ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)…นามปากกา บุญรอด
บทที่ 5 แม่หญิงปานเดือน
พ่อเฒ่าเหมรีบกล่าวออกตัวขึ้นว่า “เรื่องนี้ให้บ่าวรับไปจัดการเถอะขอรับ บ่าวจะรีบไปยังห้องครัวสั่งให้พวกบ่าวไหร่ในครัวเร่งลงมือจัดสำรับอาหารมาให้พ่อนาย ว่าแต่พ่อนายจะรับประทานอะไรล่ะขอรับ?”
แสนฤทธิ์ส่ายหน้าเบาๆ กล่าวเสียงแข็งว่า “ไม่ต้อง! ข้าต้องการให้นางจัดการให้นางลำดวนลงมือเอง อย่างไรเสียตัวข้าก็เป็นพ่อนายเขย แม้กระทั่งบ่าวสาวใช้เล็กๆคนหนึ่งในเรือน ข้ายังสั่งการไม่ได้ แล้วยังจะนับว่าข้าเป็นลูกเขยของบ้านนี้ได้อีกหรือ! เร็ว! ข้าสั่งให้เจ้าเขียน เจ้าก็เขียนไปสิ!”
พ่อเฒ่าเหมคาดเดาว่าเมื่อสักครู่นี้ แสนฤทธิ์คงได้รับการปฏิบัติอย่างหักหน้ากันขนาดนั้น จึงสร้างความคับเคียงแค้นใจให้กับทั้งแม่หญิงและนางบ่าวสาวใช้ลำดวนเป็นแน่แท้ ในเมื่อทำอะไรสองคนนั้นไม่ได้จึงตั้งใจคิดหาวิธีกลั่นแกล้งตอบโต้ทั้งสองคนนั้นให้ลำบากสักหน่อย เป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ จึงรีบผงกศีรษะรับคำ บนโต๊ะหนังสือมีกระดาษและเครื่องเขียนอื่นๆวางอยู่พร้อมสรรพ แสนฤทธิ์จึงหยิบเอากระดาษและปากกาคอแร้งส่งให้พ่อเฒ่าเหมนำไปเขียนบนเตียงไม้ เพียงครู่เดียวก็เขียนเสร็จแล้ววางปากกาลง มองมายังแสนฤทธิ์
แสนฤทธิ์หยิบขึ้นมาอ่านดู มีใจความมีว่า “ภรรยาของข้า รบกวนท่านจัดแจงสั่งการให้ลำดวนทำอาหารว่างมื้อดึกให้สามีสักเล็กน้อย”
ฝีมือการเขียนหนังสือของพ่อเฒ่าเหม นับว่าคัดบรรจงตัวอักษรสวยงามใช้ได้ทีเดียว เมื่อเทียบกับลายมือการเขียนหวัดยิ่งกว่าไก่เขี่ยของนักเรียนแพทย์เช่นเขา ถึงกับเอ่ยปากชมขึ้นมาว่า “คิดไม่ถึงว่า พ่อเฒ่าเหมจะมีทักษะอ่านออกเขียนได้ แถมเขียนและคัดลายมือได้บรรจงสวยงาม ใช้ได้ๆ” พ่อเฒ่าเหม ตอบกลับไปแบบถ่อมตนว่า “บ่าวเพียงแค่อ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองขอรับ”
แสนฤทธิ์ ถามพ่อเฒ่าในเชิงอยากรู้ว่าสมัยโบราณเขาสอนและเรียนหนังสือกันยังไงที่ไหนว่า “อ่านออกเขียนได้ คัดลายมือได้สวยงามขนาดนี้ พ่อเฒ่าได้ไปร่ำเรียนที่ไหนมาบ้างละ?” พ่อเฒ่าตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า “ตัวบ่าวเองไม่มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนหนังสือหรอกขอรับ อาศัยสมัยเป็นหนุ่มที่ได้บวชเรียนเพียงชั่วไม่กี่พรรษาจึงพอมีโอกาสได้ฝึกเรียนเขียนอ่านได้บ้าง พอได้มาเป็นบ่าวรับใช้ท่านขุนแสนญา ท่านพ่อของพ่อนาย ด้วยพระเดชพระคุณขอท่านขุน ท่านให้บ่าวเป็นบ่าวรับใช้งานในห้องหนังสือ ช่วยงานเขียนหนังสือ จดหมายหรือสาสน์ติดต่อการค้ากับโพ้นทะเล ได้เขียนได้อ่านบ้างจึงพอรู้หนังสืออยู่บ้างขอรับ” แสนฤทธิ์ พยักหน้าแสดงความเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว จึงหันมาอ่านพินิจพิจารณาครุ่นคิดกับหนังฉบับนี้อีกครั้ง
ด้วยเหตุที่ว่าอาหารมื้อดึกนั้นไหนเลยจะใช้จุดประสงค์หลักของแสนฤทธิ์ เขาแสร้งทำเป็นถลึงตาอย่างดุดันทีหนึ่ง กล่าวว่า “ใครให้เจ้าเขียนอย่างเกรงอกเกรงใจอย่างนี้ เอาไปเขียนใหม่ เขียนให้เด็ดขาดกว่านี้ เขียนให้ระบุชื่อเสียงเรียงนามให้ชัดเจนไปตรงๆเลย ออกคำสั่งให้นางใช้นางบ่าวลำดวนไปทำอาหารมื้อดึกให้ข้า ถ้าไม่ทำตามข้าก็จะให้ปฏิบัติตามกฎของเรือนท่านขุน เป็นและบ่าวสาวใช้เล็กๆคนหนึ่ง ริบังอาจสั่งให้ข้าหนีไปโน่นมานี่ ข้าต้องเอาคืนนาง! ให้รู้ไปว่าสมัยโบราณเช่นนี้ยังจะมีบ่าวไพร่ที่มาตีตนเสมอนายได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการนางไม่ได้”
พ่อเฒ่าเหมแอบก้มหน้าแลบลิ้นออกมา ชำเลืองมองดูแล้วคิดเกรงกลัวประหวั่นพรั่นพรึงถึงไฟโทสะของผู้เป็นนาย แม้จะไม่เข้าใจคำพูด “สมัยโบราณเช่นนี้” สักเท่าไร แต่ด้วยเห็นว่าแสนฤทธิ์อยู่ในอารมณ์ที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็เลยไม่กล้าที่จะถามให้มากความ ได้แต่รีบไปหยิบกระดาษแผ่นใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาตั้งสติเรียบเรียงเขียนใหม่อีกครั้ง
แสนฤทธิ์พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พ่อเฒ่าจะเริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษว่า “จะให้ดีพ่อเฒ่าต้องเขียนให้เป็นจดหมายเหตุ เพื่อจะได้ให้ลูกให้หลานได้อ้างอิงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ ระบุ วัน เดือน รัชสมัย ให้ครบถ้วนพร้อมสรรพ อนุชนคนรุ่นหลังจะได้รู้ว่ากุลสตรีไทยแต่โบราณนานมา หาใช่มีแต่กุลสตรีแม่ศรีเรือน ยังมีหญิงที่ยังทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อสามี และบ่าวไพร่ที่ทำตัวตีตนเสมอนายอีกด้วย”
พ่อเฒ่าเหมเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเขียนเสร็จยกปลายปากกาออกจากแผ่นกระดาษพร้อมกับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยื่นให้แสนฤทธิ์พิจารณาอ่านตรวจทานอีกครั้ง
“จุลศักราช 1198 อัฐศก ปีที่ 13 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ณ วันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 7 ค่ำ ปีวอก (หมายเหตุ…ตรงกับวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2380 และการใช้ปีจุลศักราชนั้น ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ของไทย มีใช้มานานตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง ในยุคกรุงศรีอยุธยา สืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) หนังสือแจ้งต่อแม่หญิงปานเดือน ภรรยาท่านแสนฤทธิ์ ผู้มีคำสั่งให้อำแดงลำดวน บ่าวหญิงในเรือน ให้นางเร่งทำสำรับอาหารมื้อดึกส่งมาให้ท่านแสนฤทธิ์บัดเดี๋ยวนี้ ผู้ใดขัดขืนคำสั่งให้ปฏิบัติตามกฎของเรือน! ลงนามท่านแสนฤทธิ์”
ปานเดือน? นี่คือชื่อของแม่หญิงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของข้าหรือนี่ แสนฤทธิ์นึกคิดในใจหลังจากที่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้ บัดนี้เขาได้รู้จักชื่อภรรยาของเขาแล้วยังแอบเปรยยิ้มละมุนออกมาเล็กน้อย ปานเดือน ชื่อนี้ดูสวยงาม ผุดผ่องเป็นยองใย แต่ก็สูงส่ง ดุจพระจันทร์ในยามค่ำคืนที่ส่งรัศมีเจิดจรัสทั่วท้องฟ้าในยามราตรี ยากที่จะหาดาวดวงใดมาเทียบรัศมีได้ ชื่อนี้ไพเราะ ชวนให้หลงใหล และมีความหมายที่ดีมากๆ
ปีจุลศักราช 1198? วันศุกร์ เดือน2 ขึ้น7 ค่ำ? ปีที่ 13 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว? นี่เขาย้อนยุคมาถึงสมัยระตนโกสินทร์ตอนต้นเลยเหรอนี่ ในยุคสมัยที่ประเทศไทยยังไม่ได้ประกาศใช้ปฏิทินแบบสากลเลยเหรอนี่ นี่ถ้าหากเราพูดไปว่าเดือนมกราคม กุมพาพันธ์ มีนาคม ฯลฯ พุทธศักราชนั่นนี่โน้นไป คนในยุคสมัยนี้คงจะงงเป็นไก่ตาแตกกันแน่เชียว เขาเคยจำได้ว่าการประกาศใช้ปฏิทินแบบสากลพึ่งจะเริ่มมีประกาศใช้ในช่วงรัชกาลที่ 6 นี่ไม่คิดว่าความรู้ในวิชาสังคมศาสตร์และประศาสตร์สมัยที่เขายังท่องตำราเรียนในช่วงที่เป็นนักเรียนมัธยม เขาจะได้นำมันมาใช้ในคราวนี้ ไม่เสียดายและรู้สึกขอพระคุณคุณครูในชั้นเรียนในตอนนี้ที่พร่ำสอนจนปากเปียกปากแฉะ และเขาก็ยังพอจะระลึกนึกได้อยู่บ้าง ว่าตั้งแต่สมัยโบราณมีการนับปีศักรราชเป็น จุลศักราช (จ.ศ.) นี่ถ้าจำไม่ผิดคุณครูเคยสอนเขามาว่า มันเป็นการใช้บอกปีภายหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปรินิพพานไปแล้ว 1181 ปี ดังนั้นจะแปลงให้เป็นปีศักราชแบบ พุทธศักราช (พ.ศ.) ตามที่เขาเคยชินในยุคปัจจุบัน ก็ต้องบวกค่าตัวแปร 1181 ปีนี้เข้าไปด้วย…เขาคิดบวกเลขในใจแล้วได้คำตอบให้ตัวเองว่า ตอนนี้เขาได้ย้อนมาอยู่ในช่วงปี พ.ศ./2379 นี่เขาตกใจที่รู้ว่าตัวเองได้ย้อนเวลามาเกือบจะ 200 ปีแล้ว (หมายเหตุ การนับวันขึ้นปีใหม่ในปีจุลศักราช จะถือว่าวันที่ 16 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่)
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ได้ย้อนเวลามายาวไกลนานนับร้อยๆปี ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีกันแน่ เมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันอย่างโลดแล่นดีใจกับความสำเร็จในชีวิตภายหลังที่ทราบผลสอบ และเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการออกมารับใช้สังคมในฐานะแพทย์ ที่จะกำลังเริ่มต้นในชีวิตของเขา แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังกลับชะตาชีวิตพลิกผลันเหมือนได้โดยสารไทม์แมชชีนย้อนมายังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แถมยังได้แม่หญิงสวยหยาดเยิ้มปานดวงเดือนมาเป็นภรรยา แต่ก็แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างอัศจรรย์ใจจนน่าเหลือเชื่อ
พ่อเฒ่าเหมเห็นแสนฤทธิ์ยืนนิ่งตะลึงงันไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ผ่านไปนานแสนฤทธิ์จึงค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ส่งไปอย่างนี้ก็แล้วกัน”
พ่อเฒ่าเหมรับคำ หยิบฉวยกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้ว รีบเดินออกไป
แสนฤทธิ์ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก ทิ้งตัวแบบไร้เรี่ยวแรงลงบนเก้าอี้ ฟ้าลิขิต? หรือเป็นเคราะห์กรรม? เขาย้อนยุคกลับมายังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ่อแม่และญาติพี่น้องเพื่อฝูงที่อยู่ในโลกปัจจุบัน คงเข้าใจว่าเขาคงตายไปแล้ว ทุกคนต้องโศกเศร้าเสียใจกันอย่างแน่นอน นึกถึงพ่อแม่และทุกๆคนที่อยู่ทางโน้นยิ่งทำให้จิตใจหดหู่หนักอึ้งขึ้นมา แต่จะมีหนทางอะไรที่เขาจะทำได้บ้างละ ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงไปรษณีย์ กระทั่งตู้โทรศัพท์สักตู้ก็ยังไม่มี โทรศัพท์มือถือ หรือกาติดต่อผ่านทางโซเชียลต่างๆยิ่งไม่ต้องนึกถึงเลย อยากโทรก็โทรไม่ได้ อยากเขียนจดหมายบอกเล่าทุกข์สุข ก็ไม่สามารถส่งข่าวสารไปบอกพวกเขาได้
ขณะที่กำลังนั่งคิดอย่างเศร้าซึม พ่อเฒ่าเหมก็กลับเข้ามาถึง พร้อมกับยิ้มสู้ กล่าวรายงานว่า “ข้อความส่งมอบให้กับแม่หญิงแล้วนะขอรับ”
แสนฤทธิ์ พลันมีสติขึ้นมาได้เลยสะบัดศีรษะไปมาสองสามทีเพื่อไล่ความอาวรณ์ร้อนรุ่มใจทิ้งไป แล้วตั้งสติกลับคืนมากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงในยุคสมัยนี้ แล้วถามกลับไปว่า “นางไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ?”
“เอ่อ! แม่หญิงกล่าวว่า…หากพ่อนายอยากรับประทานก็ให้ตัวท่านเอง…เอ่อ! หรือให้บ่าวไปแจ้งที่ห้องครัวให้บ่าวไพร่ในครัวทำเถอะนะขอรับ”
แสนฤทธิ์ถึงกับเดือดดาล ทำไมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขามันช่างไม่ถูกไม่ต้องไปซะทั้งหมด หรือฟ้ากำลังเล่นตลกกับชะตาชีวิตของเขา นึกถึงเมื่อครู่ตอนที่ถูกลำดวนผลักใสออกมาจากห้องจนเกือบล้มหัวคะมำ แล้วต้องมาเจอกับภรรยาแสนสวยที่ช่างเย็นชาไม่แยแสต่อเขา ในใจก็พลันมีแต่ไฟโทสะครุกรุ่นขึ้นมา ในเมื่อพวกเจ้าต่างดูถูกเหยียดหยามข้า อย่างนั้นก็ดี ตัดรอนกันจนไม่เหลือทางให้ข้าเดิน ข้าก็มีหนทางของข้า จะก่อกวนพวกเจ้าให้แผ่นดินสะนั่นแผ่นฟ้าสะเทือนไปเลยทีเดียว!
ก่อกวนอย่างไรดีละ? จุดไฟเผาเรือนรึ เหอะๆ อย่าดีกว่า แสนฤทธิ์ตั้งสติทำจิตในสงบแล้วคิดตริตรองถึงแผนการเอาคืน…ฮึๆๆ ในเมื่อท่านขุนเรืองทรัพย์ผู้นี้ดึงดันยกลูกสาวให้แต่งกับหนุ่มเจ้าสำราญ เพื่อยึดถือในสัจจะและคุณธรรมเป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปหาพ่อตาคนนี้แสร้งเป็นว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ดูซิว่านางจะกล่าวหรือแก้ตัวอย่างไร ไม่แน่ว่าท่านพ่อตาผู้ยึดถือสัจจะและคุณธรรมเหนือเรื่องอื่นใด อาจจะเห็นอกเห็นใจเขยขวัญอย่างเขาแล้วช่วยเขาแล้วช่วยๆเขาจัดการกับลูกสาวและนางบ่าวรับใช้ให้สิ้นพยศไปเลย
ขบคิดเสร็จ แสนฤทธิ์ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืน สั่งพ่อเฒ่าเหมเสียงเข้มว่า “ส่องไฟนำทางพาข้าไปพบท่านพ่อตา” พ่อเฒ่าเหมเห็นแสนฤทธิ์โกรธเกรี้ยวจนหน้าเขียวคล้ำก็นึกเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย ไม่กล้าทักทาน รีบหยิบตะเกียงไฟเดินนำทางเขาอย่างเคยจนมาถึงที่เรือนใหญ่ ที่พักอาศัยของท่านขุนและแม่นายหญิง
ท่านขุนกับแม่นายหญิงอุ่นเรือนกำลังสนทนาและเคี้ยวหมากกันอยู่ในลานเฉลียงกลางเรือน เห็นแสนฤทธิ์เดินเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ก็งงงันเล็กน้อย
แสนฤทธิ์ไม่รีรอให้ทั้งสองท่านได้เอ่ยปากพูดจา รีบนั่งพับเพียบลงต่อหน้าแล้วยกมือไหว้ “ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย วันนี้เขยมาขอเรียนถาม ไม่ทราบว่าวันนี้แม่หญิงปานเดือนแต่งงานกับใครขอรับ?”
ท่านขุนเรืองทรัพย์ กวาดตัวขึ้นลงมองดูแสนฤทธิ์ก็เข้าใจทันที คำพูดของลูกเขยว่ามีความหมายอื่นเป็นแน่แท้ จึงถามไปอย่างฉงนปนร้อนใจว่า “มีอะไรรึ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าพ่อลูกเขย?”
แสนฤทธิ์ นั่งค้อมตัวลง กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวระคนเสียใจ “กระผมไม่เข้าใจจึงมาขอเรียนถามท่านพ่อตาและแม่ยาย วันนี้ปานเดือนได้ตบแต่งออกเรือนกับผู้ใด?”
แม่หญิงอุ่นเรือนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “นี่พ่อลูกเขยทำไมเจ้าพูดจาเยี่ยงนี้เล่า? ในเมื่อเข้าเรียกพวกเราว่าพ่อตาแม่ยายแล้ว เหตุใดยังต้องถามว่ามันผู้ใดเป็นเขยของเราอีก?
“ไม่ใช่ละกระมั๊ง!” ใบหน้าของแสนฤทธิ์เปรยรอยยิ้มเชิงยิ้มเยาะตัวเอง ถอนหายใจทีหนึ่ง “แสนฤทธิ์ไฉนเลยจะมีวาสนาถึงเพียงนั้น!”
ท่านขุนเรืองทรัพย์ขมวดคิ้ว ไตร่ถามไปว่า “พ่อแสน เจ้ามีอะไรก็ให้พูดออกมาตรงๆเถอะ เหตุเป็นเพราะแม่ปานเดือนกลั่นแกล้งเจ้าใช่ไหม?”
ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)...Ep.5 แม่หญิงปานเดือน
บทที่ 5 แม่หญิงปานเดือน
พ่อเฒ่าเหมรีบกล่าวออกตัวขึ้นว่า “เรื่องนี้ให้บ่าวรับไปจัดการเถอะขอรับ บ่าวจะรีบไปยังห้องครัวสั่งให้พวกบ่าวไหร่ในครัวเร่งลงมือจัดสำรับอาหารมาให้พ่อนาย ว่าแต่พ่อนายจะรับประทานอะไรล่ะขอรับ?”
แสนฤทธิ์ส่ายหน้าเบาๆ กล่าวเสียงแข็งว่า “ไม่ต้อง! ข้าต้องการให้นางจัดการให้นางลำดวนลงมือเอง อย่างไรเสียตัวข้าก็เป็นพ่อนายเขย แม้กระทั่งบ่าวสาวใช้เล็กๆคนหนึ่งในเรือน ข้ายังสั่งการไม่ได้ แล้วยังจะนับว่าข้าเป็นลูกเขยของบ้านนี้ได้อีกหรือ! เร็ว! ข้าสั่งให้เจ้าเขียน เจ้าก็เขียนไปสิ!”
พ่อเฒ่าเหมคาดเดาว่าเมื่อสักครู่นี้ แสนฤทธิ์คงได้รับการปฏิบัติอย่างหักหน้ากันขนาดนั้น จึงสร้างความคับเคียงแค้นใจให้กับทั้งแม่หญิงและนางบ่าวสาวใช้ลำดวนเป็นแน่แท้ ในเมื่อทำอะไรสองคนนั้นไม่ได้จึงตั้งใจคิดหาวิธีกลั่นแกล้งตอบโต้ทั้งสองคนนั้นให้ลำบากสักหน่อย เป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ จึงรีบผงกศีรษะรับคำ บนโต๊ะหนังสือมีกระดาษและเครื่องเขียนอื่นๆวางอยู่พร้อมสรรพ แสนฤทธิ์จึงหยิบเอากระดาษและปากกาคอแร้งส่งให้พ่อเฒ่าเหมนำไปเขียนบนเตียงไม้ เพียงครู่เดียวก็เขียนเสร็จแล้ววางปากกาลง มองมายังแสนฤทธิ์
แสนฤทธิ์หยิบขึ้นมาอ่านดู มีใจความมีว่า “ภรรยาของข้า รบกวนท่านจัดแจงสั่งการให้ลำดวนทำอาหารว่างมื้อดึกให้สามีสักเล็กน้อย”
ฝีมือการเขียนหนังสือของพ่อเฒ่าเหม นับว่าคัดบรรจงตัวอักษรสวยงามใช้ได้ทีเดียว เมื่อเทียบกับลายมือการเขียนหวัดยิ่งกว่าไก่เขี่ยของนักเรียนแพทย์เช่นเขา ถึงกับเอ่ยปากชมขึ้นมาว่า “คิดไม่ถึงว่า พ่อเฒ่าเหมจะมีทักษะอ่านออกเขียนได้ แถมเขียนและคัดลายมือได้บรรจงสวยงาม ใช้ได้ๆ” พ่อเฒ่าเหม ตอบกลับไปแบบถ่อมตนว่า “บ่าวเพียงแค่อ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองขอรับ”
แสนฤทธิ์ ถามพ่อเฒ่าในเชิงอยากรู้ว่าสมัยโบราณเขาสอนและเรียนหนังสือกันยังไงที่ไหนว่า “อ่านออกเขียนได้ คัดลายมือได้สวยงามขนาดนี้ พ่อเฒ่าได้ไปร่ำเรียนที่ไหนมาบ้างละ?” พ่อเฒ่าตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า “ตัวบ่าวเองไม่มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนหนังสือหรอกขอรับ อาศัยสมัยเป็นหนุ่มที่ได้บวชเรียนเพียงชั่วไม่กี่พรรษาจึงพอมีโอกาสได้ฝึกเรียนเขียนอ่านได้บ้าง พอได้มาเป็นบ่าวรับใช้ท่านขุนแสนญา ท่านพ่อของพ่อนาย ด้วยพระเดชพระคุณขอท่านขุน ท่านให้บ่าวเป็นบ่าวรับใช้งานในห้องหนังสือ ช่วยงานเขียนหนังสือ จดหมายหรือสาสน์ติดต่อการค้ากับโพ้นทะเล ได้เขียนได้อ่านบ้างจึงพอรู้หนังสืออยู่บ้างขอรับ” แสนฤทธิ์ พยักหน้าแสดงความเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว จึงหันมาอ่านพินิจพิจารณาครุ่นคิดกับหนังฉบับนี้อีกครั้ง
ด้วยเหตุที่ว่าอาหารมื้อดึกนั้นไหนเลยจะใช้จุดประสงค์หลักของแสนฤทธิ์ เขาแสร้งทำเป็นถลึงตาอย่างดุดันทีหนึ่ง กล่าวว่า “ใครให้เจ้าเขียนอย่างเกรงอกเกรงใจอย่างนี้ เอาไปเขียนใหม่ เขียนให้เด็ดขาดกว่านี้ เขียนให้ระบุชื่อเสียงเรียงนามให้ชัดเจนไปตรงๆเลย ออกคำสั่งให้นางใช้นางบ่าวลำดวนไปทำอาหารมื้อดึกให้ข้า ถ้าไม่ทำตามข้าก็จะให้ปฏิบัติตามกฎของเรือนท่านขุน เป็นและบ่าวสาวใช้เล็กๆคนหนึ่ง ริบังอาจสั่งให้ข้าหนีไปโน่นมานี่ ข้าต้องเอาคืนนาง! ให้รู้ไปว่าสมัยโบราณเช่นนี้ยังจะมีบ่าวไพร่ที่มาตีตนเสมอนายได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการนางไม่ได้”
พ่อเฒ่าเหมแอบก้มหน้าแลบลิ้นออกมา ชำเลืองมองดูแล้วคิดเกรงกลัวประหวั่นพรั่นพรึงถึงไฟโทสะของผู้เป็นนาย แม้จะไม่เข้าใจคำพูด “สมัยโบราณเช่นนี้” สักเท่าไร แต่ด้วยเห็นว่าแสนฤทธิ์อยู่ในอารมณ์ที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็เลยไม่กล้าที่จะถามให้มากความ ได้แต่รีบไปหยิบกระดาษแผ่นใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาตั้งสติเรียบเรียงเขียนใหม่อีกครั้ง
แสนฤทธิ์พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พ่อเฒ่าจะเริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษว่า “จะให้ดีพ่อเฒ่าต้องเขียนให้เป็นจดหมายเหตุ เพื่อจะได้ให้ลูกให้หลานได้อ้างอิงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ ระบุ วัน เดือน รัชสมัย ให้ครบถ้วนพร้อมสรรพ อนุชนคนรุ่นหลังจะได้รู้ว่ากุลสตรีไทยแต่โบราณนานมา หาใช่มีแต่กุลสตรีแม่ศรีเรือน ยังมีหญิงที่ยังทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อสามี และบ่าวไพร่ที่ทำตัวตีตนเสมอนายอีกด้วย”
พ่อเฒ่าเหมเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเขียนเสร็จยกปลายปากกาออกจากแผ่นกระดาษพร้อมกับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยื่นให้แสนฤทธิ์พิจารณาอ่านตรวจทานอีกครั้ง
“จุลศักราช 1198 อัฐศก ปีที่ 13 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ณ วันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 7 ค่ำ ปีวอก (หมายเหตุ…ตรงกับวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2380 และการใช้ปีจุลศักราชนั้น ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ของไทย มีใช้มานานตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง ในยุคกรุงศรีอยุธยา สืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) หนังสือแจ้งต่อแม่หญิงปานเดือน ภรรยาท่านแสนฤทธิ์ ผู้มีคำสั่งให้อำแดงลำดวน บ่าวหญิงในเรือน ให้นางเร่งทำสำรับอาหารมื้อดึกส่งมาให้ท่านแสนฤทธิ์บัดเดี๋ยวนี้ ผู้ใดขัดขืนคำสั่งให้ปฏิบัติตามกฎของเรือน! ลงนามท่านแสนฤทธิ์”
ปานเดือน? นี่คือชื่อของแม่หญิงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของข้าหรือนี่ แสนฤทธิ์นึกคิดในใจหลังจากที่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้ บัดนี้เขาได้รู้จักชื่อภรรยาของเขาแล้วยังแอบเปรยยิ้มละมุนออกมาเล็กน้อย ปานเดือน ชื่อนี้ดูสวยงาม ผุดผ่องเป็นยองใย แต่ก็สูงส่ง ดุจพระจันทร์ในยามค่ำคืนที่ส่งรัศมีเจิดจรัสทั่วท้องฟ้าในยามราตรี ยากที่จะหาดาวดวงใดมาเทียบรัศมีได้ ชื่อนี้ไพเราะ ชวนให้หลงใหล และมีความหมายที่ดีมากๆ
ปีจุลศักราช 1198? วันศุกร์ เดือน2 ขึ้น7 ค่ำ? ปีที่ 13 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว? นี่เขาย้อนยุคมาถึงสมัยระตนโกสินทร์ตอนต้นเลยเหรอนี่ ในยุคสมัยที่ประเทศไทยยังไม่ได้ประกาศใช้ปฏิทินแบบสากลเลยเหรอนี่ นี่ถ้าหากเราพูดไปว่าเดือนมกราคม กุมพาพันธ์ มีนาคม ฯลฯ พุทธศักราชนั่นนี่โน้นไป คนในยุคสมัยนี้คงจะงงเป็นไก่ตาแตกกันแน่เชียว เขาเคยจำได้ว่าการประกาศใช้ปฏิทินแบบสากลพึ่งจะเริ่มมีประกาศใช้ในช่วงรัชกาลที่ 6 นี่ไม่คิดว่าความรู้ในวิชาสังคมศาสตร์และประศาสตร์สมัยที่เขายังท่องตำราเรียนในช่วงที่เป็นนักเรียนมัธยม เขาจะได้นำมันมาใช้ในคราวนี้ ไม่เสียดายและรู้สึกขอพระคุณคุณครูในชั้นเรียนในตอนนี้ที่พร่ำสอนจนปากเปียกปากแฉะ และเขาก็ยังพอจะระลึกนึกได้อยู่บ้าง ว่าตั้งแต่สมัยโบราณมีการนับปีศักรราชเป็น จุลศักราช (จ.ศ.) นี่ถ้าจำไม่ผิดคุณครูเคยสอนเขามาว่า มันเป็นการใช้บอกปีภายหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปรินิพพานไปแล้ว 1181 ปี ดังนั้นจะแปลงให้เป็นปีศักราชแบบ พุทธศักราช (พ.ศ.) ตามที่เขาเคยชินในยุคปัจจุบัน ก็ต้องบวกค่าตัวแปร 1181 ปีนี้เข้าไปด้วย…เขาคิดบวกเลขในใจแล้วได้คำตอบให้ตัวเองว่า ตอนนี้เขาได้ย้อนมาอยู่ในช่วงปี พ.ศ./2379 นี่เขาตกใจที่รู้ว่าตัวเองได้ย้อนเวลามาเกือบจะ 200 ปีแล้ว (หมายเหตุ การนับวันขึ้นปีใหม่ในปีจุลศักราช จะถือว่าวันที่ 16 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่)
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ได้ย้อนเวลามายาวไกลนานนับร้อยๆปี ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีกันแน่ เมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันอย่างโลดแล่นดีใจกับความสำเร็จในชีวิตภายหลังที่ทราบผลสอบ และเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการออกมารับใช้สังคมในฐานะแพทย์ ที่จะกำลังเริ่มต้นในชีวิตของเขา แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังกลับชะตาชีวิตพลิกผลันเหมือนได้โดยสารไทม์แมชชีนย้อนมายังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แถมยังได้แม่หญิงสวยหยาดเยิ้มปานดวงเดือนมาเป็นภรรยา แต่ก็แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างอัศจรรย์ใจจนน่าเหลือเชื่อ
พ่อเฒ่าเหมเห็นแสนฤทธิ์ยืนนิ่งตะลึงงันไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ผ่านไปนานแสนฤทธิ์จึงค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ส่งไปอย่างนี้ก็แล้วกัน”
พ่อเฒ่าเหมรับคำ หยิบฉวยกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้ว รีบเดินออกไป
แสนฤทธิ์ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก ทิ้งตัวแบบไร้เรี่ยวแรงลงบนเก้าอี้ ฟ้าลิขิต? หรือเป็นเคราะห์กรรม? เขาย้อนยุคกลับมายังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ่อแม่และญาติพี่น้องเพื่อฝูงที่อยู่ในโลกปัจจุบัน คงเข้าใจว่าเขาคงตายไปแล้ว ทุกคนต้องโศกเศร้าเสียใจกันอย่างแน่นอน นึกถึงพ่อแม่และทุกๆคนที่อยู่ทางโน้นยิ่งทำให้จิตใจหดหู่หนักอึ้งขึ้นมา แต่จะมีหนทางอะไรที่เขาจะทำได้บ้างละ ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงไปรษณีย์ กระทั่งตู้โทรศัพท์สักตู้ก็ยังไม่มี โทรศัพท์มือถือ หรือกาติดต่อผ่านทางโซเชียลต่างๆยิ่งไม่ต้องนึกถึงเลย อยากโทรก็โทรไม่ได้ อยากเขียนจดหมายบอกเล่าทุกข์สุข ก็ไม่สามารถส่งข่าวสารไปบอกพวกเขาได้
ขณะที่กำลังนั่งคิดอย่างเศร้าซึม พ่อเฒ่าเหมก็กลับเข้ามาถึง พร้อมกับยิ้มสู้ กล่าวรายงานว่า “ข้อความส่งมอบให้กับแม่หญิงแล้วนะขอรับ”
แสนฤทธิ์ พลันมีสติขึ้นมาได้เลยสะบัดศีรษะไปมาสองสามทีเพื่อไล่ความอาวรณ์ร้อนรุ่มใจทิ้งไป แล้วตั้งสติกลับคืนมากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงในยุคสมัยนี้ แล้วถามกลับไปว่า “นางไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ?”
“เอ่อ! แม่หญิงกล่าวว่า…หากพ่อนายอยากรับประทานก็ให้ตัวท่านเอง…เอ่อ! หรือให้บ่าวไปแจ้งที่ห้องครัวให้บ่าวไพร่ในครัวทำเถอะนะขอรับ”
แสนฤทธิ์ถึงกับเดือดดาล ทำไมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขามันช่างไม่ถูกไม่ต้องไปซะทั้งหมด หรือฟ้ากำลังเล่นตลกกับชะตาชีวิตของเขา นึกถึงเมื่อครู่ตอนที่ถูกลำดวนผลักใสออกมาจากห้องจนเกือบล้มหัวคะมำ แล้วต้องมาเจอกับภรรยาแสนสวยที่ช่างเย็นชาไม่แยแสต่อเขา ในใจก็พลันมีแต่ไฟโทสะครุกรุ่นขึ้นมา ในเมื่อพวกเจ้าต่างดูถูกเหยียดหยามข้า อย่างนั้นก็ดี ตัดรอนกันจนไม่เหลือทางให้ข้าเดิน ข้าก็มีหนทางของข้า จะก่อกวนพวกเจ้าให้แผ่นดินสะนั่นแผ่นฟ้าสะเทือนไปเลยทีเดียว!
ก่อกวนอย่างไรดีละ? จุดไฟเผาเรือนรึ เหอะๆ อย่าดีกว่า แสนฤทธิ์ตั้งสติทำจิตในสงบแล้วคิดตริตรองถึงแผนการเอาคืน…ฮึๆๆ ในเมื่อท่านขุนเรืองทรัพย์ผู้นี้ดึงดันยกลูกสาวให้แต่งกับหนุ่มเจ้าสำราญ เพื่อยึดถือในสัจจะและคุณธรรมเป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปหาพ่อตาคนนี้แสร้งเป็นว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ดูซิว่านางจะกล่าวหรือแก้ตัวอย่างไร ไม่แน่ว่าท่านพ่อตาผู้ยึดถือสัจจะและคุณธรรมเหนือเรื่องอื่นใด อาจจะเห็นอกเห็นใจเขยขวัญอย่างเขาแล้วช่วยเขาแล้วช่วยๆเขาจัดการกับลูกสาวและนางบ่าวรับใช้ให้สิ้นพยศไปเลย
ขบคิดเสร็จ แสนฤทธิ์ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืน สั่งพ่อเฒ่าเหมเสียงเข้มว่า “ส่องไฟนำทางพาข้าไปพบท่านพ่อตา” พ่อเฒ่าเหมเห็นแสนฤทธิ์โกรธเกรี้ยวจนหน้าเขียวคล้ำก็นึกเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย ไม่กล้าทักทาน รีบหยิบตะเกียงไฟเดินนำทางเขาอย่างเคยจนมาถึงที่เรือนใหญ่ ที่พักอาศัยของท่านขุนและแม่นายหญิง
ท่านขุนกับแม่นายหญิงอุ่นเรือนกำลังสนทนาและเคี้ยวหมากกันอยู่ในลานเฉลียงกลางเรือน เห็นแสนฤทธิ์เดินเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ก็งงงันเล็กน้อย
แสนฤทธิ์ไม่รีรอให้ทั้งสองท่านได้เอ่ยปากพูดจา รีบนั่งพับเพียบลงต่อหน้าแล้วยกมือไหว้ “ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย วันนี้เขยมาขอเรียนถาม ไม่ทราบว่าวันนี้แม่หญิงปานเดือนแต่งงานกับใครขอรับ?”
ท่านขุนเรืองทรัพย์ กวาดตัวขึ้นลงมองดูแสนฤทธิ์ก็เข้าใจทันที คำพูดของลูกเขยว่ามีความหมายอื่นเป็นแน่แท้ จึงถามไปอย่างฉงนปนร้อนใจว่า “มีอะไรรึ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าพ่อลูกเขย?”
แสนฤทธิ์ นั่งค้อมตัวลง กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวระคนเสียใจ “กระผมไม่เข้าใจจึงมาขอเรียนถามท่านพ่อตาและแม่ยาย วันนี้ปานเดือนได้ตบแต่งออกเรือนกับผู้ใด?”
แม่หญิงอุ่นเรือนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “นี่พ่อลูกเขยทำไมเจ้าพูดจาเยี่ยงนี้เล่า? ในเมื่อเข้าเรียกพวกเราว่าพ่อตาแม่ยายแล้ว เหตุใดยังต้องถามว่ามันผู้ใดเป็นเขยของเราอีก?
“ไม่ใช่ละกระมั๊ง!” ใบหน้าของแสนฤทธิ์เปรยรอยยิ้มเชิงยิ้มเยาะตัวเอง ถอนหายใจทีหนึ่ง “แสนฤทธิ์ไฉนเลยจะมีวาสนาถึงเพียงนั้น!”
ท่านขุนเรืองทรัพย์ขมวดคิ้ว ไตร่ถามไปว่า “พ่อแสน เจ้ามีอะไรก็ให้พูดออกมาตรงๆเถอะ เหตุเป็นเพราะแม่ปานเดือนกลั่นแกล้งเจ้าใช่ไหม?”