3 พฤติกรรมทำเจ็บ เก็บเงินไม่อยู่


ทำงานมาก็นาน เงินเก็บก็ไม่มีซักที เงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้  โอทีเอาไว้กินข้าว หรืออย่าเรียกเงินเดือนดีกว่า เพราะใช้หมดภายใน 5 วัน สโลแกนเหล่านี้คงคุ้นหูมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ สำหรับบางคนที่มีภาระจำเป็นที่สำคัญ ก็คงต้องค่อยๆแก้ปัญหากันไป แต่สำหรับคนที่เก็บเงินไม่อยู่เพราะมาจากพฤติกรรม หรือนิสัยบางอย่างของตนเอง หากไม่แก้ไขอาจจะส่งผลต่อสุขภาพทางการเงินของเราในระยะยาว

K-Expert จึงอยากจะมาแชร์นิสัยแบบนี้ว่า มีอะไรบ้างกันบ้าง พร้อมแนวทางแก้ไข เพื่อให้เพื่อนๆ ได้นำไปปรับใช้กับตนเองกัน

นิสัยแรก คือ ของมันต้องมี คงเป็นคำพูดสุดฮิตในตอนนี้ที่แสดงถึงสิ่งของที่เราอยากได้ และมักหาเหตุผลร้อยแปดมาเพื่อซื้อสินค้าดังกล่าว ตามสโลแกน “ก็ของมันต้องมี” แต่มันจำเป็นจริงๆ ไหม ถ้าให้พูดในเชิงพฤติกรรมตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of needs Theory) ในส่วนของความต้องการขั้นพื้นฐานอย่างปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย หากมันสามารถตอบความต้องการเหล่านี้ได้ ก็คงเพียงพอต่อการใช้ชีวิต แต่บางคนก็เลือกที่จะซื้อสินค้าที่เกินกว่าความต้องการ เช่น เสื้อผ้าที่ราคาสูงกว่ารายได้ โดยคิดว่าเป็นปัจจัย 4 ที่ควรมี หากเป็นแบบนี้ คงเป็นปัญหากับการใช้เงินแน่ๆ

วิธีแก้ คือ ใช้สติในการแยกแยะให้ได้ว่า ของมันต้องมี ชิ้นนี้ เป็นของที่ “need หรือ want” กันแน่โดย need จะเป็นของที่จำเป็น ซึ่งหากไม่ได้แล้วจะมีความเดือดร้อนอย่างยิ่ง แต่หากเป็น want นั้น จะหมายถึงความต้องการเพียงชั่วคราว ถ้าไม่มีก็จะไม่กระทบการการดำเนินชีวิต แต่ก็ใช่ว่าเราจะซื้อสินค้าด้วย  want ไม่ได้ ถ้าการซื้อดังกล่าวไม่กระทบการการใช้ชีวิตของเรา เพียงแต่หากเราไม่ซื้อสินค้าดังกล่าว เงินนั้นจะสามารถนำมาเก็บออมเพื่อช่วยเราในยามเกษียณได้

นิสัยที่สอง คือ นานๆ จะ sale สักที เห็นป้ายแดงแล้วเงินในกระเป๋ามันสั่นเตือนให้ซื้อประจำ แม้จะมีของคล้ายๆ กันนี้แล้วอยู่ที่บ้านหลายชิ้นก็ตาม ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักจะมีคำพูดตามมาคือ “ก็ของมันลดราคา นานๆ เค้าจะ sale สักที” พฤติกรรมแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด The six principles of persuasion ของ Robert Cialdini ในหัวข้อ Scarcity ที่บอกไว้ว่า คนเราจะตัดสินใจทำอะไร เพราะเสียดายโอกาสนั้นๆ หรือกลัวจะพลาดนั่นเอง ยิ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เงินในกระเป๋าก็จะยิ่งลดน้อยลงแน่ๆ

วิธีแก้
คือ ตั้งสติแล้วกำหนดลมหายใจลึกๆ ลองคิดให้ดีว่า ของสิ่งนี้เป็นของที่จำเป็นหรือไม่ ของที่บ้านมีอยู่หรือยัง จะได้ใช้จริงไหม ไม่มีมันเรายังโอเคหรือไม่ เราซื้อเพราะอะไรกันแน่ ประมาณ 6-7 วินาที ใครจะนานกว่านั้นก็ได้นะ เพื่อกำหนดจิตของเราให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าดังกล่าว

นิสัยที่สาม คือ ไม่ได้มากันบ่อยๆ วลีที่ทุกคนมักใช้กัน ยิ่งเฉพาะคนที่ไปต่างประเทศแล้วเกิดเห็นของที่อยากได้ แล้วรู้สึกลังเล หรือไม่แน่ใจว่าจะได้ใช้จริงๆ  คำๆนี้มักจะเกิดขึ้น “ซื้อไปเถอะ ไม่ได้มากันบ่อยๆ” หรืออีกคำคือ “ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกทีเมื่อไร ถ้าไม่ซื้อไปแล้วจะมานั่งเสียใจทีหลัง” ทำคนเสียเงินมานักต่อนักสอดคล้องกับคำว่า You Only Live Once (YOLO) โดยเป็นแนวคิดที่บอกว่า คนเราเกิดมาแค่เพียงครั้งเดียว จึงควรใช้ชีวิตให้คุ้ม ซึ่งคำว่าคุ้มนี่ล่ะที่ทำคนเจ็บมานักต่อนัก

วิธีแก้ คือ ให้เรา “ตั้งงบประมาณในการชอปปิง” แต่ละครั้งไว้ว่า เราจะใช้เงินไม่เกินเท่าไร และพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใต้งบประมาณดังกล่าว หรืออาจจะเตรียมเงินให้เพียงพอกับเป้าหมายที่ตั้งไว้

การแก้นิสัยเหล่านี้เชื่อว่าต้องใช้สติ และความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะของก็ช่างยั่วยวนจิตใจได้ดีเหลือเกิน แต่หากเราลองมองระยะยาว เราจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่อาจจะไม่จำเป็นเหล่านี้ลงได้ แล้วนำเงินดังกล่าวไปออมในรูปแบบต่างๆ ก็จะทำให้ชีวิตในช่วงเกษียณในระยะยาวของเราสุขสบายยิ่งขึ้น

ถ้าเพื่อนๆ คิดว่า มีพฤติกรรมหรือนิสัยแบบอื่นๆ ที่ทำให้เราเก็บเงินไม่ได้ สามารถร่วมแบ่งปันได้เลยนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่