เริ่มแรกเลยนะคะ คือว่าเราทนไม่ไหวแล้ว สงสารแม่ คือในตอนนี้แม่เราเป็นทุกอย่างเลยค่ะ ทำทุกๆอย่าง แม่เราจะทำงาน ส่วนพ่อเราไม่ทำ พ่อเรามักจะนอนดูทีวีอยู่ที่บ้าน แล้วก็ออกไปตีกอล์ฟ
คือพ่อเราไม่ทำอะไรเลยค่ะ งานบ้านก็ไม่ทำ งานหาเงินก็ไม่ทำ นอกจากนี้ที่เราเริ่มรู้มา คือเรานั่งข้างๆพ่อ ในงานนึง แล้วพ่อเราก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไปหาคนอื่น เรื่องนี้เรารู้มาตั้งนานแล้ว แต่เราคิดว่าจบแล้ว ก็เลยไม่ได้พูดอะไร พอมาเห็นอีกที ก็ตกใจ ทำไมยังไม่จบอีก เราเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ พี่เราก็บอกว่าให้อยู่เฉยๆ เงียบๆเอาไว้ พี่เราบอกว่า อย่าทำให้มันแย่ไปกว่านี้ เราก็โมโหนะ แต่มันก็จริง ถ้าเราพูดสถานการณ์คงแย่ไปกว่านี้
เรื่องพ่อที่เล่าไปก็ผ่านมาซักพักนึง แล้ววันนี้พี่เราก็มาเล่าให้ฟัง ว่าหลังจากที่พี่ไปค่าย พี่ก็มาปรึกษาพ่อ เรื่องชอบคนสองคนพร้อมๆกัน พี่เราบอกว่า พ่อให้ลองคบไปทั้งสองคน คือเราก็ยิ่งไม่พอใจพ่อเข้าไปใหญ่
เรื่องถัดมา เป็นเรื่องเงิน คือพ่อเราไม่ทำงานตามที่บอกไป ทีนี้ก็ต้องผ่อนรถ จ่ายค่าอะไรอีกมากมาย ก็ในเมื่อไม่มีเงินจ่าย พ่อเราก็ยืมจากแม่เราบ้าง ยืมจากยายเราบ้าง แต่ยังไม่มีคืนทั้งสองคน เราฟังเราก็เหนื่อยใจ
เรื่องถัดมานะคะ เรื่องงานบ้าน คือไม่ทำเลย ไม่มำเลยจริงๆ แม้แต่กรอกน้ำก็ไม่ทำ คือพ่อเราเป็นคนที่คิดง่ายๆ ทำอะไรง่ายๆ ก็อย่างเช่น สมมติดื่มน้ำก็ดื่มจากขวด พอดื่มเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะข้างๆตู้เย็น แทนที่จะเอาใส่ตู้เย็น พับที่นอนก็ไม่นอน
ขออธิบายนิดนึงนะคะ คือว่าพวกงานบ้าน ยายเราจะช่วย ตอนที่เราไปโรงเรียน แม่เราไปทำงาน ก็จะเหลือยายกับพ่อ พ่อเราก็จะอยู่เฉยๆอะค่ะ ไม่ทำอะไร ยายเราจะทำงานบ้าน ทำกับข้าว ถ้าในช่วงปิดเทอมเราก็จะช่วยยายบ้าง
อีกเรื่องนึงที่เราอาจจะโกรธเป็นการส่วนตัว ก็คือเรื่อง ที่เราอาจจะเก่งภาษาอังกฤษน้อยกว่าพี่ พี่กับเราไม่ได้เรียนอินเตอร์หรืออะไร แต่โรงเรียนที่พี่เราเรียนอยู่ก็จะมีภาษาอังกฤษเสริมๆไปด้วย แต่โรงเรียนเราไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่เราก็คิดว่า เราก็สื่อสารได้ เข้าใจที่ครูต่างชาติพูด (มีเรียนพวกสอนภาษาอังกฤษโดยที่ครูต่างชาติเป็นคนสอน แล้วก็เรื่มมีวิชา STEM ที่สอนโดยครูต่างชาติเมื่อสองปีที่แล้ว) เราว่าเราก็ใช้ได้ในระดับนึง คือสื่อสารเข้าใจ แต่พอดีว่าพี่เราเก่งกว่า แต่เราก็ไม่ได้อิจฉา เพราะเราไม่เข้าใจ พี่เราก็สอน มันทำให้เราไม่รู้สึกอิจฉา แต่มันมีอยู่ว่า พ่อของเพื่อนพี่ จะให้พี่เราไปเป็นพิธีกรภาษาอังกฤษ แล้วพ่อเราก็ถามเราว่า ถ้าเราไปทำแบบนั้นได้จะทำได้มั้ย เราก็ตอบไปว่า ก็ไม่รู้ แต่ถ้าได้ลองก็ดี แต่เราก็คิดว่าเราทำได้นะ แต่พ่อเราก็บอกว่า ทำไม่ได้หรอก ฟังยังฟังไม่รู้เรื่องเลย จะไปเป็นพิธีกรได้ยังไง คือเราอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นเลย แต่ถ้าเราร้อง พ่อก็น่าจะพูดว่า เรื่องแค่นี้ต้องร้องด้วยเหรอ
สำหรับเรา การที่เราไปเรียนภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด เราว่ามันก็ต้องยากอยู่แล้ว ยิ่งโดนพูดแบบนั้นใส่ เรายิ่งน้อยใจ แล้วยิ่งไม่มีกำลังใจ
สรุปคร่าวๆ
- พ่อเรามีผู้หญิงคนอื่น
- พ่อเราไม่ทำงานบ้าน งานหาเงิน
- พ่อเราชอบพูดให้เราไม่มีกำลังใจ
เราขอเล่าแค่เรื่องที่เราหนักใจมากที่สุดแล้วกันนะคะ เรื่องอื่นเรายังพอไหว
อยากรู้วิธีแก้ปัญหา หรือเราควรจะไปปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยเราแก้ปัญหา คือเราค่อนข้างเครียดมากจริงๆ
อยากปรึกษาเรื่องครอบครัว เรื่องเกี่ยวกับพ่อค่ะ
คือพ่อเราไม่ทำอะไรเลยค่ะ งานบ้านก็ไม่ทำ งานหาเงินก็ไม่ทำ นอกจากนี้ที่เราเริ่มรู้มา คือเรานั่งข้างๆพ่อ ในงานนึง แล้วพ่อเราก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไปหาคนอื่น เรื่องนี้เรารู้มาตั้งนานแล้ว แต่เราคิดว่าจบแล้ว ก็เลยไม่ได้พูดอะไร พอมาเห็นอีกที ก็ตกใจ ทำไมยังไม่จบอีก เราเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ พี่เราก็บอกว่าให้อยู่เฉยๆ เงียบๆเอาไว้ พี่เราบอกว่า อย่าทำให้มันแย่ไปกว่านี้ เราก็โมโหนะ แต่มันก็จริง ถ้าเราพูดสถานการณ์คงแย่ไปกว่านี้
เรื่องพ่อที่เล่าไปก็ผ่านมาซักพักนึง แล้ววันนี้พี่เราก็มาเล่าให้ฟัง ว่าหลังจากที่พี่ไปค่าย พี่ก็มาปรึกษาพ่อ เรื่องชอบคนสองคนพร้อมๆกัน พี่เราบอกว่า พ่อให้ลองคบไปทั้งสองคน คือเราก็ยิ่งไม่พอใจพ่อเข้าไปใหญ่
เรื่องถัดมา เป็นเรื่องเงิน คือพ่อเราไม่ทำงานตามที่บอกไป ทีนี้ก็ต้องผ่อนรถ จ่ายค่าอะไรอีกมากมาย ก็ในเมื่อไม่มีเงินจ่าย พ่อเราก็ยืมจากแม่เราบ้าง ยืมจากยายเราบ้าง แต่ยังไม่มีคืนทั้งสองคน เราฟังเราก็เหนื่อยใจ
เรื่องถัดมานะคะ เรื่องงานบ้าน คือไม่ทำเลย ไม่มำเลยจริงๆ แม้แต่กรอกน้ำก็ไม่ทำ คือพ่อเราเป็นคนที่คิดง่ายๆ ทำอะไรง่ายๆ ก็อย่างเช่น สมมติดื่มน้ำก็ดื่มจากขวด พอดื่มเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะข้างๆตู้เย็น แทนที่จะเอาใส่ตู้เย็น พับที่นอนก็ไม่นอน
ขออธิบายนิดนึงนะคะ คือว่าพวกงานบ้าน ยายเราจะช่วย ตอนที่เราไปโรงเรียน แม่เราไปทำงาน ก็จะเหลือยายกับพ่อ พ่อเราก็จะอยู่เฉยๆอะค่ะ ไม่ทำอะไร ยายเราจะทำงานบ้าน ทำกับข้าว ถ้าในช่วงปิดเทอมเราก็จะช่วยยายบ้าง
อีกเรื่องนึงที่เราอาจจะโกรธเป็นการส่วนตัว ก็คือเรื่อง ที่เราอาจจะเก่งภาษาอังกฤษน้อยกว่าพี่ พี่กับเราไม่ได้เรียนอินเตอร์หรืออะไร แต่โรงเรียนที่พี่เราเรียนอยู่ก็จะมีภาษาอังกฤษเสริมๆไปด้วย แต่โรงเรียนเราไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่เราก็คิดว่า เราก็สื่อสารได้ เข้าใจที่ครูต่างชาติพูด (มีเรียนพวกสอนภาษาอังกฤษโดยที่ครูต่างชาติเป็นคนสอน แล้วก็เรื่มมีวิชา STEM ที่สอนโดยครูต่างชาติเมื่อสองปีที่แล้ว) เราว่าเราก็ใช้ได้ในระดับนึง คือสื่อสารเข้าใจ แต่พอดีว่าพี่เราเก่งกว่า แต่เราก็ไม่ได้อิจฉา เพราะเราไม่เข้าใจ พี่เราก็สอน มันทำให้เราไม่รู้สึกอิจฉา แต่มันมีอยู่ว่า พ่อของเพื่อนพี่ จะให้พี่เราไปเป็นพิธีกรภาษาอังกฤษ แล้วพ่อเราก็ถามเราว่า ถ้าเราไปทำแบบนั้นได้จะทำได้มั้ย เราก็ตอบไปว่า ก็ไม่รู้ แต่ถ้าได้ลองก็ดี แต่เราก็คิดว่าเราทำได้นะ แต่พ่อเราก็บอกว่า ทำไม่ได้หรอก ฟังยังฟังไม่รู้เรื่องเลย จะไปเป็นพิธีกรได้ยังไง คือเราอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นเลย แต่ถ้าเราร้อง พ่อก็น่าจะพูดว่า เรื่องแค่นี้ต้องร้องด้วยเหรอ
สำหรับเรา การที่เราไปเรียนภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด เราว่ามันก็ต้องยากอยู่แล้ว ยิ่งโดนพูดแบบนั้นใส่ เรายิ่งน้อยใจ แล้วยิ่งไม่มีกำลังใจ
สรุปคร่าวๆ
- พ่อเรามีผู้หญิงคนอื่น
- พ่อเราไม่ทำงานบ้าน งานหาเงิน
- พ่อเราชอบพูดให้เราไม่มีกำลังใจ
เราขอเล่าแค่เรื่องที่เราหนักใจมากที่สุดแล้วกันนะคะ เรื่องอื่นเรายังพอไหว
อยากรู้วิธีแก้ปัญหา หรือเราควรจะไปปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยเราแก้ปัญหา คือเราค่อนข้างเครียดมากจริงๆ