Coaching skills: ทักษะการเป็นโค้ชที่ดี Panom Ketumarn ... 28/4/2561 สรายุทธ กันหลง

Coaching skills: ทักษะการเป็นโค้ชที่ดี Panom Ketumarn ... 28/4/2561
https://pantip.com/topic/37610366

จากออนไลน์ครับ Cr: Orathai Ard-am

อ.นพ.พนม เกตุมาน เขียนได้ดีมาก : ทักษะการเป็นโค้ชที่ดี ใคร ๆ ก็อ่านและนำไปปรับใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์, อาจารย์แพทย์ หรือ นักศึกษาแพทย์ อาจารย์ ม.ชีวิต ที่แสดงบทบาทเป็นโค้ชชีวิตของผู้เรียน นำไปปรับใช้ได้แน่นอนค่ะ
https://www.mindtools.com/pages/article/newLDR_89.htm

Panom Ketumarn
April 15 at 7:09pm · Bangkok ·
Coaching and Mentoring in Medical Education
บทบาทอาจารย์ที่ปรึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต
นพ พนม เกตุมาน พบ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ในศตวรรษที่ 21 การเป็นครูแพทย์ควรต้องปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทันสมัย เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของนักศึกษาแพทย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม

แนวคิด
1. โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้านอย่างรวดเร็ว มีความรู้เพิ่มขึ้นมาก การสื่อสารรวดเร็ว สื่อสังคมกว้างขวาง
2. แรงจูงใจและวิธีการเรียนรู้ของนักศึกษาปัจจุบัน แตกต่างจากอดีต
3. การสอนแบบเดิมไม่ตอบสามารถตอบโจทย์ในปัจจุบัน
แนวทางการเรียนรู้ที่น่าสนใจ
การเรียนรู้แบบจิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology) ให้ผู้เรียนเกิดสิ่งต่อไปนี้
1. อารมณ์บวก (positive emotion) คือความรู้สึกด้านดี ที่ทำให้อยากทำกิจกรรมนั้นได้ต่อเนื่องยาวนาน จนไม่อยากหยุด ได้แก่ ความสนุก ท้าทาย ตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น เพลิดเพลิน ฯลฯ เกิดจากกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม ได้ทำด้วยตัวเอง เกิดการสัมผัสด้วยประสาทต่างๆ ทางตา หู จมูก ผิวหนัง ผ่านการเคลื่อนไหว สังเกตอารมณ์และความรู้สึกตัวเองไปกับการกระทำ แล้วถอดบทเรียน สรุป ความคิดรวบยอด สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง เป็นแนวทางการเรียนรู้แบบ constructivism
2. มีส่วนร่วม (engagement) คือความมีส่วนร่วม ผู้เรียนจะรู้สึกเป็นเจ้าของ อยากทำ ทำแล้วรู้สึกดี
3. ความสัมพันธ์ (relationship) คือ ความเป็นส่วนร่วมเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย กล้าแสดงออก ไม่กลัวผิด
4. มีความหมาย (meaning) ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งเรียน การนำไปใช้ประโยชน์ เชื่อมโยงกับชีวิตจริง ทำให้ผู้เรียนรู้สึกดีกับการเรียนรู้นั้น
5. ความสำเร็จ (achievement) ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จ
ข้อ 2-5 ทำให้เกิด ข้อ 1 อย่างมาก
บทบาทครูแพทย์
ครูแพทย์ช่วยสร้างแพทย์ โดยการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม 3 ด้าน
1. ความรู้ (Cognitive Domain) ความรู้พื้นฐานทางสังคมและมนุษย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ การแพทย์
2. ทักษะ (Psychomotor Domain) แยกออกเป็น
• ทักษะทางการแพทย์ (Professional Skills) การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบัติการ การทำคลอด ทำแผล ฉีดยาฯลฯ
• ทักษะของความเป็นมนุษย์ (Life Skills) การเข้าใจตนเอง พัฒนาจิตใจตนเอง การเข้าสังคม communication collaboration creativity critical thinking contemplative thinking
3. ทัศนคติ (Affective Domain) การเป็นแพทย์ที่มีหัวใจมนุษย์ การเข้าใจผู้ป่วย และผู้อื่น ความเห็นอกเห็นใจอยากช่วยเหลือผู้อื่น การเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต

Coach and Mentor
เป้าหมายของ coach และ mentor คือ การช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม เพื่อเป็นแพทย์ที่ดี
การเป็น coach และ mentor
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เริ่มต้นตั้งแต่แรกที่รู้จักกัน ควรมีข้อมูลพื้นฐาน ประวัติส่วนตัว ครอบครัว
2. รู้จักเป็นรายบุคคล มีกิจกรรมที่ช่วยให้รู้จักรายละเอียดส่วนบุคคลเพิ่มเติม
3. ทัศนคติดี ยอมรับในความเป็นบุคคลที่แตกต่าง เข้าใจที่มาของนิสัย พฤติกรรม
4. การสื่อสาร มีการสื่อสารทางบวก ที่ช่วยให้เกิดความคุ้นเคย เป็นกันเอง ปลอดภัย
5. การ feedback มีการชม และตักเตือน ด้วยความห่วงใย โดยใช้เทคนิคการให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก
6. การติดตามต่อเนื่อง มีการติดตามพฤติกรรม ผ่านทางกิจกรรม หรือ ผลงาน เช่น การเขียน reflection ท้ายกิจกรรมสำคัญ

ระบบที่ช่วยส่งเสริม coaching และ mentoring
คณะแพทย์ศาสตร์สามารถส่งเสริม ได้ดังนี้
1. มีระบบ coaching and mentoring ชัดเจน ในการศึกษาทุกระดับ และการทำงาน มีการสอนงานแก่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นงานทุกระดับ อาจารย์แพทย์ทุกคนมีบทบาทเป็น coach และ mentor ได้รับการยอมรับและบรรจุอยู่ในภาระงาน
2. มีการเรียนรู้เรื่อง Coaching and Mentoring แก่บุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ นักศึกษา อาจารย์ ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ และให้ถือเป็นนโยบายหลักในการทำงาน มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ และตัวชี้วัด
3. มีการกำกับดูแลละติดตามต่อเนื่อง บันทึกในระบบที่ตรวจสอบได้ เช่น แฟ้มสะสมผลงาน (portfolio)
หลักการ Coaching and Mentoring
• เข้าใจทฤษฎีพฤติกรรม การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (behavior theory) เข้าใจการเรียนรู้ของวัยผู้ใหญ่ (transformative learning) ความแตกต่างการเรียนรู้ ประสบการณ์เดิมของนักศึกษา เป็นรายบุคคล
• ช่วยกันค้นหาความแตกต่างระหว่างเป้าหมาย และสถานการณ์ปัจจุบันช่วยกำหนดเป้าหมายรายบุคคลโดยสร้างแรงจูงใจจากภายใน สิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผน โดยครูเป็นผู้ช่วย
• ใช้ความสัมพันธ์และการสื่อสาร เพื่อสร้างแรงจูงใจ การเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเอง
• ติดตาม ให้กำลังใจ สร้างโอกาสการเรียนรู้ใหม่ตามความต้องการ
เทคนิคที่ใช้
1. ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นแบบสองทาง ที่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ และ ภาระงานชัดเจน
2. การเป็นต้นแบบ Role modeling
3. การสื่อสาร การฟัง จับใจความ(ความรู้สึก ความคิด ทัศนคติ นิสัย ค่านิยม) การทวนใจความ การใช้คำถาม การเข้าใจ ใส่ใจ มีอารมณ์ร่วม ทัศนคติที่ดี อยากช่วยเหลือ การสร้างแรงจูงใจ motivational interviewing, feedback, I-You message การสำรวจตนเอง เพื่อให้ค้นหาตัวเอง อยากรู้เกี่ยวกับตนเอง การให้กำลังใจ positive and negative reinforcement, praising
องค์ประกอบการสื่อสาร
1. ผู้ส่งข้อมูล (coach or mentor)
2. ผู้รับข้อมูล (coachee or mentee)
3. ข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร (Message)
4. สิ่งแวดล้อมของการสื่อสาร (Environmental Context)
5. เทคนิคการสื่อสาร( Techniques of Communication) เช่น การสื่อสารทางเดียว หรือสองทาง


GROW Model for Coaching
เทคนิคที่แพร่หลายในการโค้ช คือการสำรวจลงไปใน เรื่องต่อไปนี้ตามลำดับ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในด้วยตัวเอง
Goal เป้าหมายคืออะไร เป้าหมายระยะสั้น ระยะยาว เกิดจากอะไร มีอะไรเป็นแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ ที่ผ่านมาทำได้สำเร็จอะไรบ้าง
Current Reality สถานการณ์จริงในปัจจุบันเป็นอย่างไร มีอะไรทำได้ ทำไม่ได้
Options (or Obstacles) มีทางเลือกอะไรบ้างในขณะนี้ มีปัญหาอุปสรรคอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร
Will (or Way Forward) คิดว่าจะเลือกทางใด เพราะอะไร ข้อดี ข้อด้วย จะเผชิญด้วยวิธีใด ต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลืออะไรอีก ถ้าไม่ได้จะทำอย่างไร
โค้ช จะเป็นผู้ตั้งคำถามดีๆ ทำให้เกิดการคิด ไตร่ตรอง ตระหนัก และตัดสินใจด้วยตัวเอง ใช้แนวทาง nondirective counseling
โค้ชอาจใช้ GROW Model นี้ในกลุ่มขนาดเล็ก ตั้งคำถามชวนคิด ระดมสมอง แลกเปลี่ยน ถกเถียง หาข้อสรุปและแนวทาง ทางเลือก เพื่อให้นำไปใช้ในชีวิต

เทคนิคการสื่อสารที่ดีสำหรับโค้ช
เทคนิคการสื่อสารเชิงบวก (positive communication) กับนักศึกษา มีดังนี้
1.ทัศนคติที่ดี (Good Attitudes)
ทัศนคติของผู้สื่อสารที่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจ ร่วมมือ เปิดเผย ยอมรับได้ง่าย คือท่าทีด้านบวกยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข (unconditional positive regard) มองในแง่ดีเป็นกลาง (neutral) มีความเข้าใจ(understanding) อยากช่วยเหลือ (empathy) เห็นใจ (sympathy) เริ่มต้นจากการมองด้านดี ค้นหา และหยิบยกมาเริ่มต้นในการสนทนา หรือการสอน ความรู้สึกดีนี้จะถ่ายทอดเป็นท่าที สายตา และท่าทางที่รับรู้ได้ และเกิดการยอมรับ เปิดช่องการสื่อสารกันสองทาง (two-way communication) ในการเรียนการสอน หรือ การฝึกอบรม ครูที่สร้างทัศนคติที่ดีได้เร็ว จะเป็นที่ยอมรับได้เร็วและมากกว่า

2.ทักทาย (Greeting)
ผู้สื่อสารสร้างประโยคทักทายที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็นกันเอง อาจใช่เทคนิค (small talks) คือประโยคทักทาย ถามเรื่องง่ายๆ แสดงความเป็นกันเอง โดยไม่คุกคาม พยายามเรียกชื่อมากกว่าใช้สรรพนาม เช่น
“สวัสดีครับ .........(เรียกชื่อ)”
“.........(ชื่อ)เมื่อกี้ทำอะไรอยู่ครับ”
“ทานข้าวแล้วหรือยัง.........(ชื่อ)”
ถ้าครูรู้ข้อมูลพื้นฐานบ้าง เช่น ชอบอะไร ทำอะไร เพื่อนเป็นใคร โดยเฉพาะด้านดีๆ จะหาทางเริ่มต้นคุยได้ นุ่มนวล และสังเกตว่าพยายามเอ่ยชื่อเพื่อแสดงความรู้จัก สร้างความคุ้นเคยเสมอ หลีกเลี่ยงคำว่า “เธอ” หรือสรรพนามอื่น
ในกรณีที่ยังไม่รู้จักกัน ครูควรแนะนำตัวเอง วัตถุประสงค์ของการคุยกัน เวลาที่จะคุยกัน เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจ บรรยากาศผ่อนคลาย และเป็นกันเอง
3.เริ่มต้นจากจุดดี (Beginning with Positive Aspects)
ไม่ว่าเรื่องที่จะคุยกับนักศึกษาเรื่องบวกหรือ ลบ ให้เริ่มต้นจากการแสดงความยินดี รับรู้ ข้อดีของนักศึกษาก่อนเสมอ
“ครูดีใจที่ได้คุยกับ.....(ชื่อ) (พยายามเรียกชื่อ ดีกว่าใช้คำ “เธอ”)
“ครูยินดีกับผลการสอบที่ผ่านมา”
“การประกวดที่ผ่านมา เธอทำได้ดีมากนะ”
4.การสำรวจลงไปในปัญหา
ครูพยายามสำรวจความรู้ ความเข้าใจ ของนักศึกษา โดยใช้เทคนิคการถาม
“ทราบหรือไม่ว่าครูอยากคุยด้วยเรื่องอะไร”
“ช่วยเล่าให้ครูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เป็นอย่างไร ถึงมาพบครูที่นี่”
เรื่องที่นักศึกษาไม่อยากเล่าในช่วงแรก ควรข้ามไปก่อน แต่ทิ้งท้ายไว้ว่ามีความสำคัญที่น่าจะกลับมาคุยกันอีกในโอกาสต่อไป
“เรื่องนี้น่าสนใจมาก สำคัญทีเดียว ยังไม่อยากเล่าในตอนนี้ ไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อพร้อมที่จะเล่าแล้วค่อยเล่าก็ได้ ครูจะขอคุยเรื่องอื่นก่อน แล้วจะขอย้อนกลับมาคุยเรื่องนี้ทีหลัง ดีไหม”
ในการสำรวจลงลึกในประเด็นปัญหา ควรสังเกตท่าที ความร่วมมือ การเปิดเผยข้อมูล ว่านักศึกษามีความไว้วางใจมากน้อยเพียงไร มีเรื่องใดที่ยังกังวล เช่น ไม่แน่ใจว่าครูจะไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง หรือเปิดเผยให้คนอื่นรู้หรือไม่ ซึ่งอาจมีผลเสียตามมา ครูควรให้ความมั่นใจเรื่องนี้ โดยเน้นการรักษาความลับ (confidentiality) ดังนี้
“เรื่องที่คุยกันนี้ ครูคงไม่นำไปบอกพ่อแม่ หรือคนอื่นๆฟัง”
“ถ้ามีเรื่องที่ครูจำเป็นต้องบอกพ่อแม่ ครูจะคุยกับเธอก่อน”
5. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)
การสื่อสารที่ดีควรเป็นไปแบบสองทางเสมอ คือการฟัง และการพูด แต่ในระยะแรกควรพยายามกระตุ้นให้นักศึกษาพูดและแสดงออกมากๆ เพื่อลดความเครียดและการป้องกันตนเอง สร้างทัศนคติให้รู้สึกว่า “ครูสนใจ และฟังนักเรียน”
การฟังอย่างตั้งใจ (active listening) แสดงออกโดยมีความสนใจ จดจำรายละเอียด พยายามเข้าใจความคิดความรู้สึก สอบถามเมื่อสงสัย ให้นักศึกษาขยายความ และสอบถามความคิด ความรู้สึกเป็นระยะๆ
ในขณะฟังอย่าเพิ่งคิดว่าจะพูดอะไรต่อไป ให้สนใจจดจำประโยคที่นักศึกษาพูด และทวนความ นักศึกษาจะรู้สึกประทับใจที่ครูสนใจ จดจำ ให้เกียรตินักเรียน และจะร่วมมือเปิดเผยมากขึ้น
ในระยะเริ่มต้น ควรฟังข้อมูลพื้นฐาน เรื่องส่วนตัว ในอดีต เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานของนักศึกษาก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยสำรวจด้วยคำถาม ลงลึกไปในเรื่องที่ละเอียดอ่อนขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่