ผจญภัยในสนามบินชิโตเสะ หลังสนามบินปิด

ผมไปฮอกไกโดครั้งแรก พาครอบครัวไป มี แม่ยาย ภรรยา ผม และลูกชายสองคน 6กับ12 ขวบ เราตัดสินใจเช่ารถขับ และคืนรถเช่าก่อนกลับวันสุดท้าย เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลสำหรับการคืนรถในตอนเช้า เพราะไฟลท์บินกลับของแอร์เอเชียคือ 9.55 น. ซึ่งถ้านอนซัปโปโรจะต้องลุ้นกันเหนื่อยเลยว่าจะคืนรถและมาเช็คอินทันมั้ย

สรุปว่าเราค้างคืนที่ Air Terminal Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมในสนามบินชิโตเสะ  ซึ่งเป็นสนามบินที่มีรูปร่างเหมือนแมงดา  ส่วนหัวมนๆ จะเป็นฝั่ง Domestic และมี Center Building เป็นแกนกลาง มีร้านค้าร้านอาหารเยอะมาก รวมทั้งมี Onsen เล็กๆให้ใช้บริการเปิด 24 ชั่วโมงด้วย เป็นห้างเล็กๆ เลย ในขณะที่ส่วนหางเป็นฝั่ง International ซึ่งถ้าเดินมาก็ยาวมาก ประมาณ 15 นาทีได้  แต่...สิ่งที่คุณต้องทราบคือ สนามบินชิโตเสะไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงครับ เวลาทำการปกติคือ 6.20 -23.00 น. หลังจากนั้นประตูจะปิดหมด

ส่วนของโรงแรม Air Terminal นั้นประตูทางเข้า จะอยู่ทางขวาสุดของหัว Domestic ใช้ประตูทางเข้าได้ที่ชั้น 1 แล้วขึ้นลิฟท์ไปเช็คอินที่ชั้น 3  ตัวโรงแรมเองจะอยู่แค่ชั้น 3-5 เท่านั้น เพราะโซนนั้นชั้นสองจะเป็นขาออก และชั้น1 จะเป็นขาเข้า ตอนเช็คอิน พนักงานแจ้งเราแล้วว่า หลัง 5 ทุ่ม ประตูจะปิดหมด ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ และกลับเข้ามาไม่ได้ ซึ่งเราก็คิดว่าคงไม่ได้ออกไปไหนแน่นอน อยู่แต่ในสนามบินนี่แหละ จะไปออกเซ็นให้เปื่อยเลยก่อนกลับบ้าน

ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ เราคืนรถเสร็จกลับมาเกือบ 4 ทุ่ม ภรรยากับแม่ยายแพ็คของเสร็จก็ว่าจะไปออนเซ็นกันแล้วให้ลูกสองคนเล่นเกมส์อยู่ในห้อง  ทีนี้ เราลืมแว่นกันแดดไว้ในรถที่เราเพิ่งคืนไป นึกขึ้นได้เลยรีบโทรไปบอกให้เค้าเก็บไว้ให้ เช้าจะรีบไปเอา พนักงานเค้าก็ดีมากๆ บอกว่าเดี๋ยวจะขับรถเอามาให้เอง ให้ไปรอที่หน้าประตูชั้น 1 ทางเข้าโรงแรม ซึ่งใกล้เวลา 5 ทุ่ม สนามบินจะปิดแล้ว  เราเลยบอกภรรยากับแม่ยายให้ไปออนเซ็นก่อน เดี๋ยวได้แว่นคืนแล้วจะตามไป  

เค้าก็ออกไปกันตอน 4ทุ่ม50 หลังจากขอคูปองพนักงานโรงแรม ก็เดินกันไปสองคนโดยจะต้องลงลิฟท์ไปชั้น2 หรือชั้น 1 ก็ได้ เพื่อเดินไปยัง Central Building แล้วขึ้นลิฟท์หรือบันไดเลื่อนไปชั้น 4 เพื่อไปออนนเซ็น  ระหว่างนั้นเราก็ยืนรอเค้าเอาแว่นมาให้ที่ประตูชั้น 1 รอจนใกล้ 5 ทุ่มแล้วก็กลัวว่าถ้าประตูมันปิดจริงๆ แล้วเรายังไม่ได้แว่น จะเข้าไปยังไงวะ  เลยกะว่า ยืนรองข้างในดีกว่า ถ้าเค้ามาไม่ทัน จะได้ไม่โดนขังข้างนอก  ตรงประตูที่เรารอจะเป็นประตูอัตโนมัติ 2 ชั้น  ระหว่างยืนรอเราเลือกยืนตรงกลางระหว่างสองประตูเพื่อให้มันเปิดไว้ตลอด 5555 อย่างน้อยก็ไม่โดนขัง  ในระหว่างนั้นก็สำรวจไปรอบๆ เจอว่ามีป้ายของโรงแรมเขียนว่า ถ้าคุณเข้าหลัง 5 ทุ่ม กรุณาใช้กุญแจห้องไขที่ตำแหน่งนี้ เพื่อเปิดประตูบานในออกได้ ..... แสดงว่า ประตูบานนอกต้องไม่ปิดแน่นอน เราเลยลองไขดูมันเปิดบานในออกได้จริงๆด้วย  คราวนี้ก็เลยมายืนรอแว่นข้างนอกอาคารเลย กลัวเค้าไม่เห็น

สักพักยามมาปิดประตูหมดแล้ว  คนเอาแว่นมาคืนก็มาถึงพอดี เราก็ขอบคุณเค้ามากๆ ที่อุตส่าห์มาคืนให้ตอนห้าทุ่มด้วย  เสร็จแล้วก็เดินกลับเข้าโรงแรมด้วยความมั่นใจว่า ใช้กุญแจไขเข้าได้สบาย  แล้วกำลังจะเดินไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นชั้น 3 ไปโรงแรม  ทันใดนั้นเอง เราเห็นว่าเค้าเอาประตูบานม้วนลงมาปิดทั้งสองฝั่งทางเดินหมดเลย !!!!!  แสดงว่า ไม่สามารถเดินเข้าไปภาายในสนามบินได้ด้วย  สามารถเดินได้แค่ทางเข้าโรงแรมแล้วขึ้นลิฟท์เท่านั้น!!!!!

ผมตกใจมาก เพราะภรรยากับแม่ยายเพิ่งไปออนเซ็น แล้วจะกลับกันมายังไง !!?? เค้าจะรู้มั้ยว่ามีทางเข้าทางเดียว แล้วเค้าจะกลับออกมาจากออนเซ็นยังไง โอยยย!!! ผมมือไม้สั่นเลย เพราะลูกสองคนก็อยู่ในห้อง ภรรยากับแม่ยายก็อยู่อีกฝั่งของอาคาร  ก็เลยขึ้นไปจะให้พนักงานโรงแรมช่วยแจ้งทางออนเซ็นว่า ถ้าเสร็จแล้วให้เค้าช่วยพาออกมาได้มั้ย  เมื่อผมขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ไฟปิดหมดแล้ว ไม่มีพนักงานอยู่ !!! ผมยิ่งช็อคกว่าเดิม  ทำยังไงดี  ผมสังเกตเห็นไฟในออฟฟิศหลังเคาน์เตอร์ยังเปิด ก็เลยตะโกนเรียก สักพักเหมือนจะเป็นผู้จัดการที่อยู่เวรดึกคนเดียว เดินออกมา ผมอธิบายให้เค้าฟังว่าภรรยากับแม่ยาย น่าจะติดอยู่ฝั่งออนเซ็น ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเค้าจะกลับออกมากันยังไง  ช่วยผมที  ทางผู้จัดการก็บอกว่าปิดหมดแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่งั้นคุณก็ต้องไปออนเซ็นเอง  ผมก็ถามกลับไปว่า แล้วจะไปยังไงในเมื่อประตูมันปิดหมด  เค้าก็วาดแผนที่ให้แล้วบอกว่า มันมีลิฟท์ตัวนึงที่เปิด 24 ชั่วโมง ให้เข้าไปทางนั้นแล้วขึ้นไปชั้น 4 เลย  ผมก็เลยไปบอกลูกก่อน ว่าให้รอ ไม่ต้องกลัว มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้วด้วย แต่ก็ต้องไปรับแม่กับยายออกมา ลูกก็เริ่มร้องไห้ กลัวว่าแม่กับยายจะติดอยู่ฝั่งนู้นออกมาไม่ได้

หลังจากออกไปทางประตูเดิม ที่กลับมาจากเอาแว่น  ผมก็เดินไปตรง Central Building เพื่อหาลิฟท์ที่เปิดอยู่แค่ตัวเดียว  ข้างนอกเงียบและมืด หนาวและมีฝนปรอยเล็กน้อย ในที่สุดก็หาเจอ ผมขึ้นลิฟท์ไปจนถึงชั้น 4 เดินไปทางออนเซ็น ซึ่งเป็นเหมือนเรียวกัง มีห้องพักเป็นแบบห้องรวม มีชุดยูกะตะให้เปลี่ยน สำหรับคนที่จำเป็นต้องค้างคืนที่สนามบินก็สามารถจองทางเว็บไซต์ได้  แต่เหมือนจะเต็มเพราะเห็นคนนอนอยู่ด้านนอก 4-5 คนด้วย

ผมเดินเข้าไปถามพนักงานชาย 2 คนที่อยู่เคาน์เตอร์ ถามว่ามีผู้หญิงสองคนอยู่ในออนเซ็นมั้ย  พนักงานซึ่งไม่พูดภาษาอังกฤษเลย  ปฏิเสธทันที เพราะฟังไม่รู้เรื่องว่าเราพูดอะไร โบกมือปฏิเสธแบบไม่ฟังไม่คุย  เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปดูเอง เลยตัดสินใจนั่งรอด้านนอกอย่างกระวนกระวาย เกือบ 15 นาที กลัวว่าเค้าจะเดินกลับออกไปแล้วหาทางออกไม่เจอ ออกไม่ได้รึป่าว ฯลฯ  สักพัก เกือบตี 1 ก็เห็นภรรยากับแม่ยายเดินออกมาจากห้องออนเซ็น  ก็เลยโล่งใจ  แล้วก็พากันเดินกลับไปที่โรงแรม  ภรรยาผมบอกว่า กว่าจะเดินมาถึงออนเซ็นก็เห็นว่าร้านปิดหมดแล้ว และพอมาถึงยามก็ไล่บอกว่าปิดแล้ว แต่ก็ถามเค้าแล้วว่าออนเซ็นเสร็จแล้วออกทางไหน เค้าก็บอกแล้วว่ามีทางออกที่เปิดตลอดอยู่  เลยแช่ออกเซ็นดีกว่าไหนๆ มาแล้ว.....สรุปว่าเดินกลับโรงแรมกันอย่าง Happy Ending 55555  

สรุปว่า ถ้ามาพัก Air Terminal แล้วไปออนเซ็น ควรจะไปแล้วกลับมาก่อน 23.00 น. ไม่งั้นต้องหาทางออกแล้วเดินอ้อมนอกอาคาร กลับเข้ามาใหม่ และถ้าไม่ได้เอากุญแจห้องไปด้วย มีหวังได้นอนค้างที่ออนเซ็นจนเช้าแน่ๆ  

เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นครับ มีต่ออีก สำหรับเรื่องตื่นเต้นในสนามบินของผม55555


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่