Who is the Killer? บทที่ ๓

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ มาช่วยลุ้นนายอเนชาตามหาฆาตกรกันต่อนะคะ ^^

ความเดิม
บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/37540847
บทที่ ๒ https://pantip.com/topic/37609020

###

บทที่ ๓

เขาไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เขาคิดว่ารถช็อปเปอร์ที่ตนซ้อนท้ายอยู่นั้นขับช้าลงและดูเหมือนจะวนอยู่ในซอยเดิมสองสามรอบแล้ว

เขารู้สึกหงุดหงิด แต่พอเริ่มรู้สึกเท่านั้น ร่างกายเขาก็ร้อนลวกขึ้นมา

เขาไม่รู้ว่าคนที่ตนเกาะบ่าอยู่จะรู้สึกหรือไม่ เธอไม่ได้หันกลับมามอง ไม่ได้มีอาการสะดุ้งสะเทือนเสียเลยด้วยซ้ำ

เขาเริ่มทนไม่ไหว ขณะกำลังจะอ้าปากถามออกไป สายตาของเขาก็พลันปะทะเข้ากับวัตถุสีขาวที่เพิ่งแล่นสวนไปอย่างรวดเร็ว

"นั่น! กระบะคันนั้น!" เขาร้องออกไปพร้อมกับตบบ่าคนข้างหน้า "ตามไปสิ เร็วเข้า!"

รถช็อปเปอร์พลันหันหัวเลี้ยวกลับ ทว่าแทนที่จะตามกระบะสีขาวคันนั้น มันกลับหยุดจอดอยู่ข้างทาง คนขับช็อปเปอร์ถอดหมวกนิรภัย แล้วหันมาทางเขา ก่อนจะเอื้อมมือดึงหมวกนิรภัยที่เขาสวมอยู่ออก แล้วดึงหูกระต่ายยาวๆ ซึ่งโผล่มาจากข้างศีรษะเขาได้อย่างไรไม่ทราบ

"โอ๊ย! เฮ้ย! เบาๆ"

"ต้องดึงให้มันหายตื่นตูม" ตัวแทนสามสี่เจ็ดบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พร้อมกับทึ้งหูเขาเป็
นการใหญ่ กระทั่งขนสีขาวหลุดกระจุยกระจาย

"โอ๊ย! พอแล้ว หายแล้วๆ" อเนชาว่า พลางยกมือคลำหูที่กลับมาเป็นสภาพเดิมป้อยๆ "
แล้วจะไปตามกระบะคันนั้นไปหรือ"

"ไปสิ" หญิงสาวว่า พร้อมกับสวมหมวกนิรภัยของตนกลับไปใหม่ "เกาะดีๆ ล่ะ"

เขารับคำแล้วขยับตัว ทว่ายังไม่ทันนั่งเข้าที่ ช็อปเปอร์เจ้ากรรมก็บึ่งออกไปด้วยความเร็วจนเขาแทบหงายหลังตกจากรถ

---

พวกเขาตามกระบะสีขาวคันนั้นมาจนทันในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง

อเนชามองท้ายกระบะแล้วก็เพิ่งเข้าใจ เขาจำทะเบียนรถไม่ได้เพราะมันไม่ติดป้ายทะเบียน แม้แต่ตรายี่ห้อรถก็ถูกแกะออกไปด้วย

กระบะคันนั้นบรรทุกของเสียเต็ม แต่ไม่ทราบว่าบรรทุกอะไรเพราะมีผ้าใบคลุมไว้อย่างมิดชิด มันขับลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยวจนกระทั่งมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง

จะว่าเป็นบ้านก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากนัก ดูกึ่งๆ จะเป็นโกดังเก็บเครื่องเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ไม่ใช้แล้วเสียด้วย

เครื่องเรือนเหล่านั้นวางระเกะระกะทั่วไปหมด ตั้งแต่โต๊ะกินข้าวขาหักพร้อมเก้าอี้เบาะทะลุ ไปจนถึงโทรทัศน์หลอดภาพที่ดูเหมือนจะผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว

รถช็อปเปอร์เคลื่อนไปจอดอยู่ที่ริมทางฝั่งตรงข้ามกับบ้านหลังนั้น อเนชากับตัวแทนสามสี่เจ็ดลงจากรถ ยืนมองรถกระบะคันนั้นอยู่

ประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับเปิดออก ชายวัยรุ่นสองคนทะยอยกระโดดลงมาจากรถ คนหนึ่งตรงเข้าไปไขแม่กุญแจปลดโซ่ล่ามประตูรั้ว อีกคนรอจนโซ่หลุดแล้วจึงเลื่อนประตูเปิดออก จากนั้นรถกระบะจึงเคลื่อนถอยเข้าไปจอดภายในรั้ว

พอรถจอดสนิทดีแล้ว คนขับซึ่งเป็นชายกลางคนก็เปิดประตูลงมา ในขณะที่ชายวัยรุ่นคนแรกก้าวไปสับสวิตช์เปิดไฟ ส่วนอีกคนหนึ่งก็เริ่มลงมือปลดเชือกที่ผูกผ้าใบคลุมท้ายรถออก

"เฮ้ย! ระวังหน่อยสิวะ เดี๋ยวของเสียหายหมด" ชายกลางคนตวาดคนข้างๆ ซึ่งดึงผ้าใบออกเร็วเกินไปจนเกือบทำให้เก้าอี้ลายมุกที่วางซ้อนกับโต๊ะรับแขกเข้าชุดกันตกลงมาเสียหาย

"โหย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า" คนถูกตำหนิประท้วง "ตอนขนมาก็ทำหล่นไปตั้งหลายชิ้น"

"ตอนนั้นมันต้องรีบขนนี่หว่า เดี๋ยวเจ้าของบ้านกลับมาเจอก็ซวยกันพอดี" ชายกลางคนบอก ก่อนจะหันไปตวาดใส่ชายวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง "แล้วนั่นยื่นบื้อทำอะไรอยู่เล่า มาช่วยกันขนเข้าไปสิวะ รอให้พ่อมาเห็นก่อนรึไง"

อเนชาฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง สรุปว่าคนพวกนี้เพิ่งไปยกเค้ามาคนอื่นมาอย่างนั้นหรือ

เขาหันไปทางตัวแทนสามสี่เจ็ด คิดหวังว่าเธอจะมีวิธีจัดการกับคนพวกนี้ ทว่ากลับเห็นเธอยืนมองอยู่เฉยๆ

"ไม่คิดจะทำอะไรเลยรึไง" เขากระซิบ เกรงว่าหัวขโมยเหล่านั้นจะได้ยิน

"ให้ทำอะไรล่ะ" หญิงสาวบอกด้วยเสียงราบเรียบปกติ

"พวกนั้นเป็นโจรนะ เธอก็หาวิธีทำให้พวกนั้นขวัญผวาเป็นการถ่วงเวลา แล้วโทรเรียกตำรวจสิ"

"คุณเป็นผี คุณก็ลองดูสิ" เธอบอกกึ่งประชด แล้วก็หันไปยืนกอดอกพิงต้นไม้ที่ด้านข้าง

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นวิญญาณ เขามองไปที่หัวขโมยเหล่านั้นแล้วยิ้มขึ้นในใจ พร้อมกับสืบเท้าก้าวออกไป

"ว่าแต่ อยู่ในสภาพนั้นนานๆ ระวังตัวฉุดลากจะตามมาทันนะ" ได้ยินตัวแทนสามสี่เจ็ดเตือนขึ้นเช่นนั้น เขาชะงักเท้าแล้วก้มมองตัวเอง

"เฮ้ย!" เขาอุทานขึ้นทันทีที่เห็นร่างกายตนกลายเป็นนกสีดำ ปากจมูกก็ยื่นออกกลายเป็นปากนก แม้แต่มือก็มีขนนกสีดำปกคลุม

ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังนั้น ไม่ทันไรเงาดำทะมืนก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า

ความรู้สึกอยากแกล้งผู้อื่นให้สะใจพลันเปลี่ยนเป็นความกลัว ร่างของเขาจึงพลันกลับกลายเป็นกระดาษไปอีก

"ทะ...ทำไมคราวนี้มันตามมาเร็วจังวะ" เขาร้อง ขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีลมพัดพาเขาให้ลอยไปทางหมอกดำนั้น แต่ยังไม่ทันไร สวิงอันใหญ่ก็ตวัดรับตัวเขาไว้ได้ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แล้วทั้งสวิงทั้งตัวเขาก็ลอยละลิ่วหลบหนีหมอดำนั้นไปอย่างรวดเร็ว

---

"ตกลงว่ารถกระบะคันนั้นชนคุณตายรึเปล่า" ได้ยินตัวแทนสามสี่เจ็ดถามขึ้น ในขณะที่เขา
กำลังยืดร่างกายที่เพิ่งกลับมาพองเป็นตัวตนตามเดิม

"ไม่แน่ใจ" เขาก้มหน้าคิด "ถ้ารถคันนั้นชนผมจริงๆ มันก็น่าจะมีรอยเลือดหรือรอยบุบ แ
ต่เท่าที่ดู ไม่เห็นมีรอยอย่างว่าเลย มีแค่รอยขูดขีดเต็มรถไปหมด"

"สรุปว่าจะเอายังไงล่ะ จะกลับไปฆ่าคนขับคนนั้นแล้วเอาเลือดมาชุบชีวิตตัวเองไหม"

อเนชานิ่งคิดนิดหนึ่ง "ผมคิดว่าเขาไม่ได้ชนผม" เขาบอก จากนั้นจึงทอดมองออกไปยังดิ
นแดนอันเวิ้งว้าง "แต่ผมว่าเราน่าจะกลับไปที่นั่น ไปทำอะไรสักอย่างให้คนพวกนั้นขนขอ
งกลับไปคืนเจ้าของเดิม"

"ทำไม่ได้หรอก" หญิงสาวเอ่ย "เราได้แค่ดูเท่านั้น ไม่มีอำนาจไปบังคับให้ใครทำอะไรได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพวกเขาไม่มีสัมผัสสื่อกับคุณ"

"หมายความว่ายังไง"

"ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนใกล้ชิด แม้แต่หน้าตาคุณเขาก็ไม่รู้จัก จะให้เขาสื่อสารกับคุณยังไงล่ะ"

ชายหนุ่มย่นคิ้วนิดหนึ่ง "แต่เมื่อครู่คุณบอกให้ผมไปหลอกผีเขานี่"

ตัวแทนบริษัทไถ่วิญญาณจ้องเขม็งมาที่เขา "ฉันแค่ท้า แต่คุณคิดจะทำจริง ร่างกายคุณถึงเปลี่ยนไปอย่างไรเล่า"

"หนอย! แบบนี้ผมก็เสี่ยงถูกตัวฉุดลากอะไรนั่นพาลงนรกฟรีๆ น่ะสิ" พอโต้เสียงแข็งไปอย่างนั้นแล้วร่างของเขาก็พลันมีไฟลุกขึ้นพรึ่บหนึ่ง แต่พอรู้ตัวเปลวไฟนั้นก็มอดไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เพราะคุณไม่รู้จักระวังความคิดของตัวเองต่างหาก" ตัวแทนสามสี่เจ็ดบอก "เห็นไหมล่ะ ถ้าคุณรู้สึกตัวเร็ว พวกตัวฉุดลากก็ตามคุณไม่ทัน"

อเนชารู้สึกไม่พอใจจนควันเริ่มกรุ่นขึ้นมาอีก แต่แล้วเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ "ถ้ารถกระบะคันนั้นไม่ได้ชนผม แล้วแบบนี้จะหาคนฆ่าผมได้ที่ไหน"

คราวนี้คนถูกถามไม่ตอบทันที เธอทอดสายตามองออกไปในอากาศอันเวิ้งว้าง

"ก็ต้องขึ้นอยู่กำับความทรงจำของคุณแล้วล่ะ" เธอบอกออกมาในที่สุด "ถ้าคุณยังจำเหตุการณ์ก่อนตายไม่ได้ ฉันก็ช่วยตามหาคนที่ฆ่าคุณให้ไม่ได้"

ได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาก็เม้มปาก เนื้อตัวสั่นน้อยๆ เพราะความหนาว แต่พอนึกถึงฝูงตัวฉุดลากที่กัดกินเขาก่อนหน้านี้ เขาก็พยายามสลัดความผิดหวังออกไป เลิกโทษตัวเองแล้วพยายามเบี่ยงเบนความคิดให้นึกถึงอย่างอื่น

"จริงสิ" เขาอุทานขึ้นเบาๆ "พวกนั้นเป็นขโมยนี่ เราทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลยหรือ"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดชำเลืองหางตามองมา "ได้ หลอกผีไง"

"ไม่ใช่! ผมถามจริงๆ นะ เราแจ้งตำรวจไม่ได้หรือ"

"ไม่ได้หรอก ขืนโผล่ไปให้ตำรวจเห็นก็ขนหัวลุกกันทั้งโรกพักน่ะสิ"

"ไม่เห็นยุติธรรมเลย" เขาครวญออกมา "คนทำผิดทำไมถึงไม่ได้รับโทษ แล้วผมผิดอะไรถึงต้องมาตาย แถมยังถูกตัวฉุดลากตามล่าอีก" พูดถึงตรงนี้ ร่างกายเขาก็เริ่มร้อนลวกขึ้นมาอีกแล้ว เขาจึงต้องให้หลับตา สูดลมหายใจเพื่อข่มอารมณ์

"ทุกคนมีตัวฉุดลากติดตามอยู่ทั้งนั่นละ" ตัวแทนสาวบอก ครั้นเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย เธอจึงอธิบายต่อ "แต่คนอื่นจะไม่เห็นตัวฉุดลากที่ติดตามเราอยู่ เราก็ไม่เห็นของคนอื่นเหมือนกัน มีแต่เราจะเห็นตัวฉุดลากที่ติดตามเรา"

"เป็นขโยงอย่างนั่นน่ะนะ"

"ก็ใช่น่ะสิ"

อเนชายังคงไม่เข้าใจ ยังคงไม่ยอมรับ ตัวแทนสามสี่เจ็ดจึงหยิบคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตออกมาจากอากาศ จิ้มๆ ปัดๆ แล้วยื่นมาให้เขาดู

มันเป็นภาพเขาในสมัยเด็ก กำลังเอาแก้วพลาสติกสองใบมาจับแมงมุมไร้พิษที่ชักใยอยู่ที่มุมผนังด้านหนึ่งของบ้าน จากนั้นก็เอาแก้วประกบกัน รัดด้วยหนังยาง แล้วเอาไปถ่วงในอ่างบัว น้ำก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปทางช่องว่างระหว่างแก้วจนเต็ม แมงมุมซึ่งถูกขังอยู่ข้างในก็ลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำนั่นเอง

จากนั้นเขาก็เห็นเงาดำแผ่พุ่งออกมาจากร่างแมงมุม วนไปวนมาอยู่รอบตัวเขา สุดท้ายก็ลอยอยู่เหนือศีรษะเขา

"แล้วยังไงต่อ" วิญญาณหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ ตัวแทนสามสี่เจ็ดจึงทำท่าบุ้ยใบ้ให้เขาดูต่อไป

ในภาพนั้นเขาโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว กำลังไปเที่ยวทะเลกับครอบครัว วันนั้นเขาชวนน้องสาวไปเช่าเรือเพื่อพายเล่น พวกเขาพายออกไปได้ไกลพอสมควรก็ถูกคลื่นซัดจนเรือพลิกคว่ำ ตัวเขาโผล่ขึ้นมาจากน้ำได้ก็ถูกคลื่นอีกลูกซัดลงไปติดอยู่ใต้ลำเรือที่พลิกคว่ำ เขาพยายามหาทางออกแต่เพราะความตื่นตระหนกหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้เขาออกไปไม่ได้

เขาสำลัก กลืนน้ำเค็มเข้าไปมากมาย คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว ทว่าสุดท้าย ก็มีคนมาช่วยไว้ได้ คนเหล่านั้นเห็นน้องสาวของเขาก่อน แล้วน้องจึงบอกว่าพี่ชายจมน้ำหายไป คนเหล่านั้นจึงช่วยกันงมหา ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาติดอยู่ใต้ลำเรือ

นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วเขาก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย หากวันนั้นเขาตายไปจริงๆ... ตอนนี้...เขาก็ตายไปแล้วจริงๆ

ความหนาวเริ่มจับใจจับกายของเขาอีก หนาวจนตัวเริ่มสั่น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเปรียะประ ยายตัวแทนจอมโหดเอาฟืนสุมที่ขาแล้วจุดไฟเผาเขาเสียแล้ว

"หายหนาวรึยัง"

"หาย...หายแล้ว" เขาบอกน้ำเสียงตะกุกตะกัก

"ทีนี้รู้เข้าใจหรือยังว่าพวกตัวฉุดลากมาจากไหน"

อเนชามองไปที่หญิงสาว สายตายังมีความฉงน "สองเหตุการณ์นี้มันเกี่ยวกับตัวฉุดลากยังไง"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดจงใจพ่นลมหายใจยาวก่อนจะฉวยแท็บเล็ตจากมือเขา จิ้มที่หน้าจออีกสองสามทีแล้วจึงยื่นส่งให้เขาดูอีก

ภาพเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะจมน้ำฉายขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ที่เหนือศีรษะเขามีหมอกสีดำลอยตามติดอยู่ตลอดเวลา เขาเข้าไปชวนน้อง พากันไปพายเรือ หมอกสีดำก็ลอยตามไม่ยอมห่าง จนกระทั่งพวกเขาพายออกไปกลางทะเลนั่นละ หมอกสีดำก็เคลื่อนจากเหนือศีรษะเขาลงไปในน้ำ จากนั้นก็เหมือนกับหมอกนั่นดันน้ำทะเลขึ้นมา ซัดจนเรือเขาพลิกคว่ำ แล้วมันก็เคลื่อนมาครอบคลุมร่างกายเขา ดึงเขาเข้าไปใต้ลำเรือ...

พอถึงตรงนี้ ตัวแทนบริษัทไถ่วิญญาณก็หยุดภาพบนหน้าจอแท็บเล็ต

"ลองขยายภาพดูสิ หมอกนั่นคืออะไร"

เขาทำตามที่เธอบอก จิ้มนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบนหน้าจอ แล้วดึงภาพให้ขยายขึ้น แต่แทนที่ภาพจะขยายใหญ่ หมอกสีดำในภาพกลับปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาแทน มันเป็นแมงมุม รูปร่างแบบเดียวกับแมงมุมที่เขาเคยเอาไปถ่วงน้ำเป๊ะ แต่ขนาดใหญ่กว่ากันมากมายนัก

เขาชะงักนิ่งไป

"คราวนี้เข้าใจแล้วหรือยัง"

เขาไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้า

"เข้าใจแล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วย คุณไม่ได้ทรมานแค่แมงมุมตัวนั้นตัวเดียว แต่คุณทรมานชีวิตผู้อื่นมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว"

###
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่