีหรือไม่ดี แต่สิงขรได้ตัดบทเสนอให้องค์ชายอัศวเมฆเป็นผู้นำสรุปเพียงผู้เดียวเพื่อไม่ให้สับสน ซึ่งทั้งหมดก็คล้อยตามแต่โดยดี
องค์ชายอัศวเมฆทรงหยิบคันธนูขึ้นมาทีละคัน โดยทรงเลือกหยิบคันที่มีผู้ให้ความเห็นสอดคล้องไปในทางเดียวกันก่อนหน้าว่าดีหรือมีตำหนิขึ้นมาก่อน ทรงสรุปพิเคราะห์ด้วยความเฉียบขาดและฉาดฉาน ซึ่งทั้งหมดต่างเห็นสอดคล้อง
มีเพียงเจ้าทิพที่นิ่งเงียบมิได้ช่วยออกความเห็น...
หรือบางทีอาจมิกล้าออกความเห็นใดๆ
--------------------------------------------------
พระเจ้าศรีมหาราชซึ่งทอดพระเนตรโดยตลอดรับสั่งชมเชยในตัวองค์ชายอัศวเมฆ ทั้งความองอาจในการประคองคันธนูขึ้นง้าวและการพิเคราะห์ลักษณะธนู พระเจ้าฤทธิเทวารับสั่งตอบว่าเป็นเพราะได้อาจารย์ดีคือขุนพลสิงหล
ขุนพลสิงหลซึ่งบัดนี้ขึ้นมานั่งเฝ้าถวายงานใกล้ชิดในปะรำที่ประทับจึงกราบทูลว่า... เป็นเพราะองค์ชายทรงใฝ่พระทัยศึกษา ทำให้ทรงพระปรีชาสามารถ หาใช่เพราะได้อาจารย์ดีไม่
คำกราบบังคมทูลสร้างความปิติชื่นชมแด่องค์เหนือหัวทั้งสองพระองค์
“ท่านช่างโชคดีนัก จากที่เราเห็นผู้เข้าประลองในวันนี้ ก็พอจะประเมินได้ว่าท่านมีทหารหาญอยู่มากมาย กองทัพของท่านต้องเข้มแข็งที่สุดในบรรดา ๑๒ เมืองเป็นแน่” พระเจ้าศรีมหาราชรับสั่งขึ้นด้วยพระทัยเบิกบาน
“พระองค์ทรงยกย่องทหารของหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว หากมีข้าศึกมาจริงคงต้องรวมพลังทั้ง ๑๒ เมือง มีทัพเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแกนนำ จึงจะเข้มแข็งจนไม่มีผู้ใดชนะได้” ตรัสแล้วทั้งสองพระองค์ต่างทรงพระสรวลด้วยความสำราญพระหฤทัย
ขณะนั้นมีเสียงผู้ชมตะโกนขับไล่เจ้าทิพให้ออกจากการแข่งขัน ทั้งเสียงหัวเราะเย้ยหยันต่อชายหนุ่มที่มิได้กระทำสิ่งใดเลย นอกจากยืนนิ่งเงียบงันดั่งคนเขลา
พระเจ้าศรีมหาราชจึงตรัสขึ้นว่า
“ลักษณะของเจ้าทิพเหมาะที่จะเป็นช่างฝีมือ ก่อนหน้าเมื่อสักครู่ดูไปคล้ายนายช่างพินิจพิเคราะห์วัสดุและโครงสร้างของคันธนู แต่ตอนนี้จะให้วิจารณ์ถึงประสิทธิภาพคงกระทำได้ยาก”
“คงจะจริงอย่างที่พระองค์รับสั่ง หม่อมฉันได้ยินมาว่าเจ้าทิพอยู่ที่เมืองนครฯ ศึกษาแต่งานช่างงานศิลป์จากตาของเขา แต่งานสร้างธนูประดิษฐ์อาวุธคงจักไม่ได้เรียนรู้”
“บุตรของท่านคนนี้ไม่เคยจับต้องอาวุธ ไหนเลยจะเคยสร้างอาวุธ... แต่ถ้าเป็นงานช่างงานศิลป์ ถึงอายุจะน้อยแต่ฝีมือเข้าขั้นครู... หากไม่ใช่เพราะเป็นบุตรของท่าน แต่เป็นคนทั่วไปที่เข้ารับราชการในกรมวัง วันหนึ่งคงจะได้เป็นนายกองช่างหลวงสืบต่อจากตาของเขาเป็นแน่”
ตำแหน่งสูงสุดของช่างหลวงคือนายกองช่างหลวง สังกัดกรมวัง การจะขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ต้องเป็นผู้มีฝีมือเหนือช่างทั้งปวง
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ไม่สามารถห้ามปรามเจ้าทิพได้ ทำให้การประลองในครั้งนี้ไม่เป็นที่สำราญพระหฤทัยของพระองค์”
พระเจ้าเมืองนครฯ ผู้เป็นใหญ่เหนืออาณาจักรสิบสองนักษัตรทรงหันพระพักตร์มายังพระเจ้าปตานี มิได้มีพระอาการขุ่นข้องหมองพระทัยแต่อย่างใด
“ท่านอย่าได้รับสั่งเช่นนั้น... การที่เจ้าทิพไม่อยู่ในที่ของเขา คงจะไปห้ามปรามไม่ได้ ด้วยข้อกำหนดและธรรมเนียมที่เจ้าตัวยกมาอ้าง... เราเพียงกังวลว่าในการประลองยิงธนู เขาคงไม่บาดเจ็บเป็นอันตราย”
ที่ของเขา... สำหรับองค์พระประมุขแห่งแคว้นตามพรลิงค์แล้ว ทรงหมายถึง... งานช่างงานศิลป์
“หม่อมฉันเองก็ตระหนักว่าเขาไม่รู้วิชาการสู้รบจึงเป็นห่วง... สุดท้ายก็เป็นสภาพที่ไม่น่าดูเช่นนี้”
ฝ่ายพระราชธิดาวิสาณีซึ่งประทับอยู่เบื้องข้างพระราชบิดา ทรงรู้สึกสลดพระทัยที่เห็นชายคนรักไปยืนอยู่กลางลานประลองแต่กลับดูแปลกแตกต่าง ทั้งการแต่งกายและการ “ไม่มี” ส่วนร่วมกับกลุ่มผู้เข้าประลอง ครั้นทรงคำนึงถึงตอนแข่งขันยิงธนูอาจจะได้รับบาดเจ็บเป็นอันตราย ยิ่งหวาดหวั่นในพระทัย...
--------------------------------------------------
ไม่นานธนูบนแคร่กลางก็ว่างเปล่า ธนูที่ไม่ต้องการถูกคัดแยกไปวางกองไว้บนแคร่ด้านทิศตะวันตกจำนวน ๑๑ คัน และธนูที่ได้รับคัดเลือกนำไปวางกองอยู่บนแคร่ด้านทิศตะวันออกจำนวน ๗ คัน ยังเหลืออีก ๒ คันซึ่งอยู่ในหัตถ์ซ้ายและขวาขององค์ชายอัศวเมฆ
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๘ พิธีประลองฉลูนักษัตร
บทที่ ๘ พิธีประลองฉลูนักษัตร
สนามประลองคัดเลือกขุนพลนักษัตรเมืองปตานีคือสนามเดียวกับที่จะใช้ประลองราชาสิบสองนักษัตรในอีก ๓ เดือนข้างหน้า ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือนอกกำแพงเมือง มีทั้งหมด ๒ สนาม
สนามแรกสำหรับการประลองฝีมือธนูและฝีมือดาบ สร้างค่ายเชิงเทินสูงสองวาล้อมรอบลานประลองกว้างรูปวงกลมสำหรับประจำตำแหน่งพลแม่นธนูระดมยิงใส่ผู้เข้าแข่งขันด้านล่าง ถัดจากเชิงเทินออกไปเป็นอัฒจันทร์ที่นั่งยกระดับพื้นสูงขึ้นเป็นชั้นเป็นวงสำหรับผู้ชม ขึงตาข่ายหลังแนวเชิงเทินป้องกันลูกธนูที่อาจพุ่งหลงขึ้นมา มีช่องบันไดขึ้นลงสำหรับผู้ชมจากด้านนอกสนามทั้งหมด ๘ ช่อง กระจายอยู่ตามทิศต่างๆ
อีกสนามอยู่ด้านทิศเหนือของสนามแรก เป็นลานโล่งกลางแปลงสำหรับการประลองต่อสู้บนหลังม้าและหลังช้าง มีอัฒจันทร์ที่นั่งปลูกยาวเป็นแนวเส้นตรงเพียงด้านเดียว ด้านหลังของอัฒจันทร์ประชิดติดกับอัฒจันทร์ของสนามแรกที่ใช้ประลองธนูและดาบ
ช่วงสายใกล้พ้นช่วงยามแรกของวัน (เวลา ๙ นาฬิกา) ฝูงชนชาวปตานีต่างแห่แหนเข้ามาอยู่บนอัฒจันทร์ด้านทิศใต้และทิศตะวันตกจนแน่นขนัด ปะปนไปด้วยพ่อค้าและชาวต่างเมือง ส่วนด้านทิศตะวันออกเต็มไปด้วยขุนนางและเจ้าพนักงานระดับกลางและล่าง ส่วนขุนนางระดับสูงกำหนดให้เข้าชมบนอัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือ ซึ่งตรงกลางปลูกปะรำที่ประทับขององค์กษัตริย์และราชวงศ์ บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ประจำเฝ้าแหนรอบที่ประทับ นั่งลดหลั่นตามลำดับตำแหน่งออกไป
ชาวเมืองล้วนพูดคุยกันด้วยเสียงเริงร่ายินดีเพราะเป็นวันที่รอคอยมานานนับปี วันที่จะได้ชมการประลองอาวุธเฟ้นหาผู้มีฝีมือสูงสุดของเมืองปตานีในรอบ ๑๓ ปี ต่างวิจารณ์ถึงฝีมือผู้เข้าแข่งขัน ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสิงขรบุตรท่านขุนพลใหญ่จะเป็นผู้ชนะ บ้างก็เห็นว่าองค์ชายอัศวเมฆอาจมีพระปรีชาสามารถเหนือกว่าถึงได้ทรงเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึง บางส่วนก็พูดถึงฝีมือดาบของรองหัวหน้าครูฝึกทหารและผู้ช่วยนายกองเรือวัยฉกรรจ์
อย่างไรก็ตามอดมีคำตำหนิถึงการเข้าร่วมประลองอาวุธของเจ้าทิพไม่ได้... ว่าไม่เหมาะสม มิได้เจียมฝีมือตนเองเลย สองสามวันก่อนยังโดนองค์ชายอัศวเมฆทรงทุบตีบาดเจ็บ ครั้งนี้หาเรื่องใส่ตัวอีกแท้ๆ
ไม่นานนักได้ยินเสียงประโคมปี่กลองนำ พระเจ้าศรีมหาราชและพระเจ้าฤทธิเทวาเสด็จพร้อมพระราชวงศ์และเซียงจือกงในฐานะพระราชอาคันตุกะ เสียงชาวเมืองและขุนนางบนอัฒจันทร์พลันเงียบลง สักครู่เห็นเจ้าชีวิตทั้งสองทรงปรากฏพระองค์ขึ้นมาจากช่องทางเสด็จด้านหลังข้างปะรำที่ประทับ เมื่อทรงพระดำเนินเข้าประทับบนพระที่นั่งทั้งสองพระองค์แล้วบรรดาขุนนาง เจ้าพนักงานและชาวเมืองต่างพากันถวายบังคมและกล่าวสดุดี พร้อมเสียงปี่กลองยุติลง
จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่พิธีการประลองอาวุธคัดเลือกขุนพลฉลูนักษัตรแห่งเมืองปตานี
ขุนพลสิงหลผู้อยู่ในลานประลองเบื้องหน้าปะรำที่ประทับ กราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดังถึงรายละเอียดของพิธีการและเบิกตัวผู้เข้าประลองสู่สนามแข่งขัน เพียงไม่นานผู้ชมทั้งสนามจึงได้เห็นนักสู้ที่มีวัยตั้งแต่รุ่นหนุ่มถึงวัยฉกรรจ์จำนวน ๘ คนเดินเรียงกันออกมาจากช่องประตูทางทิศใต้ของลานประลอง
คนแรกคือ องค์ชายอัศวเมฆ...
การประลองไม่ถือยศศักดิ์สูงต่ำ ทุกคนคือนักสู้เหมือนกันหมด ทำให้องค์ชายทรงคุกชานุกับพื้นเช่นเดียวกับนักสู้คนอื่น แต่กระนั้นการเรียงลำดับแนะนำตัวก็ยังเรียงตามยศศักดิ์
“ผู้เข้าประลองคนแรก คือองค์ชายอัศวเมฆ พระราชบุตรแห่งนครปตานี นอกจากทรงเชี่ยวชาญการเมืองการปกครอง ยังทรงศึกษาฝึกฝนเพลงอาวุธทั้งหลายจนทรงพระปรีชาสามารถเหนือนักรบทั่วไป” ขุนพลสิงหลกราบทูล ในขณะที่องค์ชายใหญ่ทรงถวายบังคมไปพร้อมกัน ซึ่งผู้รับการขานนามถัดไปก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
“คนที่สอง คือพลาสิน รองหัวหน้าครูฝึกทหารประจำกองทัพ เป็นผู้มีฝีมือรบสูงสุดในบรรดาครูฝึกทั้งหมด”
“คนที่สาม คือสิงขร ราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวง เป็นผู้มีฝีมือเชิงอาวุธเก่งกล้าที่สุดในบรรดาราชองครักษ์ทั้งหมด”
“คนที่สี่ คือ อาโป ผู้ช่วยนายกองเรือ ได้ออกรบและเป็นผู้สังหารหัวหน้าโจรสลัด ครั้งจัดทัพเรือไปช่วยเมืองปะหังปราบพวกโจรทะเลเมื่อ ๒ ปีก่อน”
“คนที่ห้า คือ พายัน หัวหน้ากองม้าจู่โจมเร็ว ๑,๐๐๐ ตัว สังกัดนายกองม้า เคยนำกำลังไปช่วยปราบโจรที่เมืองสายบุรีเมื่อ ๓ ปีก่อน”
“คนที่หก คือ สะเทิง รองหัวหน้าด่านไทร ด่านชายแดนข้ามเมืองไทรบุรี มีผลงานจับกุมและสังหารโจรร้ายกว่า ๒๐ คนที่หนีข้ามชายแดนสองฝั่งในรอบ ๓ ปี”
“คนที่เจ็ด คือ ปาหัต ผู้ช่วยหัวหน้ากองพระตำรวจ สังกัดเจ้ากรมเมือง ผู้ไล่ล่าจับตัวผู้ร้ายก่อคดีอุกฉกรรจ์กว่า ๒๐ คดี”
ตลอดเวลาที่บุคคลทั้งเจ็ดได้รับประกาศนาม ชาวเมืองต่างปรบมือโห่ร้องต้อนรับ แต่เมื่อเริ่มประกาศนามสุดท้ายกลับคล้ายมีบางอย่างก่อตัวขึ้น ทำให้บรรยากาศชะงักลง
“คนที่แปด คือเจ้าทิพ บุตรชายพระเจ้านครปตานี”
เป็นเพียงนามสั้นๆ ไม่มีศักดิ์ ไม่มีสรรพคุณให้เอ่ยอ้าง ไม่มีเสียงโห่ร้องต้อนรับ...
--------------------------------------------------
ขุนพลใหญ่สิงหลเป็นผู้รับสนองพระราชโองการรับผิดชอบพิธีการประลอง แต่เนื่องเพราะบุตรชายเข้าร่วมชิงชัย จึงขอพระราชทานอนุญาตให้ขุนพลธรณิน รองขุนพลใหญ่ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินชี้ขาดการแข่งขัน
บัดนี้ขุนพลธรณินได้ก้าวเข้ามายังลานประลองพร้อมกลุ่มทหารซึ่งแบกแคร่มาสามตัว วางเรียงเบื้องหน้าคณะผู้เข้าแข่งขัน แคร่ด้านซ้ายและขวาเป็นแคร่ว่างเปล่า ส่วนแคร่ตัวตรงกลางมีคันธนูกองสุมอยู่
“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท...” ขุนพลธรณินกราบบังคมทูลพระเจ้าศรีมหาราชผู้เป็นองค์ประธาน “การประลองจะเริ่มต้นจากการคัดเลือกคันธนูที่ผู้เข้าแข่งขันจักต้องใช้ในการประลอง เป็นคันธนูชั้นยอดซึ่งผ่านการคัดสรรมาแล้วจำนวน ๒๐ คัน ผู้เข้าแข่งขันต้องช่วยกันเลือกคันธนูที่ดีที่สุดให้เหลือเพียง ๘ คัน เพื่อใช้ในการประลองยิงธนู... ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตเริ่มดำเนินการ ณ บัดนี้ พระพุทธเจ้าข้า”
สิ้นคำกราบทูล ผู้เข้าแข่งขันต่างเดินเข้าไปรุมล้อมแคร่ตัวกลางที่มีคันธนูกองสุมอยู่ องค์ชายอัศวเมฆและเจ้าทิพซึ่งอยู่ลำดับหัวแถวและท้ายแถวเมื่อทรงดำเนินและเดินไปล้อมแคร่ จึงอยู่ชิดติดกัน
ทุกคนแต่งกายในชุดทหารตามยศศักดิ์ของตน มีเพียงเจ้าทิพที่แต่งกายชุดสามัญชน สะพายกระบอกไม้ไผ่อยู่กลางหลัง สองมือเกี่ยวจับเชือกที่คล้องสะพายด้านหน้าไว้มั่นประหนึ่งสิ่งของมีค่า
“เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย.. ตอนลงแข่งขันเขาจะจัดเตรียมซองใส่ลูกธนูให้ ไม่ต้องพกกระบอกไม้สะพายติดตัวมาเยี่ยงนี้หรอก”
พระดำรัสขององค์ชายเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากผู้เข้าแข่งขันหลายคน
การประลองใช้วิธีจับสลากลำดับก่อนหลัง ผู้เข้าแข่งขันก่อนจะได้สิทธิ์เลือกคันธนูก่อน ดังนั้นทุกคนจึงต้องช่วยกันเลือกคันธนูที่ดีที่สุดทั้ง ๘ คันเพราะตนเองอาจต้องหยิบคันธนูลำดับท้ายๆ ลงสู่สนามแข่งขันก็เป็นได้
การคัดเลือกคันธนูกลางลานประลองแท้จริงแล้วก็เพื่อให้ผู้ชมได้ยลบุคลิกภาพของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน... ก่อนจะลงสนามในสภาพปกปิดหน้าตา มิอาจจำแนกตัวตนได้
ผู้เข้าแข่งขันต่างหยิบฉวยคันธนูที่วางอยู่บนแคร่ขึ้นมาพิเคราะห์และทดสอบ เสียงปล่อยสายเอ็นหนังดังเฟี้ยวฟ้าวไม่ขาดระยะ แม้ไม่มีลูกธนูมาทดสอบแต่ก็สามารถประเมินประสิทธิภาพของคันธนูได้ บ้างกล่าวชมเชยหรือตำหนิคันธนูในมือของตน มีเพียงเจ้าทิพที่ท่วงท่าการพิเคราะห์คันธนูไม่เหมือนใคร การดึงสายเอ็นหนังมิได้กระทำสุดแรง บางครั้งก็เอานิ้วสอดเข้าไปตรงซอกมุมปลายคันธนู ณ จุดเกี่ยวกับสายเอ็นหนัง แล้วยกขึ้นปล่อยให้แกว่งไกวไปมา สลับทำทีละข้าง ดูไปคล้ายกำลังละเล่นแต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมจริงจัง
เมื่อทุกคนได้ทดสอบคันธนูทั้ง ๒๐ คันแล้ว ต่างแย่งกันนำเสนอว่าคันไหนดีหรือไม่ดี แต่สิงขรได้ตัดบทเสนอให้องค์ชายอัศวเมฆเป็นผู้นำสรุปเพียงผู้เดียวเพื่อไม่ให้สับสน ซึ่งทั้งหมดก็คล้อยตามแต่โดยดี
องค์ชายอัศวเมฆทรงหยิบคันธนูขึ้นมาทีละคัน โดยทรงเลือกหยิบคันที่มีผู้ให้ความเห็นสอดคล้องไปในทางเดียวกันก่อนหน้าว่าดีหรือมีตำหนิขึ้นมาก่อน ทรงสรุปพิเคราะห์ด้วยความเฉียบขาดและฉาดฉาน ซึ่งทั้งหมดต่างเห็นสอดคล้อง
มีเพียงเจ้าทิพที่นิ่งเงียบมิได้ช่วยออกความเห็น...
หรือบางทีอาจมิกล้าออกความเห็นใดๆ
--------------------------------------------------
พระเจ้าศรีมหาราชซึ่งทอดพระเนตรโดยตลอดรับสั่งชมเชยในตัวองค์ชายอัศวเมฆ ทั้งความองอาจในการประคองคันธนูขึ้นง้าวและการพิเคราะห์ลักษณะธนู พระเจ้าฤทธิเทวารับสั่งตอบว่าเป็นเพราะได้อาจารย์ดีคือขุนพลสิงหล
ขุนพลสิงหลซึ่งบัดนี้ขึ้นมานั่งเฝ้าถวายงานใกล้ชิดในปะรำที่ประทับจึงกราบทูลว่า... เป็นเพราะองค์ชายทรงใฝ่พระทัยศึกษา ทำให้ทรงพระปรีชาสามารถ หาใช่เพราะได้อาจารย์ดีไม่
คำกราบบังคมทูลสร้างความปิติชื่นชมแด่องค์เหนือหัวทั้งสองพระองค์
“ท่านช่างโชคดีนัก จากที่เราเห็นผู้เข้าประลองในวันนี้ ก็พอจะประเมินได้ว่าท่านมีทหารหาญอยู่มากมาย กองทัพของท่านต้องเข้มแข็งที่สุดในบรรดา ๑๒ เมืองเป็นแน่” พระเจ้าศรีมหาราชรับสั่งขึ้นด้วยพระทัยเบิกบาน
“พระองค์ทรงยกย่องทหารของหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว หากมีข้าศึกมาจริงคงต้องรวมพลังทั้ง ๑๒ เมือง มีทัพเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแกนนำ จึงจะเข้มแข็งจนไม่มีผู้ใดชนะได้” ตรัสแล้วทั้งสองพระองค์ต่างทรงพระสรวลด้วยความสำราญพระหฤทัย
ขณะนั้นมีเสียงผู้ชมตะโกนขับไล่เจ้าทิพให้ออกจากการแข่งขัน ทั้งเสียงหัวเราะเย้ยหยันต่อชายหนุ่มที่มิได้กระทำสิ่งใดเลย นอกจากยืนนิ่งเงียบงันดั่งคนเขลา
พระเจ้าศรีมหาราชจึงตรัสขึ้นว่า
“ลักษณะของเจ้าทิพเหมาะที่จะเป็นช่างฝีมือ ก่อนหน้าเมื่อสักครู่ดูไปคล้ายนายช่างพินิจพิเคราะห์วัสดุและโครงสร้างของคันธนู แต่ตอนนี้จะให้วิจารณ์ถึงประสิทธิภาพคงกระทำได้ยาก”
“คงจะจริงอย่างที่พระองค์รับสั่ง หม่อมฉันได้ยินมาว่าเจ้าทิพอยู่ที่เมืองนครฯ ศึกษาแต่งานช่างงานศิลป์จากตาของเขา แต่งานสร้างธนูประดิษฐ์อาวุธคงจักไม่ได้เรียนรู้”
“บุตรของท่านคนนี้ไม่เคยจับต้องอาวุธ ไหนเลยจะเคยสร้างอาวุธ... แต่ถ้าเป็นงานช่างงานศิลป์ ถึงอายุจะน้อยแต่ฝีมือเข้าขั้นครู... หากไม่ใช่เพราะเป็นบุตรของท่าน แต่เป็นคนทั่วไปที่เข้ารับราชการในกรมวัง วันหนึ่งคงจะได้เป็นนายกองช่างหลวงสืบต่อจากตาของเขาเป็นแน่”
ตำแหน่งสูงสุดของช่างหลวงคือนายกองช่างหลวง สังกัดกรมวัง การจะขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ต้องเป็นผู้มีฝีมือเหนือช่างทั้งปวง
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ไม่สามารถห้ามปรามเจ้าทิพได้ ทำให้การประลองในครั้งนี้ไม่เป็นที่สำราญพระหฤทัยของพระองค์”
พระเจ้าเมืองนครฯ ผู้เป็นใหญ่เหนืออาณาจักรสิบสองนักษัตรทรงหันพระพักตร์มายังพระเจ้าปตานี มิได้มีพระอาการขุ่นข้องหมองพระทัยแต่อย่างใด
“ท่านอย่าได้รับสั่งเช่นนั้น... การที่เจ้าทิพไม่อยู่ในที่ของเขา คงจะไปห้ามปรามไม่ได้ ด้วยข้อกำหนดและธรรมเนียมที่เจ้าตัวยกมาอ้าง... เราเพียงกังวลว่าในการประลองยิงธนู เขาคงไม่บาดเจ็บเป็นอันตราย”
ที่ของเขา... สำหรับองค์พระประมุขแห่งแคว้นตามพรลิงค์แล้ว ทรงหมายถึง... งานช่างงานศิลป์
“หม่อมฉันเองก็ตระหนักว่าเขาไม่รู้วิชาการสู้รบจึงเป็นห่วง... สุดท้ายก็เป็นสภาพที่ไม่น่าดูเช่นนี้”
ฝ่ายพระราชธิดาวิสาณีซึ่งประทับอยู่เบื้องข้างพระราชบิดา ทรงรู้สึกสลดพระทัยที่เห็นชายคนรักไปยืนอยู่กลางลานประลองแต่กลับดูแปลกแตกต่าง ทั้งการแต่งกายและการ “ไม่มี” ส่วนร่วมกับกลุ่มผู้เข้าประลอง ครั้นทรงคำนึงถึงตอนแข่งขันยิงธนูอาจจะได้รับบาดเจ็บเป็นอันตราย ยิ่งหวาดหวั่นในพระทัย...
--------------------------------------------------
ไม่นานธนูบนแคร่กลางก็ว่างเปล่า ธนูที่ไม่ต้องการถูกคัดแยกไปวางกองไว้บนแคร่ด้านทิศตะวันตกจำนวน ๑๑ คัน และธนูที่ได้รับคัดเลือกนำไปวางกองอยู่บนแคร่ด้านทิศตะวันออกจำนวน ๗ คัน ยังเหลืออีก ๒ คันซึ่งอยู่ในหัตถ์ซ้ายและขวาขององค์ชายอัศวเมฆ
(มีต่อ)