ชาติ แปลว่า การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า ดังเช่น การเกิดเป็นตัวตนจากท้องแม่ที่มีพ่อเป็นเหตุปัจจัยร่วม, การเกิดของสิ่งต่างๆ, การเกิดแต่เหตุปัจจัยคือสังขารต่างๆ, การเกิดของเหล่ากองทุกข์ ส่วนความหมายในทางโลก หมายถึง ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน, จึงมีความหมายได้หลายหลาก ขึ้นกับจุดประสงค์หรือสาระนั่นเอง
ชาติ ในความหมายของภาษาธรรม มีความหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารต่างๆทั้งปวง อันคือสิ่งต่างๆที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันจึงเกิดหรือชาติขึ้นมา จึงครอบคลุมทั้งฝ่ายรูปธรรมเช่นตัวตน ชีวิต และฝ่ายนามธรรมเช่น จิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ.
เมื่อกล่าวโดยโลกุตระหรือภาษาธรรมแล้ว ชาติ จึงหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวง (สังขาร ที่หมายถึง สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ดังเช่น สังขารหรือสังขตธรรมในพระไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่มีความหมายถึงแต่กายสังขารหรือชีวิตแต่อย่างเดียวเท่านั้น)
ดังนั้น ชาติ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทก็แปลว่า การเกิด, การเกิดขึ้น เช่นกัน ที่หมายถึงเกิดมาแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกัน แต่มีความหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกว่า หมายถึง การเกิดขึ้นของกองทุกข์หรือความทุกข์ แต่เป็นความทุกข์ชนิดที่ประกอบหรือถูกครอบงำด้วยอุปาทาน (อุปาทานทุกข์) [รวมทั้งสุขทางโลกหรือโลกียสุขอันเป็นทุกข์โดยละเอียดอย่างหนึ่ง] จึงมีความหมายที่เฉพาะตัวของมันเอง
ดังนั้นจงพิจารณาโดยแยบคาย อย่าให้มีความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา)หรือมีความยึดมั่นอย่างผิดๆ(มิจฉาทิฏฐิ)จนเป็นทิฏฐุปาทาน อันเป็นดังที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ในอวิชชาสูตร, ดังนั้นความหมายของคำว่าชาติ ที่หมายรู้หมายตีความหรือพาลไปเข้าใจกันโดยทั่วๆไปโดยไม่รู้ตัวว่าหมายถึง การเกิดเป็นตัวตนหรือการเกิดแต่ครรภ์มารดา หรือการเกิดในภพชาติหน้า,ชาติโน้น แต่ฝ่ายเดียวจนเสียการ, แม้ในพระไตรปิฏก ก็มีการกล่าวถึงชาติหรือการเกิดไว้หลายนัยด้วยกัน ดังเช่น
ชาติที่หมายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์หรือปฏิจจสมุปบาทก็มี
ชาติ ที่หมายถึงเกิดขึ้นของธรรมหรือจิตหรือขันธ์ต่างๆในชาติธรรมสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของแต่ละองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทและอาหาร ๔ ก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแต่ครรภ์มารดาเป็นตัวตนหรือชีวิตในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแห่งวิญญาณในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของปวงสัตว์ในสติปัฏฐาน ๔ ก็มี
ชาติ ในทุกขอริยสัจก็มี
ฯลฯ.
ชาติ ขรา มรณะ ในปฏิจจสมุปบาท
ชาติ ในความหมายของภาษาธรรม มีความหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารต่างๆทั้งปวง อันคือสิ่งต่างๆที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันจึงเกิดหรือชาติขึ้นมา จึงครอบคลุมทั้งฝ่ายรูปธรรมเช่นตัวตน ชีวิต และฝ่ายนามธรรมเช่น จิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ.
เมื่อกล่าวโดยโลกุตระหรือภาษาธรรมแล้ว ชาติ จึงหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวง (สังขาร ที่หมายถึง สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ดังเช่น สังขารหรือสังขตธรรมในพระไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่มีความหมายถึงแต่กายสังขารหรือชีวิตแต่อย่างเดียวเท่านั้น)
ดังนั้น ชาติ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทก็แปลว่า การเกิด, การเกิดขึ้น เช่นกัน ที่หมายถึงเกิดมาแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกัน แต่มีความหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกว่า หมายถึง การเกิดขึ้นของกองทุกข์หรือความทุกข์ แต่เป็นความทุกข์ชนิดที่ประกอบหรือถูกครอบงำด้วยอุปาทาน (อุปาทานทุกข์) [รวมทั้งสุขทางโลกหรือโลกียสุขอันเป็นทุกข์โดยละเอียดอย่างหนึ่ง] จึงมีความหมายที่เฉพาะตัวของมันเอง
ดังนั้นจงพิจารณาโดยแยบคาย อย่าให้มีความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา)หรือมีความยึดมั่นอย่างผิดๆ(มิจฉาทิฏฐิ)จนเป็นทิฏฐุปาทาน อันเป็นดังที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ในอวิชชาสูตร, ดังนั้นความหมายของคำว่าชาติ ที่หมายรู้หมายตีความหรือพาลไปเข้าใจกันโดยทั่วๆไปโดยไม่รู้ตัวว่าหมายถึง การเกิดเป็นตัวตนหรือการเกิดแต่ครรภ์มารดา หรือการเกิดในภพชาติหน้า,ชาติโน้น แต่ฝ่ายเดียวจนเสียการ, แม้ในพระไตรปิฏก ก็มีการกล่าวถึงชาติหรือการเกิดไว้หลายนัยด้วยกัน ดังเช่น
ชาติที่หมายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์หรือปฏิจจสมุปบาทก็มี
ชาติ ที่หมายถึงเกิดขึ้นของธรรมหรือจิตหรือขันธ์ต่างๆในชาติธรรมสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของแต่ละองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทและอาหาร ๔ ก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแต่ครรภ์มารดาเป็นตัวตนหรือชีวิตในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแห่งวิญญาณในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี
ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของปวงสัตว์ในสติปัฏฐาน ๔ ก็มี
ชาติ ในทุกขอริยสัจก็มี
ฯลฯ.