(Apr 12) ขึ้นบัญชีปั่นค่าเงิน ศึกภาคต่อไล่บี้เอเชีย : ยังไม่ทันที่สงครามการค้าที่สหรัฐเปิดฉากกับจีนและทั่วโลกจะจางลง หลายประเทศก็ต้องเตรียมรับมือกับกลิ่นอายของการใช้มาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐเตรียมเปิดตัวรายงานประเทศปั่น ค่าเงิน (Currency Manipulation) ในช่วงกลางเดือน เม.ย.นี้
รายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการคลังสหรัฐ จะตรวจสอบเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าระหว่างประเทศของประเทศ คู่ค้ารายใหญ่กับสหรัฐ โดยเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นปีละ 2 ครั้งเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมา "เป้าหมาย" ของรายงานฉบับนี้มักพุ่งเป้าไปที่ "จีน" เป็นหลัก ว่ากดค่าเงินหยวนของตนเองให้อ่อนกว่าปกติ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการ ส่งออกและทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าจีนจำนวนมหาศาลทุกปี
อย่างไรก็ดี ในปีนี้กลับมีแนวโน้มต่างออกไปว่าประเทศที่เสี่ยงต่อการเข้าข่ายถูกขึ้นบัญชีปั่นค่าเงินของสหรัฐ อาจเป็นประเทศเล็กๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า ซึ่งนำโดย "ประเทศไทย" ที่เข้าข่ายเงื่อนไขถูกขึ้นบัญชีดำครบทั้ง 3 ข้อไปเรียบร้อยแล้ว
การถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศปั่น ค่าเงินนั้น หมายความว่าจะต้องมีเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ 1.เป็นประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 2.เป็นประเทศที่ธนาคารกลางเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศสุทธิมากกว่า 2% ของจีดีพี และ 3.เป็นประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับตั้งแต่ "จีน" ถูกขึ้นบัญชีประเทศปั่นค่าเงินไปเมื่อกว่า 20 ปีก่อน หรือระหว่างปี 1992-1994 ก็ยังไม่เคยมีประเทศใดอีกเลยที่ถูกขึ้นบัญชีตัวนี้ มีเพียงการถูกขึ้นบัญชีประเทศที่ต้องจับตา (Monitoring List) จากการเข้าข่ายเงื่อนไข 2 ข้อ ซึ่งประเทศหน้าเดิมๆ ที่วนเวียนเข้า-ออกอยู่ในลิสต์มาตลอดช่วง 2-3 ปีมานี้ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ประเทศไทยเราไม่ได้ถูกขึ้นบัญชีเพราะที่ผ่านมาติดอยู่แค่เงื่อนไขเดียวก็คือดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลหนักมากกว่าใคร แต่ไทยเริ่มเสี่ยงมากขึ้นตั้งแต่ 1-2 ปีที่แล้ว เพราะมีการซื้อเงินตราต่างประเทศที่เข้าข่ายเป็นการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นด้วยจนปริ่มแตะ 2% ของจีดีพี แต่กระนั้นไทยก็ยัง "ไม่เคย" เกินดุลกับสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์เลยสักครั้ง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การค้า ทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นกันอย่างถ้วนหน้าในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ทำให้ไทยเป็นอีกหนึ่งชาติที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นมาก โดยเกินดุลมากกว่าเดือนละ 1,800 ล้านดอลลาร์ 3 เดือนติดต่อกัน และทำให้กลายเป็นชาติเดียวที่เข้าข่ายครบ 3 ข้อไปเรียบร้อยแล้ว
หากถูกขึ้นบัญชีปั่นค่าเงินอย่างเต็มตัว จะทำให้สหรัฐสามารถดำเนิน "มาตรการตอบโต้" ประเทศคู่ค้านั้นๆ ได้ เพียงแต่ไม่ใช่การตอบโต้อย่าง ฉับพลัน โดยปกติมักจะต้องผ่าน "กระบวนการเจรจา" กันก่อน โดยสหรัฐจะขอเจรจาเพื่อแก้ปัญหาการค้าทวิภาคีที่ไม่สมดุลกัน แต่หากผ่านไปประมาณ 1 ปีโดยไม่มีอะไรคืบหน้า สหรัฐก็อาจเดินหน้าลงโทษผ่านวิธีต่างๆ เช่น ตัดสิทธิประเทศนั้นๆ จากการเข้าร่วมประมูลงานของสหรัฐ ระงับการสนับสนุนเงินกู้จากบรรษัทลงทุนภาคเอกชนในต่างประเทศของสหรัฐ (OPIC) และขอให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าสหรัฐที่เคยไล่บี้ประเทศคู่ค้ารายใหญ่มาตลอด จะหันมาขึ้นบัญชีประเทศเล็กๆ ที่เกินดุลกับสหรัฐในลำดับที่ 11 จาก 15 ประเทศ และเกินเกณฑ์ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ มาแบบปริ่มๆ หรือไม่
ที่ผ่านมานักวิเคราะห์หลายคนยังมองในทางเดียวกันว่าสหรัฐไม่น่าจะไล่บี้ประเทศเล็กที่ปริมาณการค้าเกินดุลกันไม่มากเช่นนี้ ไม่เหมือนกับจีนที่มีการขาดดุลระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ หรือกับประเทศรายใหญ่อื่นๆ ที่มีปริมาณการค้าทวิภาคีระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ต่างจากไทยที่ไม่ได้ติดท็อป 15 ประเทศคู่ค้าของสหรัฐ
คูน โก๊ะ หัวหน้าหน่วยวิจัยเอเชียของธนาคารเอเอ็นแซด กล่าวกับ บลูมเบิร์กว่า ไทยยังไม่ถือเป็นคู่ค้า รายใหญ่ สหรัฐจึงมีแนวโน้มขึ้นบัญชีไทยในรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การค้าโลกที่ตึงเครียดในระยะหลังภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเปิดศึกกับทั้งจีน ผ่านการตั้งกำแพงภาษีสินค้าแสนล้านดอลลาร์บนรายงานมาตรา 301 และเปิดศึกกับคู่ค้าทั่วโลกผ่านมาตรการเซฟการ์ด 232 ตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ก็ทำให้หลายฝ่ายเริ่ม "ไม่แน่ใจ" ว่าสหรัฐจะเดินหน้าการปกป้องทางการค้าออกมาในทิศทางใดอีก
เพราะการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นเพียงการเดินกลยุทธ์ไล่บี้บีบให้ประเทศคู่ค้ามานั่งเจรจากการค้าทวิภาคีกันใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้สหรัฐเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นแล้วกับ "เกาหลีใต้" ที่สหรัฐใช้ภาษีเหล็กมาต่อรองจนบีบให้เกาหลีใต้ยอมเจรจาเงื่อนไขข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหรัฐใหม่
รวมถึงยอมจำกัดการส่งออกเหล็กไปสหรัฐที่ 2.68 ล้านตัน/ปี หรือราว 70% ของปริมาณการส่งออกช่วงปี 2015-2017 ยอมขยายเพดานการส่งออกรถยนต์ของผู้ผลิตสหรัฐมายังเกาหลีใต้เพิ่มจากเดิมที่ 2.5 หมื่นคัน/ปี/ค่ายรถ เป็น 5 หมื่นคัน/ปี/ค่ายรถ และยืดเวลาให้สหรัฐเก็บภาษีนำเข้ารถกระบะ 25% จากเกาหลีใต้ไปจนถึงปี 2041 จากเดิมที่การเก็บภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดใน ปี 2021
"ญี่ปุ่น" เองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีรายงานว่ากำลังวิ่งเต้นอยู่ หลังจากที่ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายบัญชีปั่นค่าเงินทางอ้อมด้วย ภายใต้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่ำมานานของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และญี่ปุ่นเองยังถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ในเอเชียเป็นรองแค่จีนเท่านั้น ขณะที่เคสของ "จีน" ที่กำลังร้อนแรงกันอยู่ ก็ยังเป็นการเปิดช่องให้เจรจาต่อรองกันถึง 60 วัน ซึ่งมีรายงานข่าวมาอย่าง ต่อเนื่องทั้งจากวอลสตรีท เจอร์นัล ซีเอ็นบีซี และบลูมเบิร์ก ว่า แม้หน้าฉากจะห้ำหั่นกันแต่เบื้องหลังน่าจะจบลงกันที่การยอมเจรจากันมากกว่า
ดิวฟอร์ อีแวน หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายเอเชียแปซิฟิก จากบริษัทวิจัย สเตท สตรีท โกลบอล มาร์เก็ตส์ ระบุว่า การจับตารายงานประเทศแทรกแซงค่าเงินครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางท่าทีปกป้องการค้าและการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งยังต้องรอดูว่าสหรัฐจะมุ่งโจมตีไทยเรื่องค่าเงิน หรือจะเน้นไปที่ประเด็นการค้ากับจีนมากกว่า
ดังนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รัฐบาลทรัมป์อาจเดินหน้ากดดันคู่ค้า ทุกรายที่มีโอกาส ยิ่งกับประเทศเล็ก ก็อาจยิ่งได้เปรียบในฐานะปลาใหญ่ ในวันที่นโยบายการค้าและต่างประเทศของสหรัฐไม่เหมือนกับยุคก่อนหน้า อีกแล้ว
โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
Source: Posttoday
"ประเทศไทย" ที่เข้าข่ายเงื่อนไขถูกขึ้นบัญชีดำ ขึ้นบัญชีปั่นค่าเงิน
รายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการคลังสหรัฐ จะตรวจสอบเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าระหว่างประเทศของประเทศ คู่ค้ารายใหญ่กับสหรัฐ โดยเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นปีละ 2 ครั้งเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมา "เป้าหมาย" ของรายงานฉบับนี้มักพุ่งเป้าไปที่ "จีน" เป็นหลัก ว่ากดค่าเงินหยวนของตนเองให้อ่อนกว่าปกติ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการ ส่งออกและทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าจีนจำนวนมหาศาลทุกปี
อย่างไรก็ดี ในปีนี้กลับมีแนวโน้มต่างออกไปว่าประเทศที่เสี่ยงต่อการเข้าข่ายถูกขึ้นบัญชีปั่นค่าเงินของสหรัฐ อาจเป็นประเทศเล็กๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า ซึ่งนำโดย "ประเทศไทย" ที่เข้าข่ายเงื่อนไขถูกขึ้นบัญชีดำครบทั้ง 3 ข้อไปเรียบร้อยแล้ว
การถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศปั่น ค่าเงินนั้น หมายความว่าจะต้องมีเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ 1.เป็นประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 2.เป็นประเทศที่ธนาคารกลางเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศสุทธิมากกว่า 2% ของจีดีพี และ 3.เป็นประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับตั้งแต่ "จีน" ถูกขึ้นบัญชีประเทศปั่นค่าเงินไปเมื่อกว่า 20 ปีก่อน หรือระหว่างปี 1992-1994 ก็ยังไม่เคยมีประเทศใดอีกเลยที่ถูกขึ้นบัญชีตัวนี้ มีเพียงการถูกขึ้นบัญชีประเทศที่ต้องจับตา (Monitoring List) จากการเข้าข่ายเงื่อนไข 2 ข้อ ซึ่งประเทศหน้าเดิมๆ ที่วนเวียนเข้า-ออกอยู่ในลิสต์มาตลอดช่วง 2-3 ปีมานี้ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ประเทศไทยเราไม่ได้ถูกขึ้นบัญชีเพราะที่ผ่านมาติดอยู่แค่เงื่อนไขเดียวก็คือดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลหนักมากกว่าใคร แต่ไทยเริ่มเสี่ยงมากขึ้นตั้งแต่ 1-2 ปีที่แล้ว เพราะมีการซื้อเงินตราต่างประเทศที่เข้าข่ายเป็นการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นด้วยจนปริ่มแตะ 2% ของจีดีพี แต่กระนั้นไทยก็ยัง "ไม่เคย" เกินดุลกับสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์เลยสักครั้ง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การค้า ทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นกันอย่างถ้วนหน้าในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ทำให้ไทยเป็นอีกหนึ่งชาติที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นมาก โดยเกินดุลมากกว่าเดือนละ 1,800 ล้านดอลลาร์ 3 เดือนติดต่อกัน และทำให้กลายเป็นชาติเดียวที่เข้าข่ายครบ 3 ข้อไปเรียบร้อยแล้ว
หากถูกขึ้นบัญชีปั่นค่าเงินอย่างเต็มตัว จะทำให้สหรัฐสามารถดำเนิน "มาตรการตอบโต้" ประเทศคู่ค้านั้นๆ ได้ เพียงแต่ไม่ใช่การตอบโต้อย่าง ฉับพลัน โดยปกติมักจะต้องผ่าน "กระบวนการเจรจา" กันก่อน โดยสหรัฐจะขอเจรจาเพื่อแก้ปัญหาการค้าทวิภาคีที่ไม่สมดุลกัน แต่หากผ่านไปประมาณ 1 ปีโดยไม่มีอะไรคืบหน้า สหรัฐก็อาจเดินหน้าลงโทษผ่านวิธีต่างๆ เช่น ตัดสิทธิประเทศนั้นๆ จากการเข้าร่วมประมูลงานของสหรัฐ ระงับการสนับสนุนเงินกู้จากบรรษัทลงทุนภาคเอกชนในต่างประเทศของสหรัฐ (OPIC) และขอให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าสหรัฐที่เคยไล่บี้ประเทศคู่ค้ารายใหญ่มาตลอด จะหันมาขึ้นบัญชีประเทศเล็กๆ ที่เกินดุลกับสหรัฐในลำดับที่ 11 จาก 15 ประเทศ และเกินเกณฑ์ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ มาแบบปริ่มๆ หรือไม่
ที่ผ่านมานักวิเคราะห์หลายคนยังมองในทางเดียวกันว่าสหรัฐไม่น่าจะไล่บี้ประเทศเล็กที่ปริมาณการค้าเกินดุลกันไม่มากเช่นนี้ ไม่เหมือนกับจีนที่มีการขาดดุลระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ หรือกับประเทศรายใหญ่อื่นๆ ที่มีปริมาณการค้าทวิภาคีระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ต่างจากไทยที่ไม่ได้ติดท็อป 15 ประเทศคู่ค้าของสหรัฐ
คูน โก๊ะ หัวหน้าหน่วยวิจัยเอเชียของธนาคารเอเอ็นแซด กล่าวกับ บลูมเบิร์กว่า ไทยยังไม่ถือเป็นคู่ค้า รายใหญ่ สหรัฐจึงมีแนวโน้มขึ้นบัญชีไทยในรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การค้าโลกที่ตึงเครียดในระยะหลังภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเปิดศึกกับทั้งจีน ผ่านการตั้งกำแพงภาษีสินค้าแสนล้านดอลลาร์บนรายงานมาตรา 301 และเปิดศึกกับคู่ค้าทั่วโลกผ่านมาตรการเซฟการ์ด 232 ตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ก็ทำให้หลายฝ่ายเริ่ม "ไม่แน่ใจ" ว่าสหรัฐจะเดินหน้าการปกป้องทางการค้าออกมาในทิศทางใดอีก
เพราะการตั้งกำแพงภาษีดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นเพียงการเดินกลยุทธ์ไล่บี้บีบให้ประเทศคู่ค้ามานั่งเจรจากการค้าทวิภาคีกันใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้สหรัฐเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นแล้วกับ "เกาหลีใต้" ที่สหรัฐใช้ภาษีเหล็กมาต่อรองจนบีบให้เกาหลีใต้ยอมเจรจาเงื่อนไขข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหรัฐใหม่
รวมถึงยอมจำกัดการส่งออกเหล็กไปสหรัฐที่ 2.68 ล้านตัน/ปี หรือราว 70% ของปริมาณการส่งออกช่วงปี 2015-2017 ยอมขยายเพดานการส่งออกรถยนต์ของผู้ผลิตสหรัฐมายังเกาหลีใต้เพิ่มจากเดิมที่ 2.5 หมื่นคัน/ปี/ค่ายรถ เป็น 5 หมื่นคัน/ปี/ค่ายรถ และยืดเวลาให้สหรัฐเก็บภาษีนำเข้ารถกระบะ 25% จากเกาหลีใต้ไปจนถึงปี 2041 จากเดิมที่การเก็บภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดใน ปี 2021
"ญี่ปุ่น" เองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีรายงานว่ากำลังวิ่งเต้นอยู่ หลังจากที่ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายบัญชีปั่นค่าเงินทางอ้อมด้วย ภายใต้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่ำมานานของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และญี่ปุ่นเองยังถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ในเอเชียเป็นรองแค่จีนเท่านั้น ขณะที่เคสของ "จีน" ที่กำลังร้อนแรงกันอยู่ ก็ยังเป็นการเปิดช่องให้เจรจาต่อรองกันถึง 60 วัน ซึ่งมีรายงานข่าวมาอย่าง ต่อเนื่องทั้งจากวอลสตรีท เจอร์นัล ซีเอ็นบีซี และบลูมเบิร์ก ว่า แม้หน้าฉากจะห้ำหั่นกันแต่เบื้องหลังน่าจะจบลงกันที่การยอมเจรจากันมากกว่า
ดิวฟอร์ อีแวน หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายเอเชียแปซิฟิก จากบริษัทวิจัย สเตท สตรีท โกลบอล มาร์เก็ตส์ ระบุว่า การจับตารายงานประเทศแทรกแซงค่าเงินครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางท่าทีปกป้องการค้าและการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งยังต้องรอดูว่าสหรัฐจะมุ่งโจมตีไทยเรื่องค่าเงิน หรือจะเน้นไปที่ประเด็นการค้ากับจีนมากกว่า
ดังนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รัฐบาลทรัมป์อาจเดินหน้ากดดันคู่ค้า ทุกรายที่มีโอกาส ยิ่งกับประเทศเล็ก ก็อาจยิ่งได้เปรียบในฐานะปลาใหญ่ ในวันที่นโยบายการค้าและต่างประเทศของสหรัฐไม่เหมือนกับยุคก่อนหน้า อีกแล้ว
โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
Source: Posttoday