Who is the Killer? บทที่ ๒

กระทู้สนทนา
เอานายอเนชามาส่งค่ะ ^^ (อาจจะมองไม่เห็นนะคะ เพราะหมอนี่มีแต่วิญญาณ)

ความเดิม
บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/37540847

###

บทที่ ๒

บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไป

เมื่อแรกมันเป็นเพียงที่โล่งว่างเปล่า พื้นดินมีแต่หินกรวดทรายสีน้ำตาล บนฟ้ามีเพียงสี่ดำ ไร้ชีวิต ไร้เสียงสำเนียงใดนอกจากเครื่องยนต์ของรถช็อปเปอร์ที่เขานั่งซ้อนมา

ทว่ายามช็อปเปอร์คันหรูบึ่งไปได้ไม่ถึงห้านาที เขาก็ได้ยินเสียงวุ่นวายจากท้องถนนอันคุ้นเคย เสียงแตรรถยนต์ เสียงผู้คนพูดคุยเซ็งแซ่ บ้างตะโกนเรียกลูกค้า บ้างตวาดใส่กันเอง

อเนชามองสำรวจรอบกาย เห็นว่าตนเองอยู่บนถนนที่เคยขับรถผ่านมาบ่อยๆ บางครั้งยังแวะหาของกินข้างทางเสียด้วย เพียงแต่วันนี้ท้องถนนกลับดูแปลกไป ทุกสิ่งทุกอย่างดูเลือนเหมือนโปร่งแสงหน่อยๆ เหมือนจะจับต้องไม่ได้

"เฮ้ย! ระวัง!" เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นรถกระบะที่ขับอยู่ข้างหน้าจอดรอสัญญาณไฟ แต่ช็อปเปอร์ที่ตนซ้อนมากลับไม่มีทีท่าว่าจะชลอความเร็วลงเลยสักนิด

และแล้วทั้งช็อปเปอร์ คนขับ และตัวเขาก็พุ่งผ่านรถกระบะ และรถข้างหน้าคันอื่นๆ ไป ราวกับทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา

"คุณตายไปแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก" ได้ยินตัวแทนสามสี่เจ็ดตะโกนกลับมาแข่งกับเสียงถนน

...เขาเพิ่งเคยตาย จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าตนเองจะพุ่งผ่านทุกอย่างได้แบบนี้... เขานึกเถียงขึ้นในใจ

"คุณเคยตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่จำไม่ได้เองต่างหาก" ได้ยินเธอเอ่ยขึ้นเหมือนกับอ่านใจเขาได้ วิญญาณที่ไม่รู้ว่าตนเคยตายจึงได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่

ระหว่างนั้นรถช็อปเปอร์ก็เลี้ยวรถเข้าไปในซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง ที่ต้นซอยนั้นยังมีอาคารพานิชเปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของ แต่ยิ่งขับลึกเข้ามาเท่าไร ข้างในกลับเป็นชุมชนแออัด บ้านเรือนเป็นไม้ เป็นสังกะสีทรุดโทรม แต่ผู้คนก็อยู่กันได้

ไม่นานนัก สาวนักช็อปเปอร์ก็หยุดรถ

"ลงสิ" เธอบอก อเนชาจึงขยับลงจากช็อปเปอร์ จากนั้นตัวแทนสามสี่เจ็ดจึงตวัดเท้าลงจากรถ ถอดหมวกนิรภัย แล้วทั้งรถทั้งหมวกก็หายไป

"รู้สึกว่าเด็กคนนั้นจะอยู่แถวๆ นี้ละ" เธอว่า จากนั้นจึงเริ่มออกเดินเข้าไปในตรอกซึ่งปูด้วยไม้กระดาน สองข้างของตรอกเป็นเรือนสังกะสีซึ่งสร้างอย่างลวกๆ

เธอเดินไปพลางมองไปทางประตูและฝาเรือนที่ปิดอยู่ พร้อมกับพึมพำ 'ไม่ใช่...นี่ก็ไม่มี' ไปตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูสังกะสีที่มีสีสเปรย์ฉีดพ่นไว้ว่า 'ระวังหมาดุ'

"อ้า! เจอตัวแล้ว" เธอร้องขึ้นเบาๆ จากนั้นก็เดินนำเขาผ่านประตูเข้าไปโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิด

เด็กหญิงคนนั้นนอนอยู่ในบ้านที่มีฝาผนังเป็นสังกะสี หลังคาก็เป็นสังกะสีมีรูรั่ว บนพื้นปูนเย็นหยาบมีเพียงผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งปูรองเป็นที่นอน

เธอนอนอยู่ข้างหญิงกลางคนร่างผอมผิวหยาบกร้านผู้หนึ่ง ดูจากหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกัน คาดว่าหญิงผู้นั้นคงเป็นแม่ของเธอ ที่ข้างตัวผู้เป็นแม่ยังมีภาชนะโลหะบิดเบี้ยววางอยู่ แต่เนื่องจากมันเป็นภาชนะทรงสูง เวลานั้นก็มืด จึงมองไม่เห็นว่าในภาชนะนั้นใส่อะไร

เวลานั้นอาจไม่ได้เงียบสงัด เพราะยังมีเสียงรถราจากภายนอกและเสียงผู้คนพูดคุยทะเลาะกัน แต่เมื่อยืนอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่นอนอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหญิงกลางคนกรนหนักๆ ยามหายใจเข้า ตามมาด้วยเสียงหวีดเบาๆ ยามหายใจออก

ตัวแทนบริษัทไถ่วิญญาณเดินเข้าไปใกล้สองแม่ลูก แล้วจึงก้มลงพิจารณาใบหน้าของเด็กหญิง

"ท่าทางจะฝันร้าย" เธอพึมพำออกมา อเนชาจึงเดินเข้าไปใกล้บ้าง ทว่าเมื่อเห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ เท่านั้น ร่างของเขาก็มีไฟลุกพรึบทันที

"เด็กนี่ฆ่าผม!" เขาร้องตะโกนทั้งที่ไฟยังลุกไหม้ทั่วกาย "ผมจำได้ เด็กนี่เอามีดจี้ผม มันเป็นคนฆ่าผมแน่ๆ"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดดูเหมือนไม่ได้สนใจคำพูดของเขา เธอกลอกตาตลบหนึ่งแล้วถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ ก่อนที่ในมือจะมีถังน้ำสีแดงใบใหญ่ราวกับโอ่งมังกรปรากฏขึ้น ฉับพลันเธอก็สาดน้ำใส่เขาดังโครมเบ้อเริ่ม

ไฟที่เผาไหมตัวเขาอยู่ดับลงในพริบตา ร่างกายเขาก็เปียกมะล่อกมะแล่ก ทว่าบนพื้นกลับไม่มีน้ำเจิ่งนอง ไม่มีแม้แต่หยดน้ำสักหยดเดียว

"ก่อนจะฟ้องว่าถูกใครฆ่า ช่วยควบคุมอารมณ์หน่อยได้ไหม" เธอพูดกึ่งตำหนิกึ่งประชด จากนั้นจึงคว้าแท็บเล็ตออกมาแทนที่ถังน้ำ "เอาล่ะ เรื่องราวเป็นมายังไงมิทราบ"

วิญญาณอารมณ์ร้อนเพิ่งหายตกใจจึงเล่าเสียงละล่ำละลัก "ผม...เอ้อ...เด็กคนนั้นวิ่งมาตัดหน้ามอเตอร์ไซค์ผมตรงสี่แยก ผมก็เลยหักหลบ ดีที่ตอนนั้นเกือบตีสองแล้ว สี่แยกนั้นแทบไม่มีรถ ผมก็เลยไม่ถูกชนซ้ำ แค่ถลอกนิดหน่อย แต่พอผมลุกขึ้นมาเท่านั้น ยายเด็กนี่ก็ชักมีดออกมาจี้ผม"

คนที่กำลังฟังอยู่ชำเลืองมองเขาทางหางตานิดหนึ่ง จากนั้นจึงคว้ามีดเล็มหนึ่งออกมาจากอากาศ ยื่นส่งให้เขา

"ถ้าเด็กนี่ฆ่าคุณ ก็เอามีดนี่กรีดเลือดของเธอมา จะได้เอาไปชุบชีวิตคุณ"

อเนชารับมีดมา มันเป็นมีดแล่เนื้อกว้างประมาณฝ่ามือ คมมีดบางจนแทบจะผ่าเส้นผมได้เลยทีเดียว เขามองมีดเล่มนั้น แล้วมองไปที่เด็กหญิงซึ่งกำลังนอนขมวดคิ้วอยู่

เขาก้าวเข้าไปใกล้เธอ คิ้วของเขาก็ขมวดจนแทบชิดติดกัน รู้สึกว่านิ้วที่รวบกำด้ามมีดไว้แน่นนั้นเย็นเฉียบ

เขาก้มลงที่ข้างศีรษะเด็กหญิง ยื่นมือออกไป ยื่นคมมีดออกไป

...เด็กนี่ฆ่าเขา เขาฆ่ามัน เอาเลือดมันมาชุบชีวิตของตัวเองคืนก็ถูกแล้ว เป็นเรื่องสมควรแล้ว... เขาบอกตัวเองในใจ ทว่ากายกลับร้อนวูบขึ้นมาอีก ผิวหนังทั่วร่างเหมือนเป็นสีส้มแดงเรืองๆ มีควันกรุ่นขึ้นมา

"จะทำก็รีบทำเข้า ก่อนที่ตัวฉุดลากจะตามมาทัน" ตัวแทนสามสี่เจ็ดบอก "คุณมีเวลาอีกไม่ถึงนาทีแล้ว"

วิญญาณหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กระชับด้ามมีดให้แน่นขึ้นเพื่อข่มมืดที่กำลังสั่น จากนั้น...

"ไม่ใช่!" เขาโพล่งขึ้น "เด็กนี่ไม่ได้ฆ่าผม"

คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกแขนกอดอก ก่อนจะถามออกมา "สรุปว่ายังไงกันแน่ คุณตายเพราะเด็กคนนี้รึเปล่า"

"ไม่ใช่" เขายืนยันอีกครั้งพร้อมกับลุกยืนขึ้น "ผมจำได้แล้ว ยายนี่ไม่ได้ฆ่าผม"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดยกแท็บเล็ตขึ้นมาถือรอไว้ "เล่ามาสิ"

"ตอนนั้นเด็กนี่ใช้มีดจี้ผมจริงๆ มันยากได้เงิน บอกให้ผมส่งกระเป๋าสตางค์ให้ ผมลังเลในตอนแรก" เขาหยุด มองมีดในมือตัวเอง "แต่พอเห็นท่าทางมันกล้าๆ กลัวๆ ผมก็เลยยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ พอมันเอื้อมมือมารับ ผมก็..."

หญิงสาวลดแท็บเล็ตลงพลางจ้องไปที่เขา รอฟังอยู่

"จากนั้น...ผมก็ยื่นมืออีกข้างไปรวบกำข้อมือข้างที่มันถือมีดไว้ แล้วบิดไพล่หลังมัน พร้อมกับกระแทกมีดหลุดกระเด็นไป"

"ก็แปลว่าคุณไม่ได้ถูกเด็กคนนี้ฆ่าจริงๆ" เธอถาม สายตายังจ้องเขม็งมาที่เขา

อเนชาสะอึกนิดหนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ

"แล้วเมื่อครู่โกรธทำไมมิทราบ" เธอว่าราวกับผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กเล็กๆ "วันหลังหัดควบคุมอารมณ์ตัวเองเสียก่อน อย่าลืมว่าตัวฉุดจากจะตามคุณเจอได้ง่ายขึ้น ถ้าอารมณ์คุณไม่ปกติ"

คราวนี้เขาแค่พยักหน้ารับนิดหนึ่ง ร่างกายก็หดเล็กลงไปครึ่งหนึ่ง

"เอาล่ะ แล้วยังไงต่อ"

"เธอตกใจ" เขาเล่าต่อไป "ร้องด่าผมหยาบๆ คายๆ บอกให้ผมปล่อย พร้อมกับดิ้นจนหลุดจากมือผม จากนั้น..."

"จากนั้น..."

"จากนั้นเธอก็ผลักผมไปตรงถนน ตอนนั้นมีรถกระบะขับมาพอดี มันพุ่งตรงมาหาผม!" เขาบอกพร้อมกับทำหน้าตาตื่น "รถกระบะคันนั้นต้องชนผมตายแน่ๆ"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดจิ้มแท็บเล็ตหนักๆ ทีหนึ่ง แล้วลดอุปกรณ์ในมือลง พลางมองมาที่เขา "ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องตามหาคนขับกระบะคันนั้น"

วิญญาณหนุ่มผงกศีรษะ ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกระแอมไอดังขึ้น ทำเอาเขาสะดุ้งด้ว
ยความตกใจ พอมองไปยังต้นเสียงจึงเห็นว่าเป็นแม่ของเด็กหญิงนั่นเอง เธอดันกายลุกขึ้
นนั่น พร้อมกับสำลักโขลกๆ จนทำให้เด็กหญิงต้องรีบยื่นมือไปหยิบภาชนะบิดเบี้ยวข้างกายมารดามารองให้ พร้อมกับลูบหลังเบาๆ มารดาของเธอก็บ้วนเสมหาปนเลือดลงในภาชนะนั้น

"ขะ...ขะ...เขาเป็นอะไรน่ะ" อเนชาถามเสียงตะกุกตะกัก

"ไม่รู้สิ" ตัวแทนจากบริษัทไถ่วิญญาณเอ่ย "พวกเขาไม่มีเงินไปหาหมอ ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร"

"แล้วคุณ...ค้นข้อมูลไม่ได้หรือ" เขาถาม พลางชี้ไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมืออีกฝ่าย

ตัวแทนสามสี่เจ็ดจ้องเขม็งไปที่เขา "นี่มันข้อมูลของบริษัทไถ่วิญญาณ ไม่ใช่เวชระเบียน" ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวหันหลัง ทำท่าจะเดินจากไป

"เดี๋ยวสิ จะไม่ช่วยเขาจริงๆ เหรอ"

"ไม่ต้องห่วง ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตายในวันสองวันนี้หรอกน่า" หญิงสาวตอบโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา

"แต่วันที่สามเขาอาจจะตายก็ได้นี่"

คราวนี้เธอหันกลับมาส่งสายตาเขียวปัดใส่เขาทีหนึ่ง หยิบแท็บเล็ตออกมาจิ้มๆ ปัดๆ จากนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปากของเธออย่างมีเลศนัย "เขามีเวลาสามวัน หลังจากนั้นยังไม่รู้ชะตากรรม"

"อ้าว เฮ้ย ทำไมไม่รู้ล่ะ"

"ไม่รู้ก็คือไม่รู้ อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน แล้วนี่จะไปกันได้รึยัง" เธอว่าแล้วก็สะบัดผมก้าวออกจากบ้านโทรมๆ หลังนั้นไปทางประตูที่ไม่ได้เปิด

อเนชามองสองเด็กหญิงที่พยายามประคองแม่ลงนอน รู้ตัวว่าเป็นเพียงแค่วิญญาณ ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ เขาจึงจำต้องกำหมัดตัดใจ แล้วเดินตามตัวแทนสามสี่เจ็ดออกมา

---

พวกเขาก้าวมาตรงจุดที่ลงจากรถช็อปเปอร์เมื่อครู่ จากนั้นตัวแทนจากบริษัทไถ่วิญญาณจึงสะบัดหันมาทางเขา

"เอาล่ะ คุณจำอะไรเกี่ยวกับกระบะคันนั้นได้บ้าง" เธอถาม ในมือถือแท็บเล็ตรออยู่

วิญญาณหนุ่มหรี่ตาอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายนัยน์ตาของเขาก็ว่างเปล่า เขาส่ายหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ

"ทะเบียนรถ สี ยี่ห้อ จำไม่ได้เลยหรือ"

เขายังคงส่ายหน้า "ตอนนั้นมันมืด แล้วรถก็มาเร็ว มองไม่เห็นทะเบียนหรอก ยี่ห้อก็มองไม่ทัน ส่วนสี...น่าจะเป็นสีขาวละมั้ง"

หญิงสาวชำเลืองมองเขา มือถือที่จิ้มแท็บเล็ตยกค้างไว้อยู่ "จำได้แค่นี้จะไปหาเจอได้ยังไง" เธอบอกออกมา

"แล้วใช้กระจกบานนั้นไม่ได้หรือ แบบตอนที่หายายเด็กนั่นน่ะ"

"กระจกดึงภาพจากความทรงจำของคุณ ถ้าคุณจำอะไรไม่ได้ กระจกก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก" เธอว่าพร้อมกับโยนแท็บเล็ตหายไปในอากาศ ก่อนที่ช็อปเปอร์คันเดิมจะปรากฏขึ้นพร้อมกับหมวกนิรภัยสองใบ

"เราลองไปดูที่เกิดเหตุก่อนก็แล้วกัน เผื่อคุณจะช่วยกระตุ้นความทรงจำของคุณได้" เธอว่าพร้อมกับยื่นหมวกนิรภัยมาให้เขาใบหนึ่ง ก่อนจะสวมของตนเอง

เขารับหมวกนิรภัยมา ถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น

"ถ้าเจอคนที่ฆ่าผมแล้ว ผมจะต้องฆ่าเขาเพื่อเอาเลือดมาชุบชีวิตตัวเองจริงๆ หรือ"

"ก็อย่างนั้นสิ" ตัวแทนสามสี่เจ็ดตอบโดยไม่หันกลับมามองเขา

"ต้องใช้เลือดเยอะขนาดไหนกัน แค่กรีดแขนเอาเลือดมา ไม่ต้องถึงกับฆ่าไม่ได้หรือ"

"ต้องใช้เยอะ" เธอบอก ยังคงไม่หันกลับมา "ต้องเอามาอาบตัวคุณนั่นละ" เธอว่า แล้วจึงเร่งให้เขาขึ้นรถ ก่อนจะขับบึ่งออกไปด้วยความเร็วอีกครั้ง

###
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่