สังคมไร้เงินสดทำไมเติบโตเร็วมากเป็นเพราะแบงค์กระตุ้นโทรหาลูกค้าใช่ไหม

ปีที่แล้วได้ข่าวว่าต่างชาติเขาเป็นสังคมไร้เงินสดกันทั้งนั้น แต่เมืองไทยนี่เราคิดว่าคงอีกนานกว่าจะเป็นแบบเขาเพราะไทยพัฒนาอะไรก็ช้าอยู่แล้ว
แต่ผิดคาด... มันผุดขึ้นเร็วมากกกกเพียงไม่กี่เดือน ตอนนี้ ร้านขายเสื้อผ้าตามข้างทาง แม่ค้าขายส้มตำ วินมอเตอร์ไซด์ อื่นๆ
รับจ่ายผ่านคิวอาร์โค้ทกันถ้วนหน้า เลยอยากรู้ว่าเป็นเพราะแบงค์กระตุ้นหาลูกค้าหรือไม่คะ อันนี้เราหมายถึงในเขต กทม นะคะ แต่ต่างจังหวัดเราไม่รู้
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ผมก็อยู่ในสังคมไร้เงินสด  เงินเข้าอาทิตย์ที่แล้ว  ผ่านมาไม่กี่วันไม่รู้มันหายไปไหนหมด  เม่าบาดเจ็บ
ความคิดเห็นที่ 4
ความเห็นส่วนตัวนะ
-ราคามือถือที่ถูกมากขึ้นเรื่อย ๆ (ทำให้พัฒนาการสังคมไร้เงินสด ข้ามขั้นบัตรพลาสติกมาได้เลย (ระบบบัตรพลาสติก มีต้นทุนค่าเช่าเครื่อง EDC + ถูกหัก % จากยอดขายอีก) กลายมาเป็น QR Code payment ที่จ่ายกันด้วยมือถือ เป็นได้ทั้งฝั่งรับ หรือ ฝั่งจ่าย)
-อินเตอร์เน็ตที่ครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างมาก และราคาเข้าถึง (ไทยถือเป็น หนึ่งในสวรรค์ของ digital nomad ต่างชาติเลยนะ (with caveat emptor) เพราะอินเตอร์เน็ตที่ครอบคลุม ไม่อืดจนเกินไป ในราคาที่เอื้อมถึงนี่แหละ)
-รัฐไทยต้องการรายได้เพิ่มมากขึ้น อยากเก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย + ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง อย่างเวลาช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ก็ต้องจ่ายให้ตรงจุด ไม่จ่ายผิดคน
เกิด National e-Payment ที่รัฐไทยผลักดัน (PromptPay, การกระตุ้นให้ใช้บัตรเดบิต, การกระตุ้นให้วางเครื่อง EDC, การกระตุ้น e-Payment ภาครัฐ บลา ๆๆๆ สารพัด)
เงิน e-Payment มันต่างจากเงินสด
เงินสดมันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยทิ้งร่องรอย
แต่เงินในบัญชีธนาคาร (e-Payment) มันทิ้งร่องรอย ตามกลับได้ง่าย
-การเกิดขึ้นของ e-Wallet ที่เป็นพวก non-bank ที่เข้ามา disrupt ธนาคารเสือนอนกินแบบเดิม ๆ
เพราะ ในยุคปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีเริ่มให้บริการ banking ได้ ตัวอย่างคือ AliPay ในเมืองจีน ที่ตอนแรกทำตัวเป็นพ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก แล้วผันตัวกลายมาดำเนินการธนาคารเอง รับฝากเงินพ่อค้าแม่ค้าที่ขายใน Alibaba แถมจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากให้กับพ่อค้าแม่ค้าในเรทที่สูงด้วย (แบงก์ไทยก็จับตามองเรื่องพวกนี้อยู่ และก็ระมัดระวังตัวกันอยู่)
"banking is necessary, banks are not" - Bill Gates

-พอธนาคารเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ และเห็น e-Wallet ของพวก non-bank ไม่ว่าจะจากในชาติหรือต่างชาติก็ตาม เริ่มรุกเข้าพื้นที่ + เจอ PromptPay ที่มีต้นทุนโอนที่ถูกกว่า รุกคืบเข้ามาเรื่อย ๆ เจอสภาวะแข่งขันที่รุนแรงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ธนาคารแบบดั้งเดิม เลยพยายามรักษาฐานลูกค้าไว้ก่อน แล้วค่อยไปหาทางสร้างรายได้ทีหลัง
ก็พยายามผลักดันร้านค้ารายย่อยต่าง ๆ ให้มาใช้บริการของตน เร่งดัน ๆๆๆๆๆๆ แย่งฐานลูกค้ากัน
นอกจากนี้ การได้ฐานลูกค้ามาอยู่กับตน ธนาคารก็ได้ประโยชน์อีก
เพราะ อีกหน่อยก็จะได้ข้อมูลไปเล่น big data หามูลค่าสร้างกำไรในอนาคต ซึ่งถ้าในอนาคต ธนาคารมีพวกนัก data analyst, data scientist แบบในอเมริกาในจำนวน+ขีดความสามารถที่มากพอ แบงก์ไทยก็จะเริ่มเป็นแบบแบงก์ในอเมริกา เช่น
ในแง่ของการหารายได้
ธนาคารก็สามารถนำ big data ไปแบ่ง segment ของลูกค้า จะได้ขาย product แต่ละชนิดให้เหมาะสมแต่ละกลุ่ม
ถ้าขายประกัน ก็เลือกขายเบี้ยต่ำให้เคสเสี่ยงต่ำ ๆ
หรือถ้าเจอเคสเสี่ยงสูง ที่มาเนียน ๆ ก็ชาร์จเบี้ยในอัตราเร่ง,
พวกบริการ Wealth Management ที่ชาร์จ fee ในการบริหารจัดการ ก็สามารถระบุลูกค้าได้ถูกคน มีบริการแบบจำเพาะเจาะจงแตกต่างไปในแต่ละคน, ฯลฯ
ในแง่ของการลดรายจ่าย
ธนาคารก็สามารถลดความเสี่ยงของตัวเองลงได้มากกว่าเดิม เพราะสามารถปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไป ตามโปรไฟล์ของลูกค้าแต่ละคนได้ (เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย บลา ๆๆ),
เช็ครายการ fraud ในแต่ละรายการการทำธุรกรรมได้ดีขึ้น,
การใช้เครื่องจักรทำงานแทน และลดจำนวนคนงานลง, ฯลฯ

จากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ดูจะมีเป้าประสงค์ที่มุ่งกันไปคนละทิศคนละทาง
ไม่ว่าจะเป็น
-การที่รัฐวางโครงสร้างใหม่เพราะตัวเองอยากเก็บภาษีได้ดีขึ้น (หารายได้เยอะขึ้น) และ
ลดรายจ่ายรั่วไหลให้น้อยลง (ลดต้นทุนในการเก็บภาษีให้ลดลง ด้วยเทคโนโลยีแบบใหม่, ลดเงินสูญเปล่าที่จ่ายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผิดคน, ลดต้นทุนการผลิตธนบัตรกับเหรียญกษาปณ์ ที่ตอนนี้ต้นทุนผลิตสูงกว่ามูลค่าหน้าเหรียญอีก (แบบที่คห.6 ว่าไว้) ถ้าจำไม่ผิดก็พวกเหรียญสตางค์ เหรียญบาท
(ตัวอย่างเช่น
ต้นทุนในการไปซื้อเหรียญเกาหลีหน้าเกลี้ยงมาปั๊มเป็นเหรียญ 50 สตางค์อยู่ที่ 0.75 บาท แต่ผลิตออกมาแล้ว เหรียญสตางค์มีมูลค่าอยู่ที่ 0.5 บาท ก็แปลว่า รัฐเสียประโยชน์ เพราะทุก ๆ เหรียญที่สร้างขึ้นมา รัฐเสี่ยงที่จะขาดทุนละ ซึ่งถ้าเหรียญหมุนเวียนไปโดยไม่สูญหายก็ยังไม่เท่าไร เพราะมันเหมือนกับการสร้างถนน ประชาชนที่จ่ายภาษีไป ก็ได้ประโยชน์จากถนนแห่งการเงินที่รัฐสร้างขึ้นมา แต่ของจริงมันไม่ใช่ เพราะเหรียญย่อมมีการสูญหายหรือถูกทำลายไป อย่างถ้ามีคนนำเหรียญสตางค์นำไปหลอมเพื่อหล่อเป็นพระ (ผิดกฏหมายนะ) ก็แปลว่าทุก ๆ เหรียญที่ถูกทำลายไป ทุก ๆ คนไม่ว่าจะรัฐหรือประชาชนก็จะขาดทุนไปแล้ว 0.25 บาท กลายเป็นนำภาษีไปเผาฟรี 0.25 บาท
หรือ
ถ้าคนนำเงินไปดอง ไปเก็บ หรือทำหล่นหายลงท่อ ก็เหมือนการทำของหาย มูลค่าของมันก็ถูกดองทิ้งไว้ไม่ก็สูญหายไปเลย สร้างเหรียญมาตั้งแพงดันดอง/ทำหายไว้ในหลืบไหนก็ไม่รู้ และไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์)
ปกติ รัฐต้องรอให้เงินเฟ้อกัดกร่อนมูลค่าเงินทิ้งไป เพื่อล้วงกระเป๋าสตางค์ของประชาชนออกไปแบบเนียน ๆ
พวกเงินที่สูญหายหรือถูกดองก็จะด้อยค่าไปเอง
แต่เงินอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ จะมีต้นทุนที่ต่ำมากในการสร้างเงินตราออกมาหมุนเวียน
ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายของรัฐ ในแง่ของการสิ้นเปลืองต้นทุนในการผลิตเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลงไปมาก)
นอกจากนี้
รัฐยังต้องไปแข่งขันกับเงินที่ไหลไปยังเศรษฐกิจเงา (shadow economy) อีกด้วย การวางโครงสร้างใหม่ก็จะทำให้รัฐตรวจสอบได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นว่าเงินไหลไปไหน
-สภาวะการแข่งขันของธุรกิจผลิตมือถือต่าง ๆ ที่แข่งกันผลิตมือถือ เพื่อให้ตัวเองร่ำรวย จนมือถือมีราคาถูกลง
-ธุรกิจต่าง ๆ ที่แข่งขันเรื่องการให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ตัวเองร่ำรวย จนต้นทุนในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต มีราคาถูกลง
-ธุรกิจเอกชนหน้าใหม่ ที่เห็นธุรกิจพวกการธนาคาร+ประกัน รายได้ดีมาก จึงอยากจะเข้าไปร่ำรวยด้วย จึงกระโดดเข้าไปแข่งขัน สร้าง FinTech อะไรต่าง ๆ ออกมาเต็มไปหมด จนสภาวะแข่งขันรุนแรงขึ้น
ทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่เอง ที่เคยดำเนินการแบบเสือนอนกิน ก็ต้องขยับตัวเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย เพราะ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว และ การแข่งขันรุนแรงขึ้น

ผลลัพธ์สุทธิที่ออกมา มันกลับลงตัวอย่างน่าประหลาดใจ เลยกลายเป็น สังคมไร้เงินสดเติบโตไวมาก และผู้บริโภคก็ได้รับผลประโยชน์เยอะมากจนน่าประหลาดใจ

ปล.อีกหน่อย ถ้าเขาชาร์จค่าธรรมเนียมเวลาฝาก-ถอนเงินสด
จะทำให้เกิดเงิน 2 ชนิด 2 ราคา
เงินอิเล็กทรอนิกส์น่าจะยิ่งกระจายเป็นวงกว้างกว่าตอนนี้อีก
ความคิดเห็นที่ 18
เราสงสารคนนี้มาก (เพื่อนแชร์มาในเฟส)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่