เพื่อนแท้
อุ้ยเสี่ยวมินเขียน
เป็ง ๆ ๆ หลวงพี่โหนตื่นนอน มองดูเหยิงซึ่งนอนอ้าปากกรนเสียงดังสนั่นห้อง หลวงพี่อดหัวเราะไม่ได้ คิดในใจ นอนอืดหมดสภาพ ปล่อยให้ตื่นเองดีกว่า หลวงพี่จึงล้างหน้า แปรงฟัน ผ่มจีวร ไปวิหารกลางน้ำ เจ้าอาวาสรอพระมาจนครบจึงนำสวดทำวัตรเช้า
ส่วนเหยิงมีความไม่สบายใจหลายเรื่องจึงมานอนวัด เพื่อพูดคุยกับหลวงพี่ เมื่อคืนคุยกันหลายเรื่อง กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน พลันได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จึงตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟัน ไปนั่งสวดมนต์ใช้เวลา1ชั่วโมง หลังจากนั้น แยกย้ายกันเข้าที่พัก ซึ่งมองดูเวลาอีกสักพักใหญ่
หลวงพี่คงได้บิณฑบาตร หลวงพี่จึงพูดคุยเหยิงด้วยประโยคว่า “เป็นจั๋งใด๋ สบายดีบ่อ”
เหยิงตอบ “บ่อ ค่อยสิเมิดแรงแล้ว ล้อเล่นครับ ผมกำลังหัดพูดอีสานเผื่อจะได้คู่เป็นสาวอีสานบ้างสักคน ไม่ไหวก็ต้องไหวละครับ ฮ่าๆ”
หลวงพี่ยิ้ม “เอากับมัน คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว สุขทุกข์มันคือโลกธรรม ทำในแต่ละวันให้ดีที่สุด เมื่อแก้ปัญหาไม่ตกต้องมีหลักยึดให้ผ่านพ้น
หากแก้ลำพังไม่ได้จึงต้องมีเพื่อนดีๆ ชี้แนวทางแก้ไข”
เหยิงนั่งนิ่ง “แล้วคนดีเป็นจั๋งได๋ครับ หน้าเหมือนค่อยบ่อ”
หลวงพี่ยิ้ม “ยังทะเล้นไม่เปลี่ยน จำได้ว่าเหยิงเคยเล่าเรื่องซุนปินให้ฟัง เล่าอีกครั้งได้ไหม”
เหยิงนั่งคิด “เอ่อบางคนก็ว่าซุนปินกับซุนวูเป็นคนเดียวกัน อันนี้คงให้หลวงพี่นั่งทางในไปถาม คงจะได้คำตอบ แต่ที่แน่ๆ ลุงขี้เมาเล่าว่า
ซุนปินเป็นหลานซุนวู ซุนวูได้ถ่ายทอดวิชาให้กับศิษย์ผู้มีฉายาว่ากุ่ยกู่เซียนเซิง เด็กหนุ่มซุนปินเดินทางไปสำนักหุบเขาปีศาจเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์
ระหว่างทาง แวะกินข้าวมันไก้ ทำให้เจอฝางเจวียนกำลังมีเรื่องกับเจ้าของร้านๆกำลังจะใช้หมัดอรหันต์ ตะบันหน้า แต่ซุนปินเดาว่าผางเจวียน
คงจะไม่ได้จ่ายตังค์จึงร้องห้าม ช้าก่อนครับ รับบัตรเครดิตมั้ยกั๊บ เจ้าของร้านข้าวมันไก้จึงหยุดพูดรับแต่เงินสด ซุนปินบอกใจเย็นจ้าเดี๋ยวผมจ่ายตังค์ให้
เจ้าของร้านได้รับค่าอาหารแล้วก็ไม่เอาเรื่องผางเจวียน ซุนปินจึงชวนเขามานั่งโต๊ะพูดคุย ผางเจวียนเล่าว่าบ้านข้ายากจน จึงคิดจะไปเรียนวรยุทธ
สำนักกวนประสาทเอ้ยสำนักเขาปีศาจ เพื่อยกฐานะตน เมื่อมาถึงร้านข้าวมันไก้ จึงสั่งข้าวกินจนอิ่ม พอจะจ่ายตังค์ ไหง๋กระเป๋าตังค์หายเสียได้
ซุนปินสงสารในชะตา ชักชวนเด็กหนุ่มไปด้วยกัน
ครั้นเมื่อทั้ง2ไปถึงสำนักวิชา จะต้องผ่านการทดสอบเด็ดชาจากหน้าผาเสียก่อนจึงมีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ กุ่ยกู่เซียนเซิงให้ศิษย์ไป
สังเกตวิธีการเด็ดชาพบว่า ซุนปินลีลาเด็ดชาอ่อนโยน (ใส่ใจในรายละเอียดเก็บชา) ไม่ทำให้ชาเสียหายสักต้นเหมาะกับการถ่ายทอดวรยุทธ (วิชา)
ส่วนผางเจวียนถอนจนต้นชาเสียหาย ไม่เหมาะจะถ่ายทอด
อาจารย์จึงเรียกซุนปินเข้าพบ บุคลิกของซุนปินเป็นที่โดนใจ ซุนปินจึงขอร้องอาจารย์ให้รับผางเจวียนอีกคน อาจารย์นิ่งคิดสักครู่ อืม...
ตามนั้น
ครั้นทั้ง2ฝึกวิชาได้15ปี ผางเจวียนคิดว่าตนมีความรู้แตกฉานจึงขอตัวลาพระเจ้าตาเอ้ยอาจารย์ไปทำงานราชการ แคว้นเว่ย
มีครั้งหนึ่งผางเจวี๋ยน (ที่ปรึกษาความมั่นคง) คิดแก้กลศึกไม่ออก จึงเขียนจอมอ จ่าหน้าซองถึงเพื่อนเลิฟให้มาช่วยข่อยแหน่ ข่อยเมิดทางแล้ว
ฝ่ายอาจารย์คอยสังเกตนิสัยลูกศิษย์ตั้งแต่เริ่มต้นเรียนวิชาจนปัจจุบัน เตือนซุนปิน หากแก้ปัญหาโดยง่ายดาย
ผางเจวียนจะทำร้ายเธอถึงชีวิต ซุนปินมั่นใจเพื่อนไม่เป็นคนเช่นนั้น บอกกับอาจารย์ ค่อยบ่เชื่อท่านดอก
กุ่ยกู่เซียนนั่งนิ่ง ส่ายหน้า เมิดปัญญาสิห้าม จึงมอบซองสีแดง กำชับว่า ระหว่างทางห้ามเปิดซองเด็ดขาด เดี๋ยวจะเจอสาวงาม ฮ่าๆ
(คนละเรื่องแล้ว) ล้อเล่นจ้า ...โดยกำชับว่าให้เปิดอ่านยามคับขัน ซุนปินกราบลาอาจารย์ เดินทางไปแคว้นเว่ย
ครั้นเมื่อฟังปัญหาจากเพื่อน ซุนปินก็แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองชอบในความสามารถ คิดจะตั้งเป็นที่ปรึกษา ผางเจวียนจึงพูดกับ
เจ้าแคว้นเป็นการส่วนตัวว่าซุนปินมาจากแคว้นอื่น ไม่ควรไว้ใจ หากจะใช้งานก็ควรปรึกษาเป็นครั้งคราว เจ้าแคว้นเว่ยก็เชื่อตาม
แต่ออร่าคนจะเก่งทำไงก็โดดเด่น เจ้าเมืองมักเรียกใช้เขาเป็นการส่วนตัว ผางเจวียนล่วงรู้ข่าว เกรงซุนปินจะมาแย่งตำแหน่งตน จึงจัดฉาก
มีจอมอจากแคว้นฉี จ่าหน้าซองถึงซุนปิน ผางเจวียนนำจดหมายให้เจ้าเว่ยๆเห็นเนื้อความจดหมาย ก็เข้าใจว่าซุนปินเป็นไส้ศึกจึงให้ผางเจวียนจับกุมเขาลงโทษ
ซุนปินอยู่ในบ้านตามลำพัง ครั้นเห็นทหารจำนวนมาก นึกถึงคำอาจารย์ คิดจะหาทางหนี แต่สายเสียแล้ว เขาถูกจับตัวดำเนินคดี
ผางเจวียนพูดกับซุนปินว่าอาจารย์ไม่เคยชมข้าสักครา ถึงคราวนี้คงได้เห็นแล้วว่าใครเก่งกว่า ซุนปินจึงพูดว่าเพื่อนเอ๋ยเห็นแก่เคยร่วมทุกข์สุขกันมา ช่วยข้าสักคราเถิด ผางเจวียนหัวเราะ ใครเพื่อนแก
คำพูดผางเจวียนเหมือนใบมีดเสียบกลางใจ โอ้ย สะเทือนไตเป็นที่สุด เท่านั้นยังไม่พอ ผางเจวียนมีความซาดิสใช้แซ่เฆี่ยนตี น้ำตาเทียนหยด
เอาเหล็กร้อนนาบขา สั่งทหารให้ตัดขาทั้ง2ข้าง นำตัวไปขังในเล้าหมู ซุนปินนึกถึงคำอาจารย์จึงรอจังหวะทหารยืนหลับ ล้วงซองสีแดงเปิดอ่าน
ข้อความปรากฏว่า..บ้า เมื่อดูเสร็จก็เคี้ยวกระดาษกลืนคงลอ
หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดคุยกับใคร เกือบอาทิตย์ อาทิตย์ที่สองเริ่มทำตัวเหมือนคนบ้า พูดจาวนไปมา หัวเราะ ร้องไห้ พูดกับก้อนขี้
เอามือแหย่ขี้ หนักสุดก็กินขี้หมูและชวนทหารกินด้วย ทหารไม่กล้าเข้าใกล้ รีบไปบอกเจ้านายรับทราบ ผางเจวี๋ยนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ คิดว่าซุนปินฟั่นเฟือน จึงลดทหารเฝ้าระวัง ซุนปินใช้ปัญญาหาทางหลบหนีทหารไปแคว้นฉี
ต่อมาหลายปี ซุนปินได้เป็นที่ปรึกษาของนายพลเถี๋ยนจี๋ แห่งแคว้นฉี สมัยนั้น เกิดการรบกันระหว่างแคว้นเว่ยและแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวมีสาร
ถึงแคว้นฉีขอกำลังร่วมรบเพราะหากเว่ยยึดจ้าว อันตรายก็ตกแก่ฉี เจ้าแคว้นฉี๋จึงแต่งตั้งนายพลเถี๋ยนจี๋เป็นแม่ทัพ มอบหมายซุนปินเป็นที่ปรึกษา
ให้เร่งรีบส่งทหารไปช่วยเหลือแคว้นจ้าว
ก่อนเดินทัพทั้ง2ได้วางแผนการรบ ซุนปินแนะแผนแก่แม่ทัพๆเห็นด้วยจึงแสร้งเคลื่อนทัพมุ่งไปเมืองต้าเหลียง (เมืองหลวงแคว้นเว่ย)
ผางเจวียนซึ่งกำลังจะยึดดินแดนข้าศึกจึงถอนทัพกลับไปช่วยเมืองตน ในระหว่างทาง เป็นไปตามแผนของซุนปินซึ่งให้ทหารแคว้นฉีซุ่มโจมตีทัพเว่ย
จนแตกขบวน ผางเจวียนหนีรอด แต่ไพร่พลก็ตายไปเกือบครึ่งทัพ
แคว้นเว่ยหลังพ่ายแพ้ ยังไม่ละความพยายามยึดดินแดนแคว้นอื่นจึงเตรียมกำลังพล สะสมอาวุธและสเบียง ซึ่งยุทธการปิดฉากเกิดที่รัฐหาน
คราวนั้นผางเจวียนเดินทัพในแดนข้าศึกพบเจอค่ายทหารของซุนปิน ในครั้งแรกพบร่องรอยการหุงข้าวปลาแก่กำลังพลสิบหมื่น ครั้งที่สอง เหลือห้าหมื่น ครั้งที่สาม สามหมื่น
ผางเจวียนมโนว่าทหารฉีหนีทัพ ครั้งสุดท้าย ไม่ถึงหมื่นและเห็นรอยรถเข็นซุนปิน มุ่งตรงไปในหุบเขา ผางเจวียนหัวเราะ ซุนปินตายแน่
ตายแน่ซุนปิน แต่ทหารคนหนึ่งได้เตือนแม่ทัพว่าอาจเป็นกับดัก ผางเจวียนไม่เชื่อ จึงสั่งทัพให้ตามรอย หวังจะฆ่าซุนปินให้ได้ภายในวันนี้
แต่แท้จริงแล้วเป็นอุบายของซุนปินแนะนำแม่ทัพเถี๋ยนจี๋ใช้เพื่อให้ข้าศึกตกหลุมพราง เมื่อทัพเว่ยเข้าไปมุมอับ ทหารฉีปิดทางเข้าออกไม่ให้ทหารเว่ยหนีรอด ซุนปินได้เตรียมพลซุ่มยิงธนูในระยะหวังผล หากเห็นแสงไฟจากคบเพลิง ให้ยิงทันที
ฝ่ายผางเจวียนไปถึงต้นไม้ ในเวลามืดค่ำ มองเห็นร่องรอยบางอย่างที่ต้นไม้จึงจุดไฟดูข้อความปรากฎคำว่าไอ้เจี๋ยนตายแน่ตายแน่ไอ้เจี๋ยน
(ข้อความจริงคือผางเจวียนตายที่นี่)
ผางเจวียนหัวเราะ ไม่เชื่อ แต่พอเห็นลูกธนูจำนวนมากก็ร้องไห้ ลูกธนูหลายพันดอก พุ่งเข้าสู่ร่างกาย แม่ทัพตาย ทัพเว่ยจึงแตกพ่าย
ไม่กล้ารุกรานดินแดนอื่นอีกเลย
ฝ่ายซุนปินเมื่อเห็นผางเจวียนตายก็ไม่คิดเล่นการเมืองเอ้ยทำราชการ ครั้นเมื่อกลับถึงเมืองฉี จึงขอลาออกจากราชการ หาเมียสักคน
รวยจนไม่สนใจ ฮ่าๆ ล้อเล่นจ้า ขอตัวกลับบ้าน แต่งคัมภีร์พิชัยสงคราม เท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ”
หลวงพี่โหนหัวเราะ “คล้ายของเดิมแต่เพิ่มเติมคือมั่วมาก เรื่องนี้สอนว่าเพื่อนไม่ดีเช่นผางเจวียนก็นำภัยมาสู่ตน ส่วนกุ่ยกู่เซียนเซิงจัดเป็นอาจารย์และเพื่อนที่ดีคอยเตือน แนะทางช่วยเหลือ แต่สำคัญที่สุดคือตัวซุนปิน ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา”
เหยิงนั่งนิ่ง “แล้วจริงๆหลักการคบเพื่อนตามหลักศาสนามีอะไรบ้างครับ”
หลวงพี่ยิ้มพูดว่า “มิตรเทียมได้แก่1.คนปอกลอกคือคิดแต่อยากได้ ลงทุนน้อยหวังสิ่งตอบแทนมาก เมื่อเดือดร้อนจึงแสร้งทำดีเพื่อหวังผล
(ช่วยเหลือ ร่วมทำงาน) คบเพื่อนแล้วตนได้ประโยชน์ 2.คนดีแต่พูดคือเรื่องเก่าเล่าใหม่ โม้ในสิ่งไม่เกิด ให้สิ่งไม่ดีกับผู้อื่น (ของใช้ที่เราไม่ใช้แล้ว หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ) เมื่อเพื่อนมีปัญหามักปฎิเสธให้ความช่วยเหลือ (รวมถึงไม่แนะแนวทาง) 3.คนชอบประจบคือจะทำชั่วก็ชะเลีย
ทำดีก็สนับสนุน ต่อหน้าเป็นเทพ (สรรเสริญ) ลับหลังเป็นมาร (นินทา) 4.คนชวนเสียหายคือแนะแต่สิ่งเมา (กิน ดื่ม ฉีด เสพสิ่งอันตรายแก่ร่างกาย)
เที่ยวแหล่งกลางคืน (สถานบันเทิงทางเพศ) หลงการละเล่น (จนละเลยหน้าที่ หรือเพลิดเพลินจนเงินหมด) ชวนแต่เล่นพนัน
ส่วนมิตรแท้ได้แก่1.เพื่อนมีคุณคือป้องกันไม่ให้เสื่อม รักษาสิ่งมีค่า (ป้องกันดูแลทรัพย์สิน ผลประโยชน์) เมื่อมีปัญหาหาทางแก้ไข
ให้ประโยชน์เมื่อร้องขอ (ให้ยืมเงินทอง สิ่งตามต้องการหรืออาจมากกว่านั้นในยามเพื่อนเดือดร้อน)
2.เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขคือรู้ความลับของเรา เรื่องลับไม่เปิดเผย ยามมีอันตรายช่วยแก้ไข เมื่อเสี่ยงภัยตายแทนได้ 3.เพื่อนแนะประโยชน์คือ
ห้ามไม่ให้ทำผิด แนะให้ทำสิ่งดี ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยทำ (หาสิ่งดีๆเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตให้ฟัง) บอกทางอรหันต์ (แนวทางแสวงหาความรู้
เพื่อพัฒนาตนเอง) 4.เพื่อนรักใคร่คือมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เป็นทนายแก้ต่าง (ปกป้องชี้แจงความเสียหายให้แก่เพื่อนทั้งต่อหน้าและ
ลับหลัง) ยกย่องความดี (ทั้งต่อหน้าและรับหลัง) เหยิงพอจะจับหลักได้บ้างไหม”
เหยิงทำท่าคิด “ผมว่า จริงๆในแต่ละคนก็มีดีไม่ดีในตัว มีหลักที่ง่ายกว่านี้ไหมครับ”
หลวงพี่ยิ้ม “ก็ถูก คนเราไม่มีใครดีหมดแย่หมด เอาเป็นว่าเพื่อนที่ดีคือคนที่เราอยู่แล้วสบายใจ ผ่อนคลาย ไม่เอาเปรียบ ไม่ชักนำเราไปในทางอันตราย (ของชีวิต) ส่งเสริมพัฒนาตัวเราให้ดีโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ปกป้องอันตราย หาทางแก้ไขเมื่อมีปัญหา
เพื่อนไม่ดีโดยพื้นฐานมีความเห็นแก่ตัว ขี้อิจฉา ชอบนินทา คบหวังผลประโยชน์ ชักชวนทำในเรื่องไม่ดี ไม่เตือนหากกำลังจะทำผิด เมื่อมีปัญหาเขาจะหลีกหนีไม่ช่วยเหลือ แต่ก็มีข้อยกเว้นหากเราเป็นคนพาล ไม่มีใครอยากช่วยเพราะจะเป็นภัยให้เดือดร้อนแก่ผู้ช่วยเหลือในภายหลัง”
หลวงพี่พูดจบ ห่มจีวรเพื่อเตรียมบิณฑบาตร
เหยิงเดินไปหยิบย่ามแล้วพูดว่า “โอ้เยอะเกิ้น สรุปสั้นๆได้บ่อ”
หลวงพี่ยิ้ม “สรุป เพื่อนที่ดีก็คือคนที่เราไว้ใจ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ปลอดภัย คอยช่วยเหลือให้เราผ่านพ้นปัญหา บางครั้งเพื่อนก็ไม่สามารถ
จะช่วยเราได้ เขาเองก็อาจมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ดังนั้นตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน โดยใช้สติปัญญาหาแนวทางแก้ปัญหา (ซึ่งรวมทึงการมองมุมบวก
ความอดทน ความเพียรพยายามต่อสู้กับอุปสรรคปัญหา )
โอเคนะ ได้เวลาบิณฑบาตรแล้ว”
เพื่อนแท้ อุ้ยเสี่ยวมินเขียน
อุ้ยเสี่ยวมินเขียน
เป็ง ๆ ๆ หลวงพี่โหนตื่นนอน มองดูเหยิงซึ่งนอนอ้าปากกรนเสียงดังสนั่นห้อง หลวงพี่อดหัวเราะไม่ได้ คิดในใจ นอนอืดหมดสภาพ ปล่อยให้ตื่นเองดีกว่า หลวงพี่จึงล้างหน้า แปรงฟัน ผ่มจีวร ไปวิหารกลางน้ำ เจ้าอาวาสรอพระมาจนครบจึงนำสวดทำวัตรเช้า
ส่วนเหยิงมีความไม่สบายใจหลายเรื่องจึงมานอนวัด เพื่อพูดคุยกับหลวงพี่ เมื่อคืนคุยกันหลายเรื่อง กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน พลันได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จึงตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟัน ไปนั่งสวดมนต์ใช้เวลา1ชั่วโมง หลังจากนั้น แยกย้ายกันเข้าที่พัก ซึ่งมองดูเวลาอีกสักพักใหญ่
หลวงพี่คงได้บิณฑบาตร หลวงพี่จึงพูดคุยเหยิงด้วยประโยคว่า “เป็นจั๋งใด๋ สบายดีบ่อ”
เหยิงตอบ “บ่อ ค่อยสิเมิดแรงแล้ว ล้อเล่นครับ ผมกำลังหัดพูดอีสานเผื่อจะได้คู่เป็นสาวอีสานบ้างสักคน ไม่ไหวก็ต้องไหวละครับ ฮ่าๆ”
หลวงพี่ยิ้ม “เอากับมัน คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว สุขทุกข์มันคือโลกธรรม ทำในแต่ละวันให้ดีที่สุด เมื่อแก้ปัญหาไม่ตกต้องมีหลักยึดให้ผ่านพ้น
หากแก้ลำพังไม่ได้จึงต้องมีเพื่อนดีๆ ชี้แนวทางแก้ไข”
เหยิงนั่งนิ่ง “แล้วคนดีเป็นจั๋งได๋ครับ หน้าเหมือนค่อยบ่อ”
หลวงพี่ยิ้ม “ยังทะเล้นไม่เปลี่ยน จำได้ว่าเหยิงเคยเล่าเรื่องซุนปินให้ฟัง เล่าอีกครั้งได้ไหม”
เหยิงนั่งคิด “เอ่อบางคนก็ว่าซุนปินกับซุนวูเป็นคนเดียวกัน อันนี้คงให้หลวงพี่นั่งทางในไปถาม คงจะได้คำตอบ แต่ที่แน่ๆ ลุงขี้เมาเล่าว่า
ซุนปินเป็นหลานซุนวู ซุนวูได้ถ่ายทอดวิชาให้กับศิษย์ผู้มีฉายาว่ากุ่ยกู่เซียนเซิง เด็กหนุ่มซุนปินเดินทางไปสำนักหุบเขาปีศาจเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์
ระหว่างทาง แวะกินข้าวมันไก้ ทำให้เจอฝางเจวียนกำลังมีเรื่องกับเจ้าของร้านๆกำลังจะใช้หมัดอรหันต์ ตะบันหน้า แต่ซุนปินเดาว่าผางเจวียน
คงจะไม่ได้จ่ายตังค์จึงร้องห้าม ช้าก่อนครับ รับบัตรเครดิตมั้ยกั๊บ เจ้าของร้านข้าวมันไก้จึงหยุดพูดรับแต่เงินสด ซุนปินบอกใจเย็นจ้าเดี๋ยวผมจ่ายตังค์ให้
เจ้าของร้านได้รับค่าอาหารแล้วก็ไม่เอาเรื่องผางเจวียน ซุนปินจึงชวนเขามานั่งโต๊ะพูดคุย ผางเจวียนเล่าว่าบ้านข้ายากจน จึงคิดจะไปเรียนวรยุทธ
สำนักกวนประสาทเอ้ยสำนักเขาปีศาจ เพื่อยกฐานะตน เมื่อมาถึงร้านข้าวมันไก้ จึงสั่งข้าวกินจนอิ่ม พอจะจ่ายตังค์ ไหง๋กระเป๋าตังค์หายเสียได้
ซุนปินสงสารในชะตา ชักชวนเด็กหนุ่มไปด้วยกัน
ครั้นเมื่อทั้ง2ไปถึงสำนักวิชา จะต้องผ่านการทดสอบเด็ดชาจากหน้าผาเสียก่อนจึงมีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ กุ่ยกู่เซียนเซิงให้ศิษย์ไป
สังเกตวิธีการเด็ดชาพบว่า ซุนปินลีลาเด็ดชาอ่อนโยน (ใส่ใจในรายละเอียดเก็บชา) ไม่ทำให้ชาเสียหายสักต้นเหมาะกับการถ่ายทอดวรยุทธ (วิชา)
ส่วนผางเจวียนถอนจนต้นชาเสียหาย ไม่เหมาะจะถ่ายทอด
อาจารย์จึงเรียกซุนปินเข้าพบ บุคลิกของซุนปินเป็นที่โดนใจ ซุนปินจึงขอร้องอาจารย์ให้รับผางเจวียนอีกคน อาจารย์นิ่งคิดสักครู่ อืม...
ตามนั้น
ครั้นทั้ง2ฝึกวิชาได้15ปี ผางเจวียนคิดว่าตนมีความรู้แตกฉานจึงขอตัวลาพระเจ้าตาเอ้ยอาจารย์ไปทำงานราชการ แคว้นเว่ย
มีครั้งหนึ่งผางเจวี๋ยน (ที่ปรึกษาความมั่นคง) คิดแก้กลศึกไม่ออก จึงเขียนจอมอ จ่าหน้าซองถึงเพื่อนเลิฟให้มาช่วยข่อยแหน่ ข่อยเมิดทางแล้ว
ฝ่ายอาจารย์คอยสังเกตนิสัยลูกศิษย์ตั้งแต่เริ่มต้นเรียนวิชาจนปัจจุบัน เตือนซุนปิน หากแก้ปัญหาโดยง่ายดาย
ผางเจวียนจะทำร้ายเธอถึงชีวิต ซุนปินมั่นใจเพื่อนไม่เป็นคนเช่นนั้น บอกกับอาจารย์ ค่อยบ่เชื่อท่านดอก
กุ่ยกู่เซียนนั่งนิ่ง ส่ายหน้า เมิดปัญญาสิห้าม จึงมอบซองสีแดง กำชับว่า ระหว่างทางห้ามเปิดซองเด็ดขาด เดี๋ยวจะเจอสาวงาม ฮ่าๆ
(คนละเรื่องแล้ว) ล้อเล่นจ้า ...โดยกำชับว่าให้เปิดอ่านยามคับขัน ซุนปินกราบลาอาจารย์ เดินทางไปแคว้นเว่ย
ครั้นเมื่อฟังปัญหาจากเพื่อน ซุนปินก็แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองชอบในความสามารถ คิดจะตั้งเป็นที่ปรึกษา ผางเจวียนจึงพูดกับ
เจ้าแคว้นเป็นการส่วนตัวว่าซุนปินมาจากแคว้นอื่น ไม่ควรไว้ใจ หากจะใช้งานก็ควรปรึกษาเป็นครั้งคราว เจ้าแคว้นเว่ยก็เชื่อตาม
แต่ออร่าคนจะเก่งทำไงก็โดดเด่น เจ้าเมืองมักเรียกใช้เขาเป็นการส่วนตัว ผางเจวียนล่วงรู้ข่าว เกรงซุนปินจะมาแย่งตำแหน่งตน จึงจัดฉาก
มีจอมอจากแคว้นฉี จ่าหน้าซองถึงซุนปิน ผางเจวียนนำจดหมายให้เจ้าเว่ยๆเห็นเนื้อความจดหมาย ก็เข้าใจว่าซุนปินเป็นไส้ศึกจึงให้ผางเจวียนจับกุมเขาลงโทษ
ซุนปินอยู่ในบ้านตามลำพัง ครั้นเห็นทหารจำนวนมาก นึกถึงคำอาจารย์ คิดจะหาทางหนี แต่สายเสียแล้ว เขาถูกจับตัวดำเนินคดี
ผางเจวียนพูดกับซุนปินว่าอาจารย์ไม่เคยชมข้าสักครา ถึงคราวนี้คงได้เห็นแล้วว่าใครเก่งกว่า ซุนปินจึงพูดว่าเพื่อนเอ๋ยเห็นแก่เคยร่วมทุกข์สุขกันมา ช่วยข้าสักคราเถิด ผางเจวียนหัวเราะ ใครเพื่อนแก
คำพูดผางเจวียนเหมือนใบมีดเสียบกลางใจ โอ้ย สะเทือนไตเป็นที่สุด เท่านั้นยังไม่พอ ผางเจวียนมีความซาดิสใช้แซ่เฆี่ยนตี น้ำตาเทียนหยด
เอาเหล็กร้อนนาบขา สั่งทหารให้ตัดขาทั้ง2ข้าง นำตัวไปขังในเล้าหมู ซุนปินนึกถึงคำอาจารย์จึงรอจังหวะทหารยืนหลับ ล้วงซองสีแดงเปิดอ่าน
ข้อความปรากฏว่า..บ้า เมื่อดูเสร็จก็เคี้ยวกระดาษกลืนคงลอ
หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดคุยกับใคร เกือบอาทิตย์ อาทิตย์ที่สองเริ่มทำตัวเหมือนคนบ้า พูดจาวนไปมา หัวเราะ ร้องไห้ พูดกับก้อนขี้
เอามือแหย่ขี้ หนักสุดก็กินขี้หมูและชวนทหารกินด้วย ทหารไม่กล้าเข้าใกล้ รีบไปบอกเจ้านายรับทราบ ผางเจวี๋ยนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ คิดว่าซุนปินฟั่นเฟือน จึงลดทหารเฝ้าระวัง ซุนปินใช้ปัญญาหาทางหลบหนีทหารไปแคว้นฉี
ต่อมาหลายปี ซุนปินได้เป็นที่ปรึกษาของนายพลเถี๋ยนจี๋ แห่งแคว้นฉี สมัยนั้น เกิดการรบกันระหว่างแคว้นเว่ยและแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวมีสาร
ถึงแคว้นฉีขอกำลังร่วมรบเพราะหากเว่ยยึดจ้าว อันตรายก็ตกแก่ฉี เจ้าแคว้นฉี๋จึงแต่งตั้งนายพลเถี๋ยนจี๋เป็นแม่ทัพ มอบหมายซุนปินเป็นที่ปรึกษา
ให้เร่งรีบส่งทหารไปช่วยเหลือแคว้นจ้าว
ก่อนเดินทัพทั้ง2ได้วางแผนการรบ ซุนปินแนะแผนแก่แม่ทัพๆเห็นด้วยจึงแสร้งเคลื่อนทัพมุ่งไปเมืองต้าเหลียง (เมืองหลวงแคว้นเว่ย)
ผางเจวียนซึ่งกำลังจะยึดดินแดนข้าศึกจึงถอนทัพกลับไปช่วยเมืองตน ในระหว่างทาง เป็นไปตามแผนของซุนปินซึ่งให้ทหารแคว้นฉีซุ่มโจมตีทัพเว่ย
จนแตกขบวน ผางเจวียนหนีรอด แต่ไพร่พลก็ตายไปเกือบครึ่งทัพ
แคว้นเว่ยหลังพ่ายแพ้ ยังไม่ละความพยายามยึดดินแดนแคว้นอื่นจึงเตรียมกำลังพล สะสมอาวุธและสเบียง ซึ่งยุทธการปิดฉากเกิดที่รัฐหาน
คราวนั้นผางเจวียนเดินทัพในแดนข้าศึกพบเจอค่ายทหารของซุนปิน ในครั้งแรกพบร่องรอยการหุงข้าวปลาแก่กำลังพลสิบหมื่น ครั้งที่สอง เหลือห้าหมื่น ครั้งที่สาม สามหมื่น
ผางเจวียนมโนว่าทหารฉีหนีทัพ ครั้งสุดท้าย ไม่ถึงหมื่นและเห็นรอยรถเข็นซุนปิน มุ่งตรงไปในหุบเขา ผางเจวียนหัวเราะ ซุนปินตายแน่
ตายแน่ซุนปิน แต่ทหารคนหนึ่งได้เตือนแม่ทัพว่าอาจเป็นกับดัก ผางเจวียนไม่เชื่อ จึงสั่งทัพให้ตามรอย หวังจะฆ่าซุนปินให้ได้ภายในวันนี้
แต่แท้จริงแล้วเป็นอุบายของซุนปินแนะนำแม่ทัพเถี๋ยนจี๋ใช้เพื่อให้ข้าศึกตกหลุมพราง เมื่อทัพเว่ยเข้าไปมุมอับ ทหารฉีปิดทางเข้าออกไม่ให้ทหารเว่ยหนีรอด ซุนปินได้เตรียมพลซุ่มยิงธนูในระยะหวังผล หากเห็นแสงไฟจากคบเพลิง ให้ยิงทันที
ฝ่ายผางเจวียนไปถึงต้นไม้ ในเวลามืดค่ำ มองเห็นร่องรอยบางอย่างที่ต้นไม้จึงจุดไฟดูข้อความปรากฎคำว่าไอ้เจี๋ยนตายแน่ตายแน่ไอ้เจี๋ยน
(ข้อความจริงคือผางเจวียนตายที่นี่)
ผางเจวียนหัวเราะ ไม่เชื่อ แต่พอเห็นลูกธนูจำนวนมากก็ร้องไห้ ลูกธนูหลายพันดอก พุ่งเข้าสู่ร่างกาย แม่ทัพตาย ทัพเว่ยจึงแตกพ่าย
ไม่กล้ารุกรานดินแดนอื่นอีกเลย
ฝ่ายซุนปินเมื่อเห็นผางเจวียนตายก็ไม่คิดเล่นการเมืองเอ้ยทำราชการ ครั้นเมื่อกลับถึงเมืองฉี จึงขอลาออกจากราชการ หาเมียสักคน
รวยจนไม่สนใจ ฮ่าๆ ล้อเล่นจ้า ขอตัวกลับบ้าน แต่งคัมภีร์พิชัยสงคราม เท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ”
หลวงพี่โหนหัวเราะ “คล้ายของเดิมแต่เพิ่มเติมคือมั่วมาก เรื่องนี้สอนว่าเพื่อนไม่ดีเช่นผางเจวียนก็นำภัยมาสู่ตน ส่วนกุ่ยกู่เซียนเซิงจัดเป็นอาจารย์และเพื่อนที่ดีคอยเตือน แนะทางช่วยเหลือ แต่สำคัญที่สุดคือตัวซุนปิน ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา”
เหยิงนั่งนิ่ง “แล้วจริงๆหลักการคบเพื่อนตามหลักศาสนามีอะไรบ้างครับ”
หลวงพี่ยิ้มพูดว่า “มิตรเทียมได้แก่1.คนปอกลอกคือคิดแต่อยากได้ ลงทุนน้อยหวังสิ่งตอบแทนมาก เมื่อเดือดร้อนจึงแสร้งทำดีเพื่อหวังผล
(ช่วยเหลือ ร่วมทำงาน) คบเพื่อนแล้วตนได้ประโยชน์ 2.คนดีแต่พูดคือเรื่องเก่าเล่าใหม่ โม้ในสิ่งไม่เกิด ให้สิ่งไม่ดีกับผู้อื่น (ของใช้ที่เราไม่ใช้แล้ว หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ) เมื่อเพื่อนมีปัญหามักปฎิเสธให้ความช่วยเหลือ (รวมถึงไม่แนะแนวทาง) 3.คนชอบประจบคือจะทำชั่วก็ชะเลีย
ทำดีก็สนับสนุน ต่อหน้าเป็นเทพ (สรรเสริญ) ลับหลังเป็นมาร (นินทา) 4.คนชวนเสียหายคือแนะแต่สิ่งเมา (กิน ดื่ม ฉีด เสพสิ่งอันตรายแก่ร่างกาย)
เที่ยวแหล่งกลางคืน (สถานบันเทิงทางเพศ) หลงการละเล่น (จนละเลยหน้าที่ หรือเพลิดเพลินจนเงินหมด) ชวนแต่เล่นพนัน
ส่วนมิตรแท้ได้แก่1.เพื่อนมีคุณคือป้องกันไม่ให้เสื่อม รักษาสิ่งมีค่า (ป้องกันดูแลทรัพย์สิน ผลประโยชน์) เมื่อมีปัญหาหาทางแก้ไข
ให้ประโยชน์เมื่อร้องขอ (ให้ยืมเงินทอง สิ่งตามต้องการหรืออาจมากกว่านั้นในยามเพื่อนเดือดร้อน)
2.เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขคือรู้ความลับของเรา เรื่องลับไม่เปิดเผย ยามมีอันตรายช่วยแก้ไข เมื่อเสี่ยงภัยตายแทนได้ 3.เพื่อนแนะประโยชน์คือ
ห้ามไม่ให้ทำผิด แนะให้ทำสิ่งดี ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยทำ (หาสิ่งดีๆเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตให้ฟัง) บอกทางอรหันต์ (แนวทางแสวงหาความรู้
เพื่อพัฒนาตนเอง) 4.เพื่อนรักใคร่คือมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เป็นทนายแก้ต่าง (ปกป้องชี้แจงความเสียหายให้แก่เพื่อนทั้งต่อหน้าและ
ลับหลัง) ยกย่องความดี (ทั้งต่อหน้าและรับหลัง) เหยิงพอจะจับหลักได้บ้างไหม”
เหยิงทำท่าคิด “ผมว่า จริงๆในแต่ละคนก็มีดีไม่ดีในตัว มีหลักที่ง่ายกว่านี้ไหมครับ”
หลวงพี่ยิ้ม “ก็ถูก คนเราไม่มีใครดีหมดแย่หมด เอาเป็นว่าเพื่อนที่ดีคือคนที่เราอยู่แล้วสบายใจ ผ่อนคลาย ไม่เอาเปรียบ ไม่ชักนำเราไปในทางอันตราย (ของชีวิต) ส่งเสริมพัฒนาตัวเราให้ดีโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ปกป้องอันตราย หาทางแก้ไขเมื่อมีปัญหา
เพื่อนไม่ดีโดยพื้นฐานมีความเห็นแก่ตัว ขี้อิจฉา ชอบนินทา คบหวังผลประโยชน์ ชักชวนทำในเรื่องไม่ดี ไม่เตือนหากกำลังจะทำผิด เมื่อมีปัญหาเขาจะหลีกหนีไม่ช่วยเหลือ แต่ก็มีข้อยกเว้นหากเราเป็นคนพาล ไม่มีใครอยากช่วยเพราะจะเป็นภัยให้เดือดร้อนแก่ผู้ช่วยเหลือในภายหลัง”
หลวงพี่พูดจบ ห่มจีวรเพื่อเตรียมบิณฑบาตร
เหยิงเดินไปหยิบย่ามแล้วพูดว่า “โอ้เยอะเกิ้น สรุปสั้นๆได้บ่อ”
หลวงพี่ยิ้ม “สรุป เพื่อนที่ดีก็คือคนที่เราไว้ใจ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ปลอดภัย คอยช่วยเหลือให้เราผ่านพ้นปัญหา บางครั้งเพื่อนก็ไม่สามารถ
จะช่วยเราได้ เขาเองก็อาจมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ดังนั้นตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน โดยใช้สติปัญญาหาแนวทางแก้ปัญหา (ซึ่งรวมทึงการมองมุมบวก
ความอดทน ความเพียรพยายามต่อสู้กับอุปสรรคปัญหา )
โอเคนะ ได้เวลาบิณฑบาตรแล้ว”