หากเพียงรู้ว่า

กระทู้สนทนา

             ภาพต้นไม้สูงใหญ่นับร้อยที่วิ่งผ่านบานกระจกอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นว่านี่ใกล้ถึงจุดหมายของวรเดชแล้ว ชายหนุ่มนั่งพิงหลังลงกับเบาะนุ่มในตู้รถไฟปรับอากาศ เขานั่งทอดสายตาผ่านบานกระจกใสออกไปอย่างไร้จุดหมาย ภาพธรรมชาติที่ดูบริสุทธิ์พอที่จะทำให้เชื่อได้ว่ารถไฟขบวนนี้เคลื่อนผ่านตัวเมืองมาได้สักระยะ ความสงบเงียบจากภาพที่ปรากฏทำให้วรเดชนั่งมองภาพนั้นโดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

             ไม่นานพนักงานตรวจตั๋วคนที่เคยมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง เดินโผล่เข้ามาในตู้ของวรเดชแล้วพูดตะโกนด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ลงถ้ำขุนตาลหนึ่งคน เดินมารอที่บันไดเลยครับ”

             ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์จึงทำให้เริ่มรู้สึกตัวว่าขบวนรถไฟเริ่มลดความเร็วลง มีบ้านเรือนประปรายให้เห็นบ้าง วรเดชลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังทางลงจากขบวน และเมื่อรถไฟจอดนิ่งสนิท พนักงานคนเดิมก็ลงไปยืนรอข้างล่างก่อนที่จะกล่าวเชิญให้ผู้โดยสารลง วรเดชพูดขอบคุณก่อนจะเหยียบท้าวลงจากรถไฟ

             ที่ตู้รถไฟห่างจากตู้ของวรเดชหลายตู้มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาด้วยเช่นกัน และทั้งขบวนก็มีเธอลงมาแค่คนเดียว ชายหนุ่มกวาดสายตาไปเห็นภาพนั้นก็ดึงสายตากลับมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไร เขาเดินตรงเข้าไปยังสถานีและเดินทะลุไปยังห้องน้ำก่อนจะทำธุระส่วนตัว จากนั้นวรเดชเดินไปดูที่ร้านค้าเพื่อหาอะไรรองท้องสำหรับเช้านี้

             “ขอข้าวผัดหมูจากนึงครับ” วรเดชพูด

             แม่ค้าได้แต่หันมายิ้มเป็นเชิงตอบรับ เธอหันหน้าไปเตรียมของสำหรับทำอาหาร วรเดชนั่งก้มหน้ารอบนโต๊ะโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเปิดตู้แช่เครื่องดื่ม มีเสียงขวดแก้วกระทบกันดังกริ๊งกร๊างก่อนจะมีเสียงบานประตูตู้แช่ปิด

             “เท่าไหร่คะ”

             เสียงคนเปิดตู้แช่พูด วรเดชได้แต่ชำเลืองไปมองผ่าน ๆ จึงเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ลงมาจากรถไฟเหมือนเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และทันใดนั้น เสียงใส ๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงพุ่งมาทางวรเดช

             “นั่นวรเดชใช่มั้ย”

             ชายหนุ่มตกใจกับน้ำเสียงนั้นรวมถึงยังประหลาดใจอย่างสุดขีดเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียง

             “มัลลิกา” เสียงเรียกแผ่วเบาในลำคอ

             “ใช่เธอจริง ๆ ด้วย”

             สาวหน้าใสพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้างเหมือนได้เจอกับคนคุ้นเคย มัลลิกาจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแล้วก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเดียวกับวรเดช

             ฝ่ายชายได้แต่ก้มหน้า แต่ก็แอบเงยหน้ามาชำเลืองหญิงสาวนิดหนึ่ง ก่อนจะซ่อนสายตาเก็บไว้ไม่ให้ฝั่งตรงข้ามเห็นถึงความประหม่า

             “เธอมาทำอะไรที่นี่” วรเดชพยายามเค้นน้ำเสียงออกมาจากลำคอที่ดูเหมือนจะแห้งผาก

             “มาเยี่ยมญาติมั้งถามได้ แหม... มาลงที่ถ้าขุนตาลนี้ก็มาเที่ยวสิ แล้วว่าแต่เธอล่ะวรเดช มาทำอะไรที่นี่” มัลลิกาตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

             อาการสั่นทั้งใจและปากของวรเดชทุเลาลงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิทดี “คือว่าฉันมาเยี่ยมญาติน่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็จะไปแล้ว เป็นเรื่องบังเอิญมากที่เรามาเจอกันที่นี่” แม้ค้ายกจานอาหารมาวางตรงหน้าวรเดชพอดี เจ้าของอาหารเตรียมทำท่าจับช้อนส้อมตักอาหารใส่ปาก แต่เขาก็รีบพูดก่อน “เที่ยวให้สนุกนะมัลลิกา ขอให้โชคดี”

             มัลลิกาได้ยินคำพูดและเห็นอาการของวรเดชก็ทำให้เธอทำหน้าตาเบิกบานยิ่งกว่าเดิม “ตลกมากนะวรเดช เธอมีญาติอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มาเยี่ยมญาติแล้วไหนล่ะของฝาก เป็นญาติฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่ล่ะ หรือเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งไหน”

             วรเดชตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “คือว่ามาเยี่ยมเพื่อนน่ะ”

             “เหรอ” ผู้ซักไซ้ยังคงถามต่อ “เป็นเพื่อนสมัยไหนล่ะ สมัยปฐม มัธยมหรือว่ามหาลัย”

             ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของวรเดช  มัลลิกายังคงจี้ถามต่อ “หรือว่าเป็นเพื่อนสมัยอนุบาลกันนะ”

             “เพื่อนจากที่ทำงาน” เสียงตอบแบบส่ง ๆ

             “เพื่อนจากโรงงานฟูจิกุระเหรอ ถ้าใช่ฉัน   ต้องรู้จักด้วยสิ พนักงานทุกคนจากที่นั่นต้องผ่านแผนกทรัพยากรบุคคล และฉันก็ทำงานที่นั่นมานานก่อนที่เธอจะเข้าเสียอีก”

             “ฉันมาเที่ยว ๆ ฉันมาเที่ยวก็ได้” ผู้ร้ายปากแข็งยอมรับสารภาพ

             “ก็แค่เนี้ย ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบังกันเลยนี่”

             “ก็…” วรเดชยังคงอ้ำอึ้ง “แล้วเธอคิดยังไงถึงมาเที่ยวที่นี่ล่ะ ในเชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะ”

             “ฉันไม่ชอบคนเยอะ ความจริงกะว่าจะนอนพักผ่อนในวันหยุดที่บ้านแล้วล่ะ แต่นึกได้ว่าเคยอ่านรีวิวคนมาเที่ยวที่นี่ ก็เลยลองมาสักหน่อย”

             “ฉันเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่มันนานมาแล้ว วันนี้คิดได้ก็เลยลองกลับมา”

             “เหรอ…” มัลลิกาปรายตามองไปที่วณเดช สักพักเธอก็เบือนหน้าหนีโดยไม่พูดอะไรต่อ

             วรเดชทำท่าใช้ช้อนส้อมเขี่ยอาหารไปมา มัลลิกาเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น

             “งั้นเธอกินข้าวให้เสร็จก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันออกไปเดินดูรอบ ๆ สถานี ถ้ากินเสร็จก็เดินออกไปละกันนะ”

             วรเดชได้แต่พยักหน้า จากนั้นมัลลิกาก็เดินออกไป

             

             ชายหนุ่มเดินเลาะริมทางรางรถไฟ ข้างหน้าเขาเห็นมัลลิกายืนใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเองคู่กับอุโมงค์รถไฟที่ยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตรเศษ วรเดชเดินตรงไปยังหญิงสาวและเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขารีบพูด¬¬

             “เอาโทรศัพท์มาสิ เดี๋ยวฉันถ่ายให้”

             หญิงสาวได้ยินเสียงนั้นก็แสดงสีหน้ายิ้มแย้ม เธอส่งโทรศัพท์ให้วรเดช จากนั้นวรเดชใช้มือถือถ่ายภาพตามอิริยาบทต่าง ๆ ที่มัลลิกาจะคิดออก หากมีใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่รักหวานแหวว

             มัลลิกาโพสท์ไปหลายท่าจนเริ่มจะคิดท่าใหม่ไม่ออกแล้ว เธอเดินมาขอโทรศัพท์คืนจากวรเดชและกระซิบเสียงเบา

             “มาถ่ายรูปคู่ด้วยกันหน่อยสิ”

             วรเดชทำสีหน้าไม่ถูก “ไม่ดีหรอกมั้ง ถ้าแฟนเธอมาเห็นรูปในโทรศัพท์เข้ามันจะไม่ดี”

             “อะไรนะ” มัลลิกาพูด

             “ก็เธอมาเที่ยวคนเดียว แล้วถ้าแฟนเธอมาเปิดเจอรูปมันคงจะไม่เหมาะมั้งที่มาถ่ายรูปคู่ผู้ชาย”

             หญิงสาวไม่ตอบอะไร ได้แต่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ จากนั้นทั้งสองก็เดินคู่กันไปเรื่อยเปื่อย ต่างคนก็ต่างทำเป็นมองนี่มองนั่น สักพักวรเดชก็เอ่ยขึ้นมา

             “ทำไมเธอถึงมาที่นี่คนเดียวล่ะ น่าจะมาเที่ยวกับแฟนนะ วันหยุดทั้งที”

             มัลลิกาหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้คู่สนทนาก่อนจะตอบ “เขาติดธุระน่ะ”

             “อ้าวเหรอ” วรเดชรับคำ “อืม... ก็ดีนะ มีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง”

             มัลลิกาพยายามบ่ายหน้าหนี วรเดชสังเกตเห็นว่าเธอดูเหมือนจะอึดอัดใจที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงพยายามชวนคุยเรื่องอื่น

             “เออนี่ ฉันวางแผนมาว่า ห่างจากที่นี่ประมาณกิโลนึงมีอุทยานให้เดินเที่ยวด้วยนะ เธออยากไปด้วยกันมั้ยล่ะ”

             “ก็น่าสนใจดีนะ ไปกัน” มัลลิกาตอบรับ ทำให้สรเดชยิ้มออกมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่