






นี่เป็นกระทู้แรกนะคะ ขออภัยในการพิมพ์หรือใช้คำมา ณ ที่นี้ค่ะ
ขอเล่าเหตุการณ์ก่อนนะคะ ปัจจุบันทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทผลิตอาหารและส่งขายให้ร้านอาหารในเครือเดียวกันแห่งหนึ่ง(ใจกลางกรุงเทพ)(ชื่อแบรนด์เกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์)
ซึ่งปกติในแผนกมีกันอยู่สองคน(ขอใช้อักษรย่อว่าค.) เนื้องานก็คือผลิตวัตถุดิบเพื่อไปประกอบอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว (เช่น ซอสเย็นตาโฟ,น้ำต้มยำ,หมูเด้ง,หมูซีอิ๊ว,หมูหมักใส่ในเกี๊ยวทอดและอื่นๆ) การผลิตของก็ตามออร์เดอร์ที่หน้าร้านสั่งค่ะ แต่บางวัตถุดิบที่สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสื่อมคุณภาพเราจะผลิตเยอะเพื่อสต๊อกของเอาไว้ซึ่งทำให้บางวันเราว่างงานเพราะของที่ผลิตมีพอส่งให้ร้าน
เวลาเข้างานปกติคือ7:00-16:00น.โดยไม่มีO.T.ใดๆหัวหน้างานบอกเหตุผลว่าบางวันว่างบางวันทำเยอะจึงไม่ให้มีO.T. เราก็ยอมรับได้ค่ะ เพราะมันก็เรื่องจริง แผนกเราหยุดทุกวันอาทิตย์และตามวันหยุดประจำปี
บริษัทนี้ดีค่ะแต่ส่วนตัวคิดว่าหัวหน้างานงี่เง่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน ขอบอกก่อนค่ะว่าหัวหน้าโดยตรงคนนี้เป็นเกย์(ขอใช้อักษรย่อว่าต.นะคะ)โดยปกติแล้วชอบมาขอยืมเงิน โดยก่อนเกิดเหตุการณ์นี้เขาได้ไลน์มาขอยืมเงินจำนวน4,000บาท แต่เราไม่มี จึงปฏิเสธไป และหลังจากนั้นไม่กี่วันเรากับเพื่อนได้แบ่งงานกันกับค.แต่เพื่อนดันทำงานเกินสี่โมงเย็น แต่เราไม่รู้เพราะเรากลับห้องไปแล้ว วันต่อมา มีหัวหน้าของต.(ขอใช้อักษรย่อว่าบ.ค่ะ)มาหาเราแต่เช้าแล้วถามว่าเมื่อวานเรากลับกี่โมง เราตอบว่าสี่โมงค่ะ เขาถามค.ต่อว่ากลับกี่โมง ค.ตอบว่าห้าโมงครับ เราเลยงงว่าทำไมกลับช้า จากนั้นบ.ก็เรียกเราไปคุยว่าทำไมไม่มีน้ำใจช่วยงานคนอื่น เราจึงตอบไปว่าเราได้แบ่งงานกันแล้ว แต่ไม่ทราบจริงๆว่าเขาทำไม่เสร็จ เขาก็เงียบและกลับไป เราจึงไปถามค.ว่า กลับห้าโมงเลยหรอ ค.จึงได้เล่าความจริงให้ฟังว่าต.เขาโทรมาหาว่าถ้าบ.ถามว่าเมื่อวานกลับกี่โมงให้ตอบว่าห้าโมงนะ ห้ามบอกเราเดี๋ยวบ.ก็ถามเอง เมื่อเราได้ยินแบบนั้น จึงเกิดคำถามว่า ทำไมเขาต้องนัดแนะกันทั้งๆที่ค.เสร็จงานประมาณสี่โมงครึ่ง เราคิดไปต่างๆนาๆ เรารู้สึกไม่สบายใจคืนนั้นเราเลยโทรหาบ.เล่าความจริงที่ค.เล่ามา บ.ก็ได้แต่รับฟังและบอกว่าอย่าคิดมาก ตอนนั้นเราก็ยังคิดซ้ำๆว่าต.เขามีแผนอะไร หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เราเริ่มห่างจากต. มีคุยกันบ้างเรื่องงานอย่างเดียว(ขอบอกก่อนนะคะว่าแต่ก่อนเราสนิทกับต.มาก ไปเที่ยว พูดคุย ปรึกษา เฮฮา) แต่เราก็ยังทำงานปกติจะมีคุยกับค.ว่าเรารู้สึกอึดอัดไม่อยากทำงานร่วมต. ค.ก็เห็นด้วยอยากจะหางานใหม่กันทั้งสอง
จนวันนึงอีกบริษัท(แต่ในเครือเดียวกัน(เจ้าของคนเดียวกัน))พนักงานเขาลาออกสองคนซึ่งคนละตำแหน่งกัน ทำให้เรากับค.เห็นช่องทางและโอกาศในการเปลี่ยนงานไปเข้าอีกบริษัทนึง เราได้ติดต่อพูดคุยกับหัวหน้าอีกฝั่ง(ขอใช้อักษรย่อว่าก.)ว่าถ้าเรากับค.ลาออกจากที่เดิมแและไปสมัครเข้าจะได้ไหม ก.ตกลงยอมรับ
เช้าของอีกวันเราจึงแจ้งต.ว่าขอใบลาออกสองใบ และบอกว่าจะไปทำงานใหม่กับก. ตอนแรกต.เขาก็รับฟังเฉยๆไม่มีปฏิกริยาอะไรแต่ไม่ยอมปริ้นใบลาออกให้เรากับค.เซ็นต์ ตอนเย็นเราจึงถามต.ซ้ำว่าใบจะปริ้นให้เราตอนไหน ต.เงียบและบอกว่าให้เราไปหาไฟล์ในคอมเอาเอง เราก็นั่งหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอทันใดนั้นพนักงานของก.ได้เข้ามายื่นใบลาออกพอดี เราเลยถามก.ว่ามีใบลาออกอีกไหม พอดีหาแล้วมันไม่เจอ ก.บอกว่ามันคนละบริษัทใช้ร่วมกันไม่ได้ ก.เลยให้พนักงานเขาโทรไปหาฝ่ายบุคคลว่าขอใบลาออกบริษัทเราหน่อย ฝ่ายบุคคลบอกว่าไม่ได้ ให้เราไปขอกับหัวหน้าเอง เรากระวนกระวายใจเพราะวันที่เราคุยคือวันที่30/4/2561 ตอนคืนนั้นเราจึงไลน์ไปหาต.ว่าหาใบไม่เจอซึ่งเรารู้แล้วว่าต.มีแพลนจะหยุดงาน เราเลยบอกต.ว่า ถ้างั้นต.กลับมาวันไหนก็ค่อยมาปริ้นให้

แต่เราขอลงวันที่เขียนเป็นวันที่30/4/2561 ต.ก็ยอมรับ
ต.กลับมาทำงานในวันที่3/5/2561และเรียกเรากับค.คุยว่า จะออกจริงใช่ไหม คิดว่าบ.จะยอมหรอ เราก็บอกว่าจริงค่ะ เราสองคนอยากเปลี่ยนงาน(ทั้งๆที่ในใจเราอึดอัดกับต.) ต.ก็เงียบไปแต่ก็ไม่ปริ้นใบเหมือนเดิม อยู่ๆเราก็ได้รับสายจากบ.ว่าให้เราเข้าไปหาที่ตึกตอนบ่ายนี้เลย เรากับค.ก็ไปหา บ.ก็ถามเรากับค.ว่ามีปัญหาอะไรให้เล่ามาทั้งหมด เราก็เล่าปัญหาที่เราเจอทั้งหมด(ขอบอกก่อนว่าต.ทำงานกับบ.มา5ปี เราทำงานได้2ปี)หลังจากบ.ได้รับฟังก็ตอบเรากลับมาว่าอย่าคิดมากสงสัยต.เขาคงเครียดเรื่องอื่นเขาไม่ได้คิดร้ายหรอก เขาเป็นห่วง ตอนนั้นเรายังยืนยันจะออก บ.หลุดพูดมาว่า ถ้าเรากับค.ออก ต้องไปทำที่อื่น ที่ไม่ใช่กับก.(บ.กับก.ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่)ถ้าเราไปทำ บ.จะไปบอกฝ่ายบุคคลว่าห้ามรับเรากับค. ตอนนั้นเราฟังแบบไม่ได้คิดอะไร

แต่ยังยืนยันว่าจะไป บ.เริ่มถามว่าการเขียนใบลาออกนับ30วันถึงจะมีผล คิดว่า30วันจะสอนคนให้ทำงานเป็นหรอ บ.ก็เริ่มสอนให้เราคิดบวกนู่นนี่ และจบด้วยคำว่าอย่าไปเลย ทำให้เราสองคนตัดสินใจจะไม่ออก ตอนนั้นเรากับค.สับสน ใจนึงเราก็สงสารเขาแต่อีกใจก็อยากเปลี่ยนงาน เราจึงถามเขากลับไปว่า"หนูได้ข่าวว่าพนักงานคนเก่า(อักษรย่อม.)ที่เคยทำงานเขาจะกลับมาหรอคะ(เขาติดทหารและกำลังได้ปลด) หนูสองคนจะยังไม่ออกจนกว่าเขาจะมาทำงานค่ะ" เขาก็เงียบไป เราถามเขาว่าพนักงานเก่าจะกลับมาวันไหน บ.ตอบเราว่าวันที่4เดือนนี้ ซึ่งก็คือพรุ่งนี้ บ.ก็ให้เรากลับบ้านไปเพราะมันสี่โมงแล้ว แต่แล้วสิ่งที่บ.ทำหลังจากเรากลับคือ โทรไปหาฝ่ายบุคคลว่า ห้ามรับเรากับค. ถ้าไม่งั้นมีเรื่องแน่ (อันนี้เราแอบรู้มา)แต่เราไม่คิดอะไรเพราะเราเลือกที่จะทำที่เดิม
วันที่4ม.ก็มาทำงาน เราทำงานร่วมกันไม่มีปัญหาอะไร จนวันที่10/5/2561ฝ่ายบุคคลได้เรียกเรากับค.ให้เขาไปคุย โดยเนื้อหาการคุยก็คือ ยังจะออกอีกไหม เราจึงถามกลับว่าถ้าเราจะออก บ.เขาจะเซ็นต์ใบให้ไหม ฝ่ายบุคคลตอบว่ายอม เพราะบ.ได้คุยเมื่อเช้าว่าถ้าสองคนจะออก บ.จะเซ็นต์ใบให้ เราได้ยินแบบนั้นจึงตอบกลับว่า ยืนยันจะออกค่ะ ฝ่ายบุคคลบอกว่าบ.เขาเสียใจนะที่ตัดสินใจแบบนี้ แต่เราก็ยืนยันว่าจะออกเพราะอยากเปลี่ยนงานและพนักงานเก่าก็กลับมาแล้ว และฝั่งก.ก็รับปากว่าจะรับเข้าทำงาน ฝ่ายบุคคลจึงเอาใบลาออกให้เรากับค.เขียน ฝ่ายบุคคลบอกเราว่าให้เขียนในใบลาออกว่าขอทำงานวันสุดท้ายคือวันที่31/5/2561 แต่นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปไม่ต้องมาทำงานแล้วเพราะบ.บอกมาแบบนี้ เงินเดือนจะจ่ายถึงวันที่31/5/2561เหมือนปกติ ตอนนั้นเราแปลกใจ ว่าทำไมบ.ถึงยอมเซ็นต์ง่ายๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นเราสบายใจมากที่จะได้ไปจากที่นี่สักที เรากับค.เซ็นต์ใบเรียบร้อยจึงแจ้งไปหาฝั่งก.ว่า บ.ยอมเซ็นต์ใบลาออกให้แล้วนะคะ ก.เลยให้เรากับค.ไปเขียนใบสมัครไว้เลย จนเรากับค.เขียนเสร็จก็กลับบ้านปกติ
แต่เย็นของวันที่11/5/2561ก็มีโทรศัพท์มาจากก.ว่า บ.เขาโทไปหาหัวหน้าพี่ ว่าไม่ให้พี่รับเข้าทำงานและหัวหน้าพี่ก็บอกมาว่าอย่ารับเลยเขาสั่งมา(บ.เป็นผู้หญิงและสามีเขามีตำแหน่งใหญ่ในบริษัทในเครือเดียวกัน)นั่นจึงทำให้เรากับค.ต้องตกงานเพราะมาจากบ.สั่งว่าห้ามรับ
คือเราไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน แต่เราคิดว่าตอนที่บ.ไม่มีคนก็บอกให้เราอยู่แต่พอมีคนมาทำงานก็ถีบหัวส่งกันแบบนี้ ยอมเซ็นต์ใบง่ายๆ แต่ก็ไปบอกผ่านหัวหน้าฝั่งนู้นว่าห้ามรับ แบบนี้เรียกว่าเป็นความสะใจหรือแก้แค้นอะไร ทั้งๆที่เรากับค.ไม่ได้ทุจริต หรือทำผิดอะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย อย่างนี้บ.ใช้อำนาจในการสั่งห้ามรับคนเข้าทำงานได้ด้วยหรอ สั่งห้ามไม่ให้รับเรากับค.เข้าทำงานปิดช่องทางทำมาหากินกันแบบนี้ เราวิตกกังวลมากค่ะ ใบลาออกก็เซ็นต์ไปแล้ว แต่ฝั่งนู้นไม่สามารถรับเข้าทำงานได้

เราจึงมาขอคำปรึกษาค่ะ มาแชร์ความรู้สึกว่าที่ทำงานแบบนี้ก็มีด้วยหรอ ดีแล้วที่เราตัดสินใจออก ตอนแรกหลังจากเซ็นต์ใบเราไลน์ไปหาบ.ขอโทษที่ทำให้บ.เสียใจ บ.ตอบมาว่า ไม่เป็นไรเขาต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายในบริษัทพอดีจะมีแค่ม.คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในแผนก ซึ่งมันทำให้เราไม่พอใจมากกว่าเดิม

เราจึงถามบ.ว่าที่เรากับค.จะย้ายไปอีกบริษัทแต่จู่ๆเขาก็ไม่สามารถรับเราเข้าทำงานได้เป็นเพราะอะไร บ.อ่านแต่ไม่ตอบเรา ภายในอาทิตย์หน้าเรากับค.จะเข้าไปคุยกับฝ่ายบุคคลให้รู้เรื่องค่ะ ถ้าฝ่ายบุคคลไม่มีคำตอบให้เรา
เราก็อยากจะเตือนคนที่ได้เข้ามาอ่าน และแชร์เหตุการณ์ที่เราเจอให้ได้รู้นะคะ สุดท้ายนี้เราอยากจะขอกำลังใจในการหางานใหม่ด้วยนะคะ
ต้องการย้ายงาน แต่บริษัทใหม่โดนคำสั่งห้ามรับ ขอคำปรึกษาด้วยค่ะ
ขอเล่าเหตุการณ์ก่อนนะคะ ปัจจุบันทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทผลิตอาหารและส่งขายให้ร้านอาหารในเครือเดียวกันแห่งหนึ่ง(ใจกลางกรุงเทพ)(ชื่อแบรนด์เกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์)
ซึ่งปกติในแผนกมีกันอยู่สองคน(ขอใช้อักษรย่อว่าค.) เนื้องานก็คือผลิตวัตถุดิบเพื่อไปประกอบอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว (เช่น ซอสเย็นตาโฟ,น้ำต้มยำ,หมูเด้ง,หมูซีอิ๊ว,หมูหมักใส่ในเกี๊ยวทอดและอื่นๆ) การผลิตของก็ตามออร์เดอร์ที่หน้าร้านสั่งค่ะ แต่บางวัตถุดิบที่สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสื่อมคุณภาพเราจะผลิตเยอะเพื่อสต๊อกของเอาไว้ซึ่งทำให้บางวันเราว่างงานเพราะของที่ผลิตมีพอส่งให้ร้าน
เวลาเข้างานปกติคือ7:00-16:00น.โดยไม่มีO.T.ใดๆหัวหน้างานบอกเหตุผลว่าบางวันว่างบางวันทำเยอะจึงไม่ให้มีO.T. เราก็ยอมรับได้ค่ะ เพราะมันก็เรื่องจริง แผนกเราหยุดทุกวันอาทิตย์และตามวันหยุดประจำปี
บริษัทนี้ดีค่ะแต่ส่วนตัวคิดว่าหัวหน้างานงี่เง่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน ขอบอกก่อนค่ะว่าหัวหน้าโดยตรงคนนี้เป็นเกย์(ขอใช้อักษรย่อว่าต.นะคะ)โดยปกติแล้วชอบมาขอยืมเงิน โดยก่อนเกิดเหตุการณ์นี้เขาได้ไลน์มาขอยืมเงินจำนวน4,000บาท แต่เราไม่มี จึงปฏิเสธไป และหลังจากนั้นไม่กี่วันเรากับเพื่อนได้แบ่งงานกันกับค.แต่เพื่อนดันทำงานเกินสี่โมงเย็น แต่เราไม่รู้เพราะเรากลับห้องไปแล้ว วันต่อมา มีหัวหน้าของต.(ขอใช้อักษรย่อว่าบ.ค่ะ)มาหาเราแต่เช้าแล้วถามว่าเมื่อวานเรากลับกี่โมง เราตอบว่าสี่โมงค่ะ เขาถามค.ต่อว่ากลับกี่โมง ค.ตอบว่าห้าโมงครับ เราเลยงงว่าทำไมกลับช้า จากนั้นบ.ก็เรียกเราไปคุยว่าทำไมไม่มีน้ำใจช่วยงานคนอื่น เราจึงตอบไปว่าเราได้แบ่งงานกันแล้ว แต่ไม่ทราบจริงๆว่าเขาทำไม่เสร็จ เขาก็เงียบและกลับไป เราจึงไปถามค.ว่า กลับห้าโมงเลยหรอ ค.จึงได้เล่าความจริงให้ฟังว่าต.เขาโทรมาหาว่าถ้าบ.ถามว่าเมื่อวานกลับกี่โมงให้ตอบว่าห้าโมงนะ ห้ามบอกเราเดี๋ยวบ.ก็ถามเอง เมื่อเราได้ยินแบบนั้น จึงเกิดคำถามว่า ทำไมเขาต้องนัดแนะกันทั้งๆที่ค.เสร็จงานประมาณสี่โมงครึ่ง เราคิดไปต่างๆนาๆ เรารู้สึกไม่สบายใจคืนนั้นเราเลยโทรหาบ.เล่าความจริงที่ค.เล่ามา บ.ก็ได้แต่รับฟังและบอกว่าอย่าคิดมาก ตอนนั้นเราก็ยังคิดซ้ำๆว่าต.เขามีแผนอะไร หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เราเริ่มห่างจากต. มีคุยกันบ้างเรื่องงานอย่างเดียว(ขอบอกก่อนนะคะว่าแต่ก่อนเราสนิทกับต.มาก ไปเที่ยว พูดคุย ปรึกษา เฮฮา) แต่เราก็ยังทำงานปกติจะมีคุยกับค.ว่าเรารู้สึกอึดอัดไม่อยากทำงานร่วมต. ค.ก็เห็นด้วยอยากจะหางานใหม่กันทั้งสอง
จนวันนึงอีกบริษัท(แต่ในเครือเดียวกัน(เจ้าของคนเดียวกัน))พนักงานเขาลาออกสองคนซึ่งคนละตำแหน่งกัน ทำให้เรากับค.เห็นช่องทางและโอกาศในการเปลี่ยนงานไปเข้าอีกบริษัทนึง เราได้ติดต่อพูดคุยกับหัวหน้าอีกฝั่ง(ขอใช้อักษรย่อว่าก.)ว่าถ้าเรากับค.ลาออกจากที่เดิมแและไปสมัครเข้าจะได้ไหม ก.ตกลงยอมรับ
เช้าของอีกวันเราจึงแจ้งต.ว่าขอใบลาออกสองใบ และบอกว่าจะไปทำงานใหม่กับก. ตอนแรกต.เขาก็รับฟังเฉยๆไม่มีปฏิกริยาอะไรแต่ไม่ยอมปริ้นใบลาออกให้เรากับค.เซ็นต์ ตอนเย็นเราจึงถามต.ซ้ำว่าใบจะปริ้นให้เราตอนไหน ต.เงียบและบอกว่าให้เราไปหาไฟล์ในคอมเอาเอง เราก็นั่งหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอทันใดนั้นพนักงานของก.ได้เข้ามายื่นใบลาออกพอดี เราเลยถามก.ว่ามีใบลาออกอีกไหม พอดีหาแล้วมันไม่เจอ ก.บอกว่ามันคนละบริษัทใช้ร่วมกันไม่ได้ ก.เลยให้พนักงานเขาโทรไปหาฝ่ายบุคคลว่าขอใบลาออกบริษัทเราหน่อย ฝ่ายบุคคลบอกว่าไม่ได้ ให้เราไปขอกับหัวหน้าเอง เรากระวนกระวายใจเพราะวันที่เราคุยคือวันที่30/4/2561 ตอนคืนนั้นเราจึงไลน์ไปหาต.ว่าหาใบไม่เจอซึ่งเรารู้แล้วว่าต.มีแพลนจะหยุดงาน เราเลยบอกต.ว่า ถ้างั้นต.กลับมาวันไหนก็ค่อยมาปริ้นให้
ต.กลับมาทำงานในวันที่3/5/2561และเรียกเรากับค.คุยว่า จะออกจริงใช่ไหม คิดว่าบ.จะยอมหรอ เราก็บอกว่าจริงค่ะ เราสองคนอยากเปลี่ยนงาน(ทั้งๆที่ในใจเราอึดอัดกับต.) ต.ก็เงียบไปแต่ก็ไม่ปริ้นใบเหมือนเดิม อยู่ๆเราก็ได้รับสายจากบ.ว่าให้เราเข้าไปหาที่ตึกตอนบ่ายนี้เลย เรากับค.ก็ไปหา บ.ก็ถามเรากับค.ว่ามีปัญหาอะไรให้เล่ามาทั้งหมด เราก็เล่าปัญหาที่เราเจอทั้งหมด(ขอบอกก่อนว่าต.ทำงานกับบ.มา5ปี เราทำงานได้2ปี)หลังจากบ.ได้รับฟังก็ตอบเรากลับมาว่าอย่าคิดมากสงสัยต.เขาคงเครียดเรื่องอื่นเขาไม่ได้คิดร้ายหรอก เขาเป็นห่วง ตอนนั้นเรายังยืนยันจะออก บ.หลุดพูดมาว่า ถ้าเรากับค.ออก ต้องไปทำที่อื่น ที่ไม่ใช่กับก.(บ.กับก.ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่)ถ้าเราไปทำ บ.จะไปบอกฝ่ายบุคคลว่าห้ามรับเรากับค. ตอนนั้นเราฟังแบบไม่ได้คิดอะไร
วันที่4ม.ก็มาทำงาน เราทำงานร่วมกันไม่มีปัญหาอะไร จนวันที่10/5/2561ฝ่ายบุคคลได้เรียกเรากับค.ให้เขาไปคุย โดยเนื้อหาการคุยก็คือ ยังจะออกอีกไหม เราจึงถามกลับว่าถ้าเราจะออก บ.เขาจะเซ็นต์ใบให้ไหม ฝ่ายบุคคลตอบว่ายอม เพราะบ.ได้คุยเมื่อเช้าว่าถ้าสองคนจะออก บ.จะเซ็นต์ใบให้ เราได้ยินแบบนั้นจึงตอบกลับว่า ยืนยันจะออกค่ะ ฝ่ายบุคคลบอกว่าบ.เขาเสียใจนะที่ตัดสินใจแบบนี้ แต่เราก็ยืนยันว่าจะออกเพราะอยากเปลี่ยนงานและพนักงานเก่าก็กลับมาแล้ว และฝั่งก.ก็รับปากว่าจะรับเข้าทำงาน ฝ่ายบุคคลจึงเอาใบลาออกให้เรากับค.เขียน ฝ่ายบุคคลบอกเราว่าให้เขียนในใบลาออกว่าขอทำงานวันสุดท้ายคือวันที่31/5/2561 แต่นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปไม่ต้องมาทำงานแล้วเพราะบ.บอกมาแบบนี้ เงินเดือนจะจ่ายถึงวันที่31/5/2561เหมือนปกติ ตอนนั้นเราแปลกใจ ว่าทำไมบ.ถึงยอมเซ็นต์ง่ายๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นเราสบายใจมากที่จะได้ไปจากที่นี่สักที เรากับค.เซ็นต์ใบเรียบร้อยจึงแจ้งไปหาฝั่งก.ว่า บ.ยอมเซ็นต์ใบลาออกให้แล้วนะคะ ก.เลยให้เรากับค.ไปเขียนใบสมัครไว้เลย จนเรากับค.เขียนเสร็จก็กลับบ้านปกติ
แต่เย็นของวันที่11/5/2561ก็มีโทรศัพท์มาจากก.ว่า บ.เขาโทไปหาหัวหน้าพี่ ว่าไม่ให้พี่รับเข้าทำงานและหัวหน้าพี่ก็บอกมาว่าอย่ารับเลยเขาสั่งมา(บ.เป็นผู้หญิงและสามีเขามีตำแหน่งใหญ่ในบริษัทในเครือเดียวกัน)นั่นจึงทำให้เรากับค.ต้องตกงานเพราะมาจากบ.สั่งว่าห้ามรับ
คือเราไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน แต่เราคิดว่าตอนที่บ.ไม่มีคนก็บอกให้เราอยู่แต่พอมีคนมาทำงานก็ถีบหัวส่งกันแบบนี้ ยอมเซ็นต์ใบง่ายๆ แต่ก็ไปบอกผ่านหัวหน้าฝั่งนู้นว่าห้ามรับ แบบนี้เรียกว่าเป็นความสะใจหรือแก้แค้นอะไร ทั้งๆที่เรากับค.ไม่ได้ทุจริต หรือทำผิดอะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย อย่างนี้บ.ใช้อำนาจในการสั่งห้ามรับคนเข้าทำงานได้ด้วยหรอ สั่งห้ามไม่ให้รับเรากับค.เข้าทำงานปิดช่องทางทำมาหากินกันแบบนี้ เราวิตกกังวลมากค่ะ ใบลาออกก็เซ็นต์ไปแล้ว แต่ฝั่งนู้นไม่สามารถรับเข้าทำงานได้
เราก็อยากจะเตือนคนที่ได้เข้ามาอ่าน และแชร์เหตุการณ์ที่เราเจอให้ได้รู้นะคะ สุดท้ายนี้เราอยากจะขอกำลังใจในการหางานใหม่ด้วยนะคะ