กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีพระนามเดิมว่า บุญมา
ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๒๘๖
เป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระชนนีหยก
เป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์)
ดำรงตำแหน่งนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร
ดังนั้น ย่อมจะได้ทรงเข้านอกออกในบริเวณพระบรมมหาราชวังอยู่เป็นประจำ
และย่อมจะได้ซึมซับความงดงามของเขตพระราชฐานชั้นในที่ทรงสนิทชิดใกล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความผูกพันเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จะลบเลือนไปจากความทรงจำได้ง่ายๆ
ดังนั้นเมื่อมีโอกาส จึงได้ทรงบันทึกภาพแห่งความประทับใจเหล่านั้นไว้อย่างเต็มไปด้วยความอาลัย
เสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง พระที่นั่งทั้งสามงามไสว
ตั้งเรียบระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป อำไพวิจิตรรจนา
มุขโถงมุขเด็จมุขกระสัน เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา
เพดานในไว้ดวงดารา ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน
ที่ตั้งบัลลังก์แก้วทุกองค์ ทวารลงอัฒจันทร์หน้าฉาน
ปราบพื้นรื่นราบดังพระลาน มีโรงคชาธารตระการตา
ทิมดาบคดลดพื้นกำแพงแก้ว เป็นถ่องแถวยืดยาวกันหนักหนา
เป็นที่แขกเฝ้าเข้าวันทา ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้
สืบทรงวงศ์กษัตริย์มาช้านาน แต่บุราณแล้วไม่นับพระองค์ได้
พระที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ข้างใน มีสระชลาลัยชลธี
ชื่อที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ที่ประพาสมัจฉาในสระศรี
ทางเสด็จเสร็จสิ้นสารพันมี เป็นที่กษัตริย์สืบมา
พระนครศรีอยุธยาอันรุ่งโรจน์วิจิตรตระการตา "ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้"
เหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง
ความเป็นจริงนี้สำหรับผู้ที่เคยผ่านวันวารอันน่าภาคภูมิใจ
กลายเป็นความจริงอันปวดร้าวที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง
ประกอบด้วยโภชนากระยาหาร ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นถึงเพียงนี้ มาเยินยับ
ศรีศักดิ์คลาย
ทั้งถนนหนทางอารามราช มาวินาศสิ้นสุดสูญหาย
สารพัดย่อยยับกลับกลาย อันตรายไปจนพื้นปัถพี
* เมื่อพระกาฬจะมาผลาญดังทำนาย แสนเสียดายภูมิพื้นกรุงศรี
บริเวณอื้ออลด้วยชลธี ประดุจเกาะอสุรีลงกา
เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้ มาเสียสูญไพรีอนาถา
ผู้ใดใครเห็นจะไม่นำพา อยุธยาอาภัพลับไป
เห็นจะสิ้นอายุพระนคร ให้อาวรณ์ผู้รักษาหามีไม่
เป็นป่าหญ้ารกดังพงไพร แต่จะสาบสูญไปทุกทิวา
คิดมาก็น่าอนิจจัง ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป
ก็สูญสิ้นศรีมลายหายหมด จะปรากฏสักสิ่งไม่มีว่า
อันถนนหนทางมรรคา คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน
ร้านเรียบเป็นระเบียบด้วยรุกขา ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งพิธีปีเดือนทุกคืนวัน สารพันจะมีอยู่อัตรา
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา อยุธยาจะสาบสูญไป
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับลับไป ที่ไหนจะคืนคงมา
ไป่ปรากฏเหตุเสียเหมือนดังนี้ มีแต่บรมสุขา
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา อนิจจาสังเวชทนาใจ
ด้วยสมัยเมื่อยังมีตำแหน่งเป็นเพียงนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร
ได้เห็นความเป็นมาเป็นไปในราชสำนักอยู่ตำตา
แต่ไร้ซึ่งหนทางที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ใดๆ
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงเอ่ยถึงทัพพม่า
ที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียกรุงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ไว้ด้วย
นั่นคือทัพของพระเจ้าอลองพญามังลองที่ยกเข้ามาพร้อมมังระราชบุตรในปี พ.ศ.๒๓๐๒
ซึ่งบังเอิญถูกรางปืนแตกต้องพระองค์ประชวรเป็นเหตุให้ทัพพม่าต้องถอยกลับไป
ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน
ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่ ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
ครั้นทัพเขากลับยกมา จะองอาจอาสาก็ไม่มี
แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
ตายล้มไม่สมประดี เมืองยับ
จนทุกวันฯ
เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
คัดย่อจาก :
http://pioneer.chula.ac.th/~tanongna/history/documents/10_nirat.htm
<หนึ่งด้าวฟ้าเดียว>......เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท.......
ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๒๘๖
เป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระชนนีหยก
เป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์)
ดำรงตำแหน่งนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร
ดังนั้น ย่อมจะได้ทรงเข้านอกออกในบริเวณพระบรมมหาราชวังอยู่เป็นประจำ
และย่อมจะได้ซึมซับความงดงามของเขตพระราชฐานชั้นในที่ทรงสนิทชิดใกล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความผูกพันเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จะลบเลือนไปจากความทรงจำได้ง่ายๆ
ดังนั้นเมื่อมีโอกาส จึงได้ทรงบันทึกภาพแห่งความประทับใจเหล่านั้นไว้อย่างเต็มไปด้วยความอาลัย
เสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง พระที่นั่งทั้งสามงามไสว
ตั้งเรียบระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป อำไพวิจิตรรจนา
มุขโถงมุขเด็จมุขกระสัน เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา
เพดานในไว้ดวงดารา ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน
ที่ตั้งบัลลังก์แก้วทุกองค์ ทวารลงอัฒจันทร์หน้าฉาน
ปราบพื้นรื่นราบดังพระลาน มีโรงคชาธารตระการตา
ทิมดาบคดลดพื้นกำแพงแก้ว เป็นถ่องแถวยืดยาวกันหนักหนา
เป็นที่แขกเฝ้าเข้าวันทา ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้
สืบทรงวงศ์กษัตริย์มาช้านาน แต่บุราณแล้วไม่นับพระองค์ได้
พระที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ข้างใน มีสระชลาลัยชลธี
ชื่อที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ที่ประพาสมัจฉาในสระศรี
ทางเสด็จเสร็จสิ้นสารพันมี เป็นที่กษัตริย์สืบมา
พระนครศรีอยุธยาอันรุ่งโรจน์วิจิตรตระการตา "ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้"
เหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง
ความเป็นจริงนี้สำหรับผู้ที่เคยผ่านวันวารอันน่าภาคภูมิใจ
กลายเป็นความจริงอันปวดร้าวที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง
ประกอบด้วยโภชนากระยาหาร ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นถึงเพียงนี้ มาเยินยับ
ทั้งถนนหนทางอารามราช มาวินาศสิ้นสุดสูญหาย
สารพัดย่อยยับกลับกลาย อันตรายไปจนพื้นปัถพี
* เมื่อพระกาฬจะมาผลาญดังทำนาย แสนเสียดายภูมิพื้นกรุงศรี
บริเวณอื้ออลด้วยชลธี ประดุจเกาะอสุรีลงกา
เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้ มาเสียสูญไพรีอนาถา
ผู้ใดใครเห็นจะไม่นำพา อยุธยาอาภัพลับไป
เห็นจะสิ้นอายุพระนคร ให้อาวรณ์ผู้รักษาหามีไม่
เป็นป่าหญ้ารกดังพงไพร แต่จะสาบสูญไปทุกทิวา
คิดมาก็น่าอนิจจัง ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป
ก็สูญสิ้นศรีมลายหายหมด จะปรากฏสักสิ่งไม่มีว่า
อันถนนหนทางมรรคา คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน
ร้านเรียบเป็นระเบียบด้วยรุกขา ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งพิธีปีเดือนทุกคืนวัน สารพันจะมีอยู่อัตรา
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา อยุธยาจะสาบสูญไป
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับลับไป ที่ไหนจะคืนคงมา
ไป่ปรากฏเหตุเสียเหมือนดังนี้ มีแต่บรมสุขา
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา อนิจจาสังเวชทนาใจ
ด้วยสมัยเมื่อยังมีตำแหน่งเป็นเพียงนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร
ได้เห็นความเป็นมาเป็นไปในราชสำนักอยู่ตำตา
แต่ไร้ซึ่งหนทางที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ใดๆ
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงเอ่ยถึงทัพพม่า
ที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียกรุงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ไว้ด้วย
นั่นคือทัพของพระเจ้าอลองพญามังลองที่ยกเข้ามาพร้อมมังระราชบุตรในปี พ.ศ.๒๓๐๒
ซึ่งบังเอิญถูกรางปืนแตกต้องพระองค์ประชวรเป็นเหตุให้ทัพพม่าต้องถอยกลับไป
ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน
ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่ ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
ครั้นทัพเขากลับยกมา จะองอาจอาสาก็ไม่มี
แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
คัดย่อจาก : http://pioneer.chula.ac.th/~tanongna/history/documents/10_nirat.htm