ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)...Ep.4 ห้องหนังสือ

ฟ้าลิขิต...(Intern  แห่งสยามประเทศ)…..นามปากกา บุญรอด

บทที่ 4 ห้องหนังสือ

“อย่าเชียวนะ อย่าได้แสดงความสำออยอ่อนแอออกมาเป็นอันเด็ดขาด” แสนฤทธิ์เตือนสติตัวเองอยู่ในใจ แล้วมาจัดแจงเสื้อผ้าเผ้าผมให้เฉียบเนี๊ยบดังเดิม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ว่ามีบ่าวไพร่คนใดจับจ้องตัวเองอยู่หรือไม่? นอกจากพ่อเฒ่าเหมที่ยืนนอบน้อมประคับประคองผู้เป็นนายแล้วบริเวณนั้นก็ไม่ใครอีก ตอนนี้แสนฤทธิ์พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบ่าวเฒ่าผู้นี้จึงได้พูดว่าจะให้อยู่รอเรียกใช้ที่หน้าประตู หากมีอะไรที่ฉุกระหุกจะได้เข้ามาทันการ ที่แท้เขารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าแสนฤทธิ์คงจะเข้าไปได้ไม่นาน ก็ต้องถูกตะเพิดไล่ออกมาเช่นนี้
พอแสนฤทธิ์ตั้งหลักยืนได้มั่นคงแล้ว พ่อเฒ่าเหมก็หันหลังเอาหยิบเอาตะเกียงเจ้าพายุที่ตั้งอยู่ไว้ด้านหลัง แล้วเดินเข้ามาถาม

“พ่อนาย พวกเราจะไปที่ไหนขอรับ?”

“ถามทำไมนะ ก็ต้องไปนอนนะสิ ค่ำมืดป่านนี้ถ้าไม่หลับไม่นอนแล้วจะให้ไปทำอะไรเล่า?”

“ใช่ ใช่ขอรับ คือพวกเราจะไปกลับไปนอนยังห้องหนังสือ หรือจะไปเดินเที่ยวชมเหล่าอำแดงแม่หญิงที่ออกมาเที่ยวงานบุญที่วัดย่านตลาดร้านเมืองข้างนอกดีขอรับ?”

“อำแดงแม่หญิง? ฮึ! ไม่ละ วันนี้เราไม่สบอารมณ์แล้ว รมณ์บ่จอย”

พ่อเฒ่าเหมเหลือบมองดูแสนฤทธิ์อย่างแปลกใจ แสนฤทธิ์พอได้เห็นสายตาที่มีแววประหลาดใจของพ่อเฒ่าเหม ก็เตือนตัวเองในใจว่า ต่อไปนี้ไม่อาจพูดจาโดยไม่ยั้งคิด เพราะร่างนี้ไม่ใช่พ่อนายแสนฤทธิ์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ความทรงจำของพ่อนายผู้นั้นก็ไม่หลงเหลือให้เขาได้รับรู้เลยแม่แต่น้อย  ก็คงจะเหลือเพียงกายหยาบภายนอกอันหล่อเหลาเท่านั้นที่เหลืออยู่ให้เขาได้ภาคภูมิใจ

ตอนนี้พึ่งย้อนผ่านมิติแห่งกาลเวลามา เขายังปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมาถูกเจ้าสาวขับไล่ตะเพิดออกจากห้องหอ รู้สึกสมองมึนงงไปหมด ทางที่ดีควรรีบเข้านอนพักผ่อนโดยเร็วจะดีกว่า คิดได้เช่นนั้นก็โบกมือบอกบ่าวเฒ่าว่า “ไม่ไปไหนละ กลับไปนอนที่ห้องหนังสือดีกว่า”

พ่อเฒ่าเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างชูตะเกียงในมือขึ้นสูง ยื่นออกไปข้างหน้า รอคอยให้ผู้เป็นนายเดินนำหน้า
แสนฤทธิ์มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้วว่า พ่อเฒ่าผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ มิบังอาจเดินนำหน้าผู้เป็นนายได้ ดังนั้นจึงคิดรอให้เจ้านายออกเดินนำหน้า ส่วนตัวเองก็จะเดินตามหลังคอยส่งไฟให้ทาง แสนฤทธิ์คิดในใจว่าว่า แล้วเจ้านายกำมะลออย่างเขาจะไปรู้ไหมว่าห้องหนังสืออยู่ที่ใด จึงกระแอมกระไอออกมาทีหนึ่ง เอ่ยว่า “พ่อเฒ่า เดินน้ำหน้าก็แล้วกัน”

เมื่อผู้เป็นนายออกคำสั่ง ใยผู้เป็นบ่าวจะมิกล้าทำตาม พ่อเฒ่าเหมยกตะเกียงสาวเท้าขยับออกไป แต่ก้ยังไม่กล้าเดินนำหน้าอยู่ดี ได้แต่เดินเบี่ยงอยู่ที่ข้างทางเดิน แสนฤทธิ์ยกเท้าก้าวตามไป ที่แท้ห้องหนังสืออยู่ในบริเวณเรือนชั้นใน เป็นห้องเล็กๆถัดจากห้องหอเดินถัดมาเพียงสิบกว่าก้าวก็ถึงแล้ว

แสนฤทธิ์ผลักประตูก้าวเข้าไปในห้อง สำรวจมองดูภายในห้องที่ถูกจัดวางด้วยโต๊ะหนังสือ เก้าอี้ เครื่องเขียนในสมัยโบราณ ที่มีทั้งกระดานชนวน ดินสอขาว ดินสอดำ สมุดข่อย ปากกาคอแร้ง ตลับน้ำหมึก และกระดาษขาว และถัดกันไปไม่ไกลก็มีเตียงไม้พร้อมหมอนสามเหลี่ยมไว้สำหรับนั่งพิงพนัก พักผ่อนหรืออ่านหนังสือ ที่สะดุดตาที่สุดคือ ตู้ไม้หลายหลังที่แกะฉลุลวดลายสวยงาม มองดูคล้ายๆตู้คัมภีร์ในหอไตรตามวัดวาที่เขาเคยไปพบเห็นมาในยุคปัจจุบัน แสนฤทธิ์เดินสำรวจดูและเปิดดูแต่ละตู้ ล้วนบรรจุงหนังสือ และคัมภีร์ต่างๆ ทั้งที่เป็น คัมภีร์ใบลานก็ดี เขาสุ่มหยิบมาดูคร่าวๆพบว่าส่วนมาเป็นบทสวดมนต์  คัมภีรืทางพุทธศาสนาหลายสิบเล่ม

จากนั้นเขาจึงย้ายมาเปิดดูตู้อีกหลังที่ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ พบว่าในตู้บรรจุไว้ด้วยหนังสือใบข่อยเป้นร้อยๆเล่ม เขาสุ่มหยิบขึ้นมาดูเล่มหนึ่ง พบว่าเป็น หนังสือกฎหมายตราสามดวง ที่หน้าปกแต่ละเล่นจะประทับตรา 3 ดวง และเขียนประทับไว้ว่าเป็นฉบับหลวง คัดลอกโดยนายอารักษ์ เขาก็นึกถึงสมัยเรียนวิชาสังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย เขาพอจะจำได้ว่าคร่าวๆ นี่คือ ประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทยที่ปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์ มาตั้งแต่ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราประทับแต่ละดวง จะประกอบด้วย ตราราชสีห์ อันเป็นตราสำหรับตำแหน่งสมุหนายก ตราคชสีห์ อันเป็นตราสำหรับตำแหน่งสมุหกลาโหม และตราบัวแก้ว อันเป็นตราสำหรับโกษาธิบดี ผู้ดูแลงานพระคลังและกิจการด้านต่างประเทศ เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งขึ้นอีก ที่อย่างน้อยเขาไม่ได้คืนเกรด 4 รายวิชานี้แก่คุณครูตั้งแต่สมัยมัธยม

แสนฤทธิ์ ณ ตอนนี้ถึงกับตื่นตะลึงที่ได้สำรวจดู หนังสือกฎหมายตราสามดวง ที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน เขาตรวจนับดูพบว่าหนังสือชุดนี้มีมากมายถึง 123 เล่ม บรรจุไว้จนเต็มตู้ใหญ่ เขาเปิดดูอ่านอย่างคร่าวๆในแต่ละเล่มแต่หมวดที่พอจะน่าสนใจ ซึ่งแบ่งจำแนกเป็นหมวดๆไว้อย่างน่าสนใจ หมวดประกาศพระราชปรารภ หมวดพระธรรมศาสตร์ หมวดพระธรรมนูญ หมวดลักษณะตุลาการ เป็นต้น แต่มีอยู่หมวดหนึ่งที่เขาหยิบขึ้นมาอ่านแล้วน่าสนใจเป็นพิเศษ คือ หมวดการลักษณะผัวเมีย

เขาไม่มีอะไรให้ทำ ว่างจนน่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด เลยเกาศีรษะตัวเองฝืนอ่านไปทีละตัวอย่างตั้งใจ พอจิตใจสงบลงกลับพบว่าอันที่แล้วถึงแม้เขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับตัวอักษรไทยโบราณแบบคัดบรรจงสวยงาม บวกกับภาษาในแบบโบราณที่อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าพอสมควร แต่เกือบทั้งหมดเขาก็ยังพอคาดเดาเข้าใจได้ เพียงแต่ว่าอ่านได้ช้ากว่าปกติ หนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนชั่วโมงจึงจะอ่านครบถ้วนแล้วเข้าใจได้
อ่านจนมาถึงย่อหน้าที่ว่าด้วย การหย่า ที่มีกล่าวไว้ใน กฎหมายฉบับนี้ ว่า

“สามีภรรยาวิวาทจะหย่ากัน สามีให้หนังสือแก่ภรรยา  ภรรยาให้หนังสือแก่สามีต่อหน้าผู้เฒ่าผู้แก่  ท่านว่าฟังเอาหนังสือสามีภรรยานั้นได้  เขาสามีภรรยาขาดจากผัวเมียกัน”
“ภรรยาสามีที่ไม่ชอบเนื้อตรึงใจกัน เขาจะหย่ากันไซร้  ตามน้ำใจเขา เหตุว่าเขาทั้งสองนั้นสิ้นบุญกันแล้ว  จะให้จำใจให้อยู่ด้วยกันมิได้...”

เขาถึงกับหน้าชาถอดสี มิน่าละ เจ้าสาวของเขาถึงได้เอ่ยยื่นคำขาดและพูดถึง หนังสือหย่า ในคืนวันเข้าห้องหอ กฎหมายการหย่า มีกล่าวไว้มาตั้งแต่โบราณนานมาแล้วนี่เอง นี่คือเรื่องที่เขาก็พึ่งจะได้รับรู้ตอนนี้นี่เอง

เวลานั้นพ่อเฒ่าเหมวิ่งถลันเข้ามาเพียงคนเดียว สีหน้าออกอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ไม่น้อย แสนฤทธิ์หันมาจ้องมองเขาอย่างงงงัน
พ่อเฒ่าเหมยิ้มแหยๆพลางกล่าวว่า “พ่อนาย...อีปีบ! อีปีบ มัน...”

“ทำไมรึ?”

“มันถูกท่านขุนใช้กฎคุ้มเรือนลงแส้โบยหนึ่งร้อยที ก้นกับต้นขาถูกเฆี่ยนจนหนังแตกเนื้อปริ เวลานี้กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงในเรือนบ่าวท้ายครัว เจ็บสะบักสะบอมทุรนทุรายเหลือขนาดขอรับ ทีแรกบ่าวก็คิดว่าในเมื่อพ่อนายฟื้นขึ้นมาแล้ว ไม่เป็นอะไร ท่านขุนกับแม่นายหญิงก็คงจะไม่ลงโทษอีปีบมันแต่ประการใดแล้ว แต่ได้ยินบ่าวไพร่ซุบซิบกันว่าเป็นความคิดของแม่หญิง”

แสนฤทธิ์ตบโต๊ะดังปังไปทีหนึ่ง  “แม่หญิงนางนี้ช่างโหดร้ายนัก!”

ใบหน้าแสดงความโมโหโกรธกริ้ว แต่ในใจกลับแฝงอารมณ์ขบขันอยู่ไม่น้อย แม่หญิงคุณหนูคนนี้ถึงแม้จะปฏิบัติต่อสามีอย่าเย็นชา เห็นเขาไม่ถูกชะตาไล่ตะเพิดออกจากห้องหอแบบไม่ใยดี แต่พอได้ยินว่าสาวใช้ล่อลวงสามีของตน (แท้ที่จริงแล้วสามีของตนกลับฝ่ายล่อลวงสาวใช้ต่างหาก) กลับยุยงให้ท่านขุนลงหวายเฆี่ยนตี แสดงว่าว่านางยังมีใจหึงหวงสามีรูปหล่ออย่าเราเป็นแน่ๆ เฮอๆๆ

แต่พอมาฉุกคิดวิเคราะห์อีกทีกลับรู้สึกว่าที่ตนคิดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก นั่นน่าจะไม่ใช่อาการหึงหวง เพราะลักษณะของอาการหึงหวงนั้นย่อมแสดงออกมาจากพื้นฐานของความรัก แต่ฟังจากคำพูดจาที่นางพูดต่อเขาในห้องหอเมื่อครู่นี้มันส่อไปในเชิงของการดูถูกตัวเขาอย่างกับไม่มีอะไรดีขนาดถึงขั้นที่เรียกได้เต็มปากว่า นั่นคือการเหยียดหยาม แล้วอย่างนี้จะมีความรักได้อย่างไรเล่า? ไม่มีความรักความพิศสวาทใดๆเลยที่พอจะให้เกิดความหึงหวงได้? การเฆี่ยนลงหวายครานี้เป้นเพียงท่าทีอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อแสดงออกมาถึงอำนาจและฐานะของภรรยาเท่านั้น คงไม่ใช่อาการหึงหวงแต่อย่างใดหรอก เลิกคิดเข้าข้างตัวเองเสียที คิดถึงตรงนี้อารมณ์สนุกคึกคักในใจก็พลันหดหายไปในพริบตา

เพิ่งนึกขึ้นมาได้ มาจนถึง ณ ตอนนี้แม่หญิงเจ้าสาวของเขามีชื่อเสียงเรียงนามอะไรก็ยังไม่รู้ ครั้นจะตั้งคำถามนี้ถามพ่อเฒ๋าเหมออกไปคงไม่ดีแน่ คงเป็นที่น่าฉงนชวนสงสัยแก่ทุกๆคนในคุ้มเรือนนี้ แล้วจะหลอกล่อถามไถ่เอาความด้วยกลวิธีอย่างไรดีนะ คิดไปคิดมาได้สักพักแสนฤทธิ์ก็ปรายตามายังมือทั้งสองข้างของพ่อเฒ่าเหม ซึ่งดูไม่เหมือนมือของคนกรำงานหนัก ประเภทงานแบกหามก่อสร้างใดๆ ลักษณะของฝ่ามือดูสะอาดไม่หยาบกร้าน ไม่แน่พ่อเฒ่าคนนี้อาจจะพอรู้หนังสือ อ่านออก เขียนได้อยู่บ้าง ว่าแล้วเขาก็กล่าวว่า “พ่อเฒ่าเหม เจ้าช่วยข้าเขียนข้อความสั้นๆลงกระดาษ ส่งถึงเจ้าสาวของข้าที บอกว่าข้าหิวแล้ว ให้นางจัดแจงให้ลำดวนทำของกินมาให้หน่อย”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่