ขอเริ่มต้นแนะนำตัวก่อนนะครับว่า
วันเรียน >>> ปี 2560 ผมได้จบบัญชี จากมหาลัยรัฐดังแห่งนึง(ปัจจุบันออกระบบแล้ว) เกรด ก็แย่ๆ 2.5xx
ซึ่งก่อนเรียนจบก็มีที่ทำงานแล้วเป็น investment banking ของบริษัทแห่งหนึ่งไม่ดังมากแต่เป็นที่รู้จักกันในวงการตลาดทุน ซึ่งได้งานนี้มาก็เป็นเพราะความขยัน มุ่งมั่น และประกอบกับมีเจ้านายที่เห็นแววว่าแม้ไม่ได้เป็นเด็กที่เกรดสวยแต่ก้มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ซื่อสัตย์ เรียนรู้อะไรเร็ว สอนง่ายอยู่ในโอวาส เข้ากับคนอื่นได้ดี และ มีทักษะการพูด และจัดการ ควบคุม และผสานงานได้ดีมากๆ เจ้านายไม่สนใจเกรดที่ได้ท่านเพียงบอกว่าคุณเป็นคนที่เก่งแต่ไม่รู้ตัวว่าเก่ง และขาดเพียงโอกาส ท่านจึงได้รับผมเข้าทำงานพร้อมกับคำรับปากว่าผมจะสอนคุณเอง
วัยทำงาน >>> ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานก่อนจะเรียนจบสะอีกคือ เรียนเสร็จก็ไปหาเจ้านายเพื่อเรียนรู้งาน แลกเปลี่ยนความรู้ พูดคุย และไปหาลูกค้าบ้างตามเจ้านายไป เมื่อสอบเสร็จในเทอมสุดท้ายของชีวิตมหาลัย วันรุ่งขึ้นก้ทำงานเลย(ตอนนั้นอยากทำงานมากๆไฟแรง) ขอแนะนำก่อนนะครับว่า บริษัทในส่วนงานของผมทีม มี3คน ประกอบด้วย 1.เจ้านายที่รับผมเข้า(พาทเนอร์) 2.เมเนเจอร์ และ 3.ผมเอง แต่ผมจะแบ่งเรื่องราวการทำงานออกเป็น 3ช่วงนะครับทั้งนี้ได้สดวกต่อการเล่าและเข้าใจว่าทำไมผมถึงลาออก ได้แก่ 1.ช่วงเดือนที่ 1-4 (ยังไม่ผ่านโปร) 2.ช่วงเดือนที่ 5-8 และ 3.เดือนที่ 9จนถึงลาออก
เริ่มต้นช่วงแรกเดือนที่1-4 >>> ด้วยความที่เป็นเด็กไฟแรงอยากทำงานมากเพราะเวลาทำงานมันตื่นเต้นที่เจออะไรใหม่ๆให้ได้เรียนรู้และมันเห็นภาพมากกว่าเรียน มาวันแรกก็ออกไปทำงานข้างนอกเลยพาทเนอร์ก็พาไปให้รู้จักกับเมเนเจอร์ก็ถามชื่อถามอะไรคร่าวๆแต่เมเนเจอร์ดูไม่ชอบผมเลย หรือผมรู้สึกไปเองผมก็ไม่ได้อะไร พอวันต่อๆจนก็เข้าออฟฟิศบ้างออกไปหาลูกค้าบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานสบายๆเช่น จดบันทึกการประชุมต่างๆและสรุปให้กับเจ้านายทั้ง2 ,เติมเอกสารสัญญา/ร่างเอกสารให้ตามที่เจ้านายบอก และฝึกทำpowerpoint ซึ่งตอนทำเนี่ยเมเนเจอร์ก็บอกลองทำดูนะมีไรเดี๋ยวเพิ่มเติมให้ซึ่งพอไปส่งงานเขาก็ขยำและฉีกงานผมทิ้ง ด่าประจารกลางออฟฟิศ ซึ่งผมก็คิดว่านี่มันแค่ทดสอบเราสอนเราให้แข็งแกร่งมีความอดทนก็เลยไม่ตอบโต้หรือว่าเถียงแต่ไม่คาดคิดว่าเค้าจะลามปามมาว่าถึง มหาลัยผมว่าสอนมาได้แค่นี้หรอกระจอกปัญญาอ่อนและอื่นๆ แต่อย่างไรผมก็ยังไม่ตอบโต้ทีนี้พี่แกนี่เล่นมาถึงครอบครัวและตระกูลผมเลย ผมก็ได้แต่กำมืออดทนต่อไปพี่แกก็ยังไม่หยุดและทำวนๆไป นานจนผมผ่านโปร แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันบางวันก็ไม่มีใครเข้าออฟฟิศ บางวันเจอเมเนเจอร์ก็ดี แต่พี่พาทเนอร์ผมไม่ค่อยเจอเลยเจอ 4-5 ครั้งแต่ก็ไม่มีประเด็นอะไรงานก็ได้แต่ถามว่าโอเครกับเมเนเจอร์ไหมแต่ผมก้ไม่เล่าให้แกก็บอกโอเครครับไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งช่วงนี้เองผมก็ยอมรับนะว่าผมใหม่แต่งานอะไรที่ผมผิดครั้งแรกก็ไม่เคยผิดอีกเลย งานที่เคยทำช้าๆ2วันเพราะทำครั้งแรกไม่มีคนสอนเพราะพี่เมเนเจอร์ชอบบอกว่าให้คิดเองทำเอง และถามอะไรไปก็เอาแต่ด่าๆ พอส่งก็ไม่แก้ไม่ไรไม่ติไม่ชมกระทำผมร้ายๆแบบบที่เล่าตามข้างต้นก็สามารถทำเสร็จแบบสวยงามได้ภายใน 2-3ช.ม.
ช่วงที่2 เดือนที่5-8 : ช่วงของความชินงานและชำนาญมากขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากๆและถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สดเลยก็ว่าได้ พี่พาทเนอร์เข้ามาออฟฟิศบ่อยและก็สอนงานให้ผมเยอะมากๆแต่สอนแปปเดียวนะสั้นๆได้ใจความเพราะว่าแกไม่ค่อยมีเวลางานที่แกให้ทำคือ ข้อมูลเบื้องต้นและกระวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทที่จะทำการซื้อขายกันให้ออกมาเป็นpowerpoint ซึ่งผมทำไปประมาน40-50 บริษัทได้ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับธุรกิจเยอะมากๆรวมไปถึงการทำแบบจำลองทางการเงินที่เอาไปใช้ในการซื้อขายบริษัทกัน และช่วงนี้ผมก็รู้สึกพี่เมเนเจอร์ช่วยสอนผมด้วยอีกแรงเหมือนแกผีออกเลยดีกับผมมากๆ ประกอบกับเดือนนี้ลูกค้าที่เจอคือเจ้านายคนนึงที่เคยเป็นเจ้านายของพ่อผมและเป็นคนที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผมเรียนตั้งแต่อนุบาลยันจบมัธยมซึ่งผมเรียกลูกค้าคนนี้ว่าป้าแต่ผมก้ไม่แน่ใจแค่คุ้นๆเลยถามพี่พาทเนอร์ว่าท่านชื่ออะไรปรากฎว่าเป็นคนเดียวกันแต่ทีนี้พี่เมเนเจอร์ก็ผีเข้าเลยถามผมว่า "การที่มืงเรียกเค้าว่าป้าเค้านับญาติกับมืงหรอ" ผมจึงกลับไปเล่าให้พ่อฟังและพ่อก็ติดต่อกับป้าหรือลูกค้าผมไปและพอเจอป้าท่านก็ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ทุกคนช่วยดูแลเด็กคนนี้ด้วยนะเด็กคนนี้เป็นเด็กดีมากๆต่อหน้าเหล่าที่ปรึกษาทางการเงินด้านต่างๆระดับเทพของประเทศไทย ผมรู้สึกปราบปลื้มในใจมากน้ำตาไหลเลยเพราะว่าผมไม่เคยเจอป้าคนนี้เลยสักครั้งรู้แต่ว่าพ่อสอนว่าเรามีเงินเรียนจนจบจนมีวันนี้ก้เพราะป้าคนนี้เพราะความโลกกลมแท้ๆที่ได้พบท่าน แต่แล้วพอเกิดเหตุการณ์นี้พี่เมเนเจอร์ก็ดูเหมือนหน้าแตกละหงุดหงิดใส่>>>ผมจะต่อในช่วง3นะครับเพราะเหตุการณ์มันคาบเกี่ยวกัน
ช่วงที่3 เดือนที่9-ลาออก : ช่วงต่อเนื่องจากช่วงที่ 2 เลยผมก้โดนพี่เมเนเจอร์กดยับเลย ไม่สอนงาน ด่าผมด่าครอบครัว ตระกูล บางทีที่ให้สอนงานก็สอนนะแต่ลากโนตบุคผมไปแรงๆแล้วก็ทุบว่าทำไมไม่มีปัญญาคิดแต่งานที่ผมไม่รู้เนี่ยมันเป็นอะไรที่ห้องเรียนไม่เคยสอนจริงๆเช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน,การร่างเอกสารรายงานของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ และช่วงนั้นเองผมก้มีงานรับปริญญาแกก็ไม่ไปแถวว่ามหาลัยผมบ้านนอก ไปแล้วได้ตังไหม ต้องทุ่มเทกับการรอรับ9-10ชม แบบบนั้นเลยหรอ รวมไปถึงวันซ้อมใหญ่และรับจริงพี่แกลายมาสั่งงานผมแต่เช้าทำเหมือนผมไม่ได้บอก ผมเสียใจมากๆผมรักทุกคนในทีมแต่ก็ไม่มาถ่ายรูป ไม่เลี้ยงข้าว ไม่มีแม้แต่คำยินดี(ช่วงนั้นพี่พาทเนอร์ไปเที่ยวลางานแกยินดีกับผม) จนทำให้ผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องงานแล้วมันเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วผมทนไม่ไหวแล้วผมเลยบอกพี่พาทเนอร์ทุกอย่างและผมพร้อมจะลาออกทันที ทีนี้ก็คุยกันเป็น2-3ชั่วโมงพี่พาทเนอร์ดีมากบอกว่าผมจะหาเมเนอร์ใหม่ ตักเตือนเมเนเจอร์เดิม และหลังจากนั้นก็ปกติไปสัก 1-2อาทิตย์และก็เลวร้ายเหมือนเดิมซึ่งผมก้ทนไม่ได้เลยลาพักร้อนเพื่อพักความตึงเครียดนี้จะหาว่าผมหนีก็ได้ ผมเครียดมากไม่ได้พักเลยเพราะเรียนจบก็ทำงานยาวๆแต่แล้วก็ไม่เป็นสุขเพราะก่อนพักร้อนผมให้พี่เมเนเจอร์ยืมสายชาร์จโน๊คบุคของผมไปทีนี้เค้าทักมาว่าผมลืมผมก็เลยขอร้องให้เขาส่ง grab bike คืนได้ไหมเพราะผมกะลังจะไปเที่ยวกับเพื่อนผมต้องใช้ไปลงรูป วีดีโอแล้วถ้าเข้าเมืองไปมันสายแน่ๆรถออกก่อนชัวพี่แกบอกผมว่า "มืงไม่ได้เอาไปทำงานกูไม่คืนมืงเข้าใจด้วยนะ" ทั้งๆที่เป็นของผมแท้แต่กลับตอบแบบนี้ พอกลับมาจากทริปผมบอกพี่พาทเนอร์อีกครั้งทีนี้แกก็ได้แต่บอกให้ผมทนแต่ผมทน ผมลองดูอีกครั้งอีก 2 เดือนผมก้โดนเหมือนเดิมๆแกล้งทุกวันบางวันก็เอาของเอกสารมาเทบนโต๊ะผมเ อาเศษขนมมาโรยที่นั่งผมบ้าง บอกว่ามีประชุมที่นึงให้เวลาผมเดินทาง15-20นาทีแบบบด่วนๆบ้าง สุดท้ายผมก็ยื่นใบลาออกมาเป็นคราวที่พี่พาทเนอร์ไม่รั้งผมอีกแล้วเพราะแกเข้าใจ..........จากกันด้วยดี
ภายหลังพี่พาทเนอร์เล่าให้ผมฟังว่า
1.พี่เมเนเจอรือายุ26ปีที่เป็นเมเนเจอร์ได้ก็เพราะสถาปนาตัวเอง
2.แกไม่เคยมีลูกน้องเลยสักคน
3.แกเคยเรียนที่ต่างประเทศแค่2ปี เลยอาจจะมีความคิดตะวันตก (คนตะวันตกหรือตะวันออกก็ไม่ควรทำงี้ไหม?ในความคิดผม)
4.ผมจำยอมให้คุณไปดีกว่าต้องปรับเขาเพราะคุณทำอะไรให้ผมได้น้อยกว่าเขา ไม่ใช่คุณทำงานไม่ดีนะ
สรุปในการทำงานวัย22-23
1.บริษัทเข้าทำงาน 10.00 ผมมาทำงาน 8.00 ทุกวัน เพราะผมอยากทำงานเรียนรู้งานเร็วๆและงานมันเยอะบ้าง
2.ผมไม่เคยมีเวลาเลิกงาน บ้างก็ 4-5ทุ่ม หรือตี2-3
3.ผมไม่เคยเถียงหรือตอบโต้สู้กับพี่เมเนเจอร์
4.สิ่งที่ผมไม่ได้เล่ามีอีก 50% เกี่ยวกับพี่เมเนเจอร์
5.ผมเกือบเป็นโรคซึมเศร้าเพราะผมไม่ได้ออกไปพบปะหรือพูดคุยกับใคร นอกจากเช้านั่งทำงานและเย็นนั้งทำงาน
6.ความรู้ที่ได้จากงานคือ พื้นฐานความเข้าใจของธุรกิจมากกว่า 40 บริษัท การmerger&acquisitionระหว่างบริษัท การเพิ่มทุน การทำdue diligence การโอนหุ้น ภาษี กฎหมายมหาชน และอื่นๆมากมายเพราะมันเป็นความลับลูกค้า
ปัจจุบันผมลาออกได้และว่างงานอยุ่ เกือบจะ 1เดือนแล้ว หลายบริษัทชั้นนำไม่ว่าจะ big4 หรืออื่นๆที่ผมสมัครไปก็มีเรียกไปสอบหรือสัมภาษณ์บ้างแต่ก็เกิดคำถามว่าผมอายุเท่านี้ทำอะไรมากมายขนาดนั้นจริงหรอและต่างๆก็เงียบหายไปหรือบ้างก็ปฏิเสธจนผมรู้สึกว่าผมอาจจะตกงานแล้วไม่มีใครเรียกผมเลย ปล.ทุกครั้งที่สอบและสัมภาษณ์ผมไม่มีการแสดงอาการกริยาที่เย่อหยิ่งหรือว่าอวดรู้มากเกินไป ไม่โกรธหรือเหวี่ยง ผมเป็นเด็กสุภาพและควบคุมอารมณ์เก่งมากเวลาเจอผุ้ใหญ่ต้องขอบคุณพี่พาทเนอร์ที่สั่งสอนมาดี
ทั้งนี้ผมต้องการเพียงงานธรรมดามีทีมที่ดี งานเป็นระบบ และมีเวลาให้กับเพื่อน แฟน พี่น้อง พ่อแม่ และกีฬา งานอดิเรก ผมขาดเพียงแค่โอกาสและบางครั้งผมก็น้อยใจที่ผมคิดว่าผมเห็นเพื่อนหรือคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่งอแงในการทำงาน ไม่อดทนหรือขี้เกียจในการทำงานแต่ได้ทำงานที่ดี ผมฟุ้งซ่านละหละ555+ ผมแค่อยากขอคำแนะนำว่าผมควรทำอย่างไรต่อดี
ขอคำแนะนำและปรึกษาการหางานสำหรับมนุษย์เงินเดือนวัย 23 ปี ที่กำลังสับสนและท้อ
วันเรียน >>> ปี 2560 ผมได้จบบัญชี จากมหาลัยรัฐดังแห่งนึง(ปัจจุบันออกระบบแล้ว) เกรด ก็แย่ๆ 2.5xx
ซึ่งก่อนเรียนจบก็มีที่ทำงานแล้วเป็น investment banking ของบริษัทแห่งหนึ่งไม่ดังมากแต่เป็นที่รู้จักกันในวงการตลาดทุน ซึ่งได้งานนี้มาก็เป็นเพราะความขยัน มุ่งมั่น และประกอบกับมีเจ้านายที่เห็นแววว่าแม้ไม่ได้เป็นเด็กที่เกรดสวยแต่ก้มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ซื่อสัตย์ เรียนรู้อะไรเร็ว สอนง่ายอยู่ในโอวาส เข้ากับคนอื่นได้ดี และ มีทักษะการพูด และจัดการ ควบคุม และผสานงานได้ดีมากๆ เจ้านายไม่สนใจเกรดที่ได้ท่านเพียงบอกว่าคุณเป็นคนที่เก่งแต่ไม่รู้ตัวว่าเก่ง และขาดเพียงโอกาส ท่านจึงได้รับผมเข้าทำงานพร้อมกับคำรับปากว่าผมจะสอนคุณเอง
วัยทำงาน >>> ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานก่อนจะเรียนจบสะอีกคือ เรียนเสร็จก็ไปหาเจ้านายเพื่อเรียนรู้งาน แลกเปลี่ยนความรู้ พูดคุย และไปหาลูกค้าบ้างตามเจ้านายไป เมื่อสอบเสร็จในเทอมสุดท้ายของชีวิตมหาลัย วันรุ่งขึ้นก้ทำงานเลย(ตอนนั้นอยากทำงานมากๆไฟแรง) ขอแนะนำก่อนนะครับว่า บริษัทในส่วนงานของผมทีม มี3คน ประกอบด้วย 1.เจ้านายที่รับผมเข้า(พาทเนอร์) 2.เมเนเจอร์ และ 3.ผมเอง แต่ผมจะแบ่งเรื่องราวการทำงานออกเป็น 3ช่วงนะครับทั้งนี้ได้สดวกต่อการเล่าและเข้าใจว่าทำไมผมถึงลาออก ได้แก่ 1.ช่วงเดือนที่ 1-4 (ยังไม่ผ่านโปร) 2.ช่วงเดือนที่ 5-8 และ 3.เดือนที่ 9จนถึงลาออก
เริ่มต้นช่วงแรกเดือนที่1-4 >>> ด้วยความที่เป็นเด็กไฟแรงอยากทำงานมากเพราะเวลาทำงานมันตื่นเต้นที่เจออะไรใหม่ๆให้ได้เรียนรู้และมันเห็นภาพมากกว่าเรียน มาวันแรกก็ออกไปทำงานข้างนอกเลยพาทเนอร์ก็พาไปให้รู้จักกับเมเนเจอร์ก็ถามชื่อถามอะไรคร่าวๆแต่เมเนเจอร์ดูไม่ชอบผมเลย หรือผมรู้สึกไปเองผมก็ไม่ได้อะไร พอวันต่อๆจนก็เข้าออฟฟิศบ้างออกไปหาลูกค้าบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานสบายๆเช่น จดบันทึกการประชุมต่างๆและสรุปให้กับเจ้านายทั้ง2 ,เติมเอกสารสัญญา/ร่างเอกสารให้ตามที่เจ้านายบอก และฝึกทำpowerpoint ซึ่งตอนทำเนี่ยเมเนเจอร์ก็บอกลองทำดูนะมีไรเดี๋ยวเพิ่มเติมให้ซึ่งพอไปส่งงานเขาก็ขยำและฉีกงานผมทิ้ง ด่าประจารกลางออฟฟิศ ซึ่งผมก็คิดว่านี่มันแค่ทดสอบเราสอนเราให้แข็งแกร่งมีความอดทนก็เลยไม่ตอบโต้หรือว่าเถียงแต่ไม่คาดคิดว่าเค้าจะลามปามมาว่าถึง มหาลัยผมว่าสอนมาได้แค่นี้หรอกระจอกปัญญาอ่อนและอื่นๆ แต่อย่างไรผมก็ยังไม่ตอบโต้ทีนี้พี่แกนี่เล่นมาถึงครอบครัวและตระกูลผมเลย ผมก็ได้แต่กำมืออดทนต่อไปพี่แกก็ยังไม่หยุดและทำวนๆไป นานจนผมผ่านโปร แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันบางวันก็ไม่มีใครเข้าออฟฟิศ บางวันเจอเมเนเจอร์ก็ดี แต่พี่พาทเนอร์ผมไม่ค่อยเจอเลยเจอ 4-5 ครั้งแต่ก็ไม่มีประเด็นอะไรงานก็ได้แต่ถามว่าโอเครกับเมเนเจอร์ไหมแต่ผมก้ไม่เล่าให้แกก็บอกโอเครครับไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งช่วงนี้เองผมก็ยอมรับนะว่าผมใหม่แต่งานอะไรที่ผมผิดครั้งแรกก็ไม่เคยผิดอีกเลย งานที่เคยทำช้าๆ2วันเพราะทำครั้งแรกไม่มีคนสอนเพราะพี่เมเนเจอร์ชอบบอกว่าให้คิดเองทำเอง และถามอะไรไปก็เอาแต่ด่าๆ พอส่งก็ไม่แก้ไม่ไรไม่ติไม่ชมกระทำผมร้ายๆแบบบที่เล่าตามข้างต้นก็สามารถทำเสร็จแบบสวยงามได้ภายใน 2-3ช.ม.
ช่วงที่2 เดือนที่5-8 : ช่วงของความชินงานและชำนาญมากขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากๆและถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สดเลยก็ว่าได้ พี่พาทเนอร์เข้ามาออฟฟิศบ่อยและก็สอนงานให้ผมเยอะมากๆแต่สอนแปปเดียวนะสั้นๆได้ใจความเพราะว่าแกไม่ค่อยมีเวลางานที่แกให้ทำคือ ข้อมูลเบื้องต้นและกระวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทที่จะทำการซื้อขายกันให้ออกมาเป็นpowerpoint ซึ่งผมทำไปประมาน40-50 บริษัทได้ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับธุรกิจเยอะมากๆรวมไปถึงการทำแบบจำลองทางการเงินที่เอาไปใช้ในการซื้อขายบริษัทกัน และช่วงนี้ผมก็รู้สึกพี่เมเนเจอร์ช่วยสอนผมด้วยอีกแรงเหมือนแกผีออกเลยดีกับผมมากๆ ประกอบกับเดือนนี้ลูกค้าที่เจอคือเจ้านายคนนึงที่เคยเป็นเจ้านายของพ่อผมและเป็นคนที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผมเรียนตั้งแต่อนุบาลยันจบมัธยมซึ่งผมเรียกลูกค้าคนนี้ว่าป้าแต่ผมก้ไม่แน่ใจแค่คุ้นๆเลยถามพี่พาทเนอร์ว่าท่านชื่ออะไรปรากฎว่าเป็นคนเดียวกันแต่ทีนี้พี่เมเนเจอร์ก็ผีเข้าเลยถามผมว่า "การที่มืงเรียกเค้าว่าป้าเค้านับญาติกับมืงหรอ" ผมจึงกลับไปเล่าให้พ่อฟังและพ่อก็ติดต่อกับป้าหรือลูกค้าผมไปและพอเจอป้าท่านก็ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ทุกคนช่วยดูแลเด็กคนนี้ด้วยนะเด็กคนนี้เป็นเด็กดีมากๆต่อหน้าเหล่าที่ปรึกษาทางการเงินด้านต่างๆระดับเทพของประเทศไทย ผมรู้สึกปราบปลื้มในใจมากน้ำตาไหลเลยเพราะว่าผมไม่เคยเจอป้าคนนี้เลยสักครั้งรู้แต่ว่าพ่อสอนว่าเรามีเงินเรียนจนจบจนมีวันนี้ก้เพราะป้าคนนี้เพราะความโลกกลมแท้ๆที่ได้พบท่าน แต่แล้วพอเกิดเหตุการณ์นี้พี่เมเนเจอร์ก็ดูเหมือนหน้าแตกละหงุดหงิดใส่>>>ผมจะต่อในช่วง3นะครับเพราะเหตุการณ์มันคาบเกี่ยวกัน
ช่วงที่3 เดือนที่9-ลาออก : ช่วงต่อเนื่องจากช่วงที่ 2 เลยผมก้โดนพี่เมเนเจอร์กดยับเลย ไม่สอนงาน ด่าผมด่าครอบครัว ตระกูล บางทีที่ให้สอนงานก็สอนนะแต่ลากโนตบุคผมไปแรงๆแล้วก็ทุบว่าทำไมไม่มีปัญญาคิดแต่งานที่ผมไม่รู้เนี่ยมันเป็นอะไรที่ห้องเรียนไม่เคยสอนจริงๆเช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน,การร่างเอกสารรายงานของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ และช่วงนั้นเองผมก้มีงานรับปริญญาแกก็ไม่ไปแถวว่ามหาลัยผมบ้านนอก ไปแล้วได้ตังไหม ต้องทุ่มเทกับการรอรับ9-10ชม แบบบนั้นเลยหรอ รวมไปถึงวันซ้อมใหญ่และรับจริงพี่แกลายมาสั่งงานผมแต่เช้าทำเหมือนผมไม่ได้บอก ผมเสียใจมากๆผมรักทุกคนในทีมแต่ก็ไม่มาถ่ายรูป ไม่เลี้ยงข้าว ไม่มีแม้แต่คำยินดี(ช่วงนั้นพี่พาทเนอร์ไปเที่ยวลางานแกยินดีกับผม) จนทำให้ผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องงานแล้วมันเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วผมทนไม่ไหวแล้วผมเลยบอกพี่พาทเนอร์ทุกอย่างและผมพร้อมจะลาออกทันที ทีนี้ก็คุยกันเป็น2-3ชั่วโมงพี่พาทเนอร์ดีมากบอกว่าผมจะหาเมเนอร์ใหม่ ตักเตือนเมเนเจอร์เดิม และหลังจากนั้นก็ปกติไปสัก 1-2อาทิตย์และก็เลวร้ายเหมือนเดิมซึ่งผมก้ทนไม่ได้เลยลาพักร้อนเพื่อพักความตึงเครียดนี้จะหาว่าผมหนีก็ได้ ผมเครียดมากไม่ได้พักเลยเพราะเรียนจบก็ทำงานยาวๆแต่แล้วก็ไม่เป็นสุขเพราะก่อนพักร้อนผมให้พี่เมเนเจอร์ยืมสายชาร์จโน๊คบุคของผมไปทีนี้เค้าทักมาว่าผมลืมผมก็เลยขอร้องให้เขาส่ง grab bike คืนได้ไหมเพราะผมกะลังจะไปเที่ยวกับเพื่อนผมต้องใช้ไปลงรูป วีดีโอแล้วถ้าเข้าเมืองไปมันสายแน่ๆรถออกก่อนชัวพี่แกบอกผมว่า "มืงไม่ได้เอาไปทำงานกูไม่คืนมืงเข้าใจด้วยนะ" ทั้งๆที่เป็นของผมแท้แต่กลับตอบแบบนี้ พอกลับมาจากทริปผมบอกพี่พาทเนอร์อีกครั้งทีนี้แกก็ได้แต่บอกให้ผมทนแต่ผมทน ผมลองดูอีกครั้งอีก 2 เดือนผมก้โดนเหมือนเดิมๆแกล้งทุกวันบางวันก็เอาของเอกสารมาเทบนโต๊ะผมเ อาเศษขนมมาโรยที่นั่งผมบ้าง บอกว่ามีประชุมที่นึงให้เวลาผมเดินทาง15-20นาทีแบบบด่วนๆบ้าง สุดท้ายผมก็ยื่นใบลาออกมาเป็นคราวที่พี่พาทเนอร์ไม่รั้งผมอีกแล้วเพราะแกเข้าใจ..........จากกันด้วยดี
ภายหลังพี่พาทเนอร์เล่าให้ผมฟังว่า
1.พี่เมเนเจอรือายุ26ปีที่เป็นเมเนเจอร์ได้ก็เพราะสถาปนาตัวเอง
2.แกไม่เคยมีลูกน้องเลยสักคน
3.แกเคยเรียนที่ต่างประเทศแค่2ปี เลยอาจจะมีความคิดตะวันตก (คนตะวันตกหรือตะวันออกก็ไม่ควรทำงี้ไหม?ในความคิดผม)
4.ผมจำยอมให้คุณไปดีกว่าต้องปรับเขาเพราะคุณทำอะไรให้ผมได้น้อยกว่าเขา ไม่ใช่คุณทำงานไม่ดีนะ
สรุปในการทำงานวัย22-23
1.บริษัทเข้าทำงาน 10.00 ผมมาทำงาน 8.00 ทุกวัน เพราะผมอยากทำงานเรียนรู้งานเร็วๆและงานมันเยอะบ้าง
2.ผมไม่เคยมีเวลาเลิกงาน บ้างก็ 4-5ทุ่ม หรือตี2-3
3.ผมไม่เคยเถียงหรือตอบโต้สู้กับพี่เมเนเจอร์
4.สิ่งที่ผมไม่ได้เล่ามีอีก 50% เกี่ยวกับพี่เมเนเจอร์
5.ผมเกือบเป็นโรคซึมเศร้าเพราะผมไม่ได้ออกไปพบปะหรือพูดคุยกับใคร นอกจากเช้านั่งทำงานและเย็นนั้งทำงาน
6.ความรู้ที่ได้จากงานคือ พื้นฐานความเข้าใจของธุรกิจมากกว่า 40 บริษัท การmerger&acquisitionระหว่างบริษัท การเพิ่มทุน การทำdue diligence การโอนหุ้น ภาษี กฎหมายมหาชน และอื่นๆมากมายเพราะมันเป็นความลับลูกค้า
ปัจจุบันผมลาออกได้และว่างงานอยุ่ เกือบจะ 1เดือนแล้ว หลายบริษัทชั้นนำไม่ว่าจะ big4 หรืออื่นๆที่ผมสมัครไปก็มีเรียกไปสอบหรือสัมภาษณ์บ้างแต่ก็เกิดคำถามว่าผมอายุเท่านี้ทำอะไรมากมายขนาดนั้นจริงหรอและต่างๆก็เงียบหายไปหรือบ้างก็ปฏิเสธจนผมรู้สึกว่าผมอาจจะตกงานแล้วไม่มีใครเรียกผมเลย ปล.ทุกครั้งที่สอบและสัมภาษณ์ผมไม่มีการแสดงอาการกริยาที่เย่อหยิ่งหรือว่าอวดรู้มากเกินไป ไม่โกรธหรือเหวี่ยง ผมเป็นเด็กสุภาพและควบคุมอารมณ์เก่งมากเวลาเจอผุ้ใหญ่ต้องขอบคุณพี่พาทเนอร์ที่สั่งสอนมาดี
ทั้งนี้ผมต้องการเพียงงานธรรมดามีทีมที่ดี งานเป็นระบบ และมีเวลาให้กับเพื่อน แฟน พี่น้อง พ่อแม่ และกีฬา งานอดิเรก ผมขาดเพียงแค่โอกาสและบางครั้งผมก็น้อยใจที่ผมคิดว่าผมเห็นเพื่อนหรือคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่งอแงในการทำงาน ไม่อดทนหรือขี้เกียจในการทำงานแต่ได้ทำงานที่ดี ผมฟุ้งซ่านละหละ555+ ผมแค่อยากขอคำแนะนำว่าผมควรทำอย่างไรต่อดี