
ความปลอดภัย และสุขภาพที่แข็งแรงของลูก เชื่อว่า พ่อ แม่ ทุกคนคงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด (ยิ่งเห็นลูกเจ็บป่วย พ่อ แม่บางคนอาจจะเจ็บป่วยยิ่งกว่า) โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กที่มีความเสี่ยง และมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะระบบภูมิต้านทานต่อโรคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ พ่อ แม่ จึงมักเลือกที่จะทำประกันสุขภาพเพื่อสร้างความอุ่นใจว่าลูกของเรานั้นจะได้รับการรักษาได้อย่างเต็มที่
วันนี้
K-EXPERT จึงอยากที่จะช่วยแนะนำในสิ่งที่สำคัญก่อนการตัดสินใจ เลือกประกันสุขภาพให้ลูกน้อยได้อย่างตรงความต้องการมากที่สุด
เรื่องแรก คือ การซื้อประกันสุขภาพแบบเดี่ยว หรือ ซื้อแบบพ่วง (ซื้อเป็นอนุสัญญาเพิ่มเติมจากประกันชีวิตหลัก)
การซื้อแบบเดี่ยว สำหรับคนที่เน้นความคุ้มครองให้ลูกในด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียว (ไม่ต้องซื้อประกันชีวิตเป็นสัญญาหลัก) โดยสามารถซื้อความคุ้มครองเป็นรายปีได้ตามความคุ้มครองที่บริษัทได้กำหนดแบบประกันไว้แล้ว และสามารถเปลี่ยนบริษัทได้หากมีตัวอื่นที่ดีกว่าในปีถัดไป
การซื้อแบบพ่วง สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองชีวิต พร้อมคุ้มครองสุขภาพ และอุบัติเหตุ โดยซื้อเป็นอนุสัญญาเพิ่มเติมพ่วงกับประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลัก มีการต่ออายุอนุสัญญาด้านสุขภาพเป็นรายปี ตัวอนุสัญญานั้นจะสามารถต่ออายุได้นานเท่ากับระยะเวลาคุ้มครองของสัญญาประกันชีวิตตัวหลัก เช่น โดยเฉลี่ยอนุสัญญาจะสามารถต่ออายุได้ถึง 80 ปี หากต้องการต่ออนุสัญญาจนถึงอายุดังกล่าว ก็ควรเลือกประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองถึงอายุอย่างน้อย 80 ปีเช่น แบบตลอดชีพ เพราะถ้าเลือกประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลักมีความคุ้มครองเพียง 10 ปี จะต่ออายุของอนุสัญญาได้เพียง 10 ปีเท่านั้น
เรื่องที่สอง คือ ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาล
ความคุ้มครองผู้ป่วยนอก(OPD) การรักษาโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนั่นเอง จุดนี้อาจพิจารณาจากจำนวนครั้งที่คาดว่าเด็กจะมีโอกาสเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละปี และวงเงินความคุ้มครองที่ต้องการ หากเราคิดว่าโอกาสเกิดไม่บ่อยครั้ง และเราสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายได้ ก็อาจทำในวงเงินที่ไม่สูงนัก หรือเลือกไม่ทำเลยก็ได้
ความคุ้มครองแบบผู้ป่วยใน (IPD) การรักษาตัวที่ต้องนอนโรงพยาบาล จุดนี้ พ่อ แม่ ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเด็กมีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ และไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียดในอาการตนเอง การให้เด็กนอน รพ. น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยเพราะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และพยาบาล แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงด้วยเช่นกัน โดยวงเงินคุ้มครองหลักๆ จากประกัน คือ ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์หากจำเป็นต้องผ่าตัด และความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหากเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถใช้วงเงินคุ้มครองเหล่านี้ และค่าเบี้ยของแต่ละที่เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
เรื่องที่สาม คือ รูปแบบวงเงินความคุ้มครอง มีให้เลือก 2 แบบคือ
1. กำหนดวงเงินทุกรายการค่าใช้จ่าย ประกันแบบนี้จะกำหนดมาเลยว่า ความคุ้มครองในแต่ละประเภทการรักษามีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดอยู่ที่เท่าไร เหมาะกับคนที่ลองคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ค่าห้องของ รพ. ใกล้บ้าน แนะนำเลือกแบบให้สอดคล้องกับ รพ. ที่จะเข้ารักษา หรือเลือกวงเงินคุ้มครองให้ครอบคลุม
2. กำหนดวงเงินบางส่วนและกำหนดวงเงินสูงสุด หรือบางคนมักเรียกว่า แบบเหมาจ่าย อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบเหมาจ่ายแต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายหลักๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่ารักษา แต่เพิ่มวงเงินแบบเหมาจ่ายในรายการค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ค่ารถโรงพยาบาลฉุกเฉิน ค่าผ่าตัด โดยสามารถเบิกได้ตามจริงและเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายหลักแล้ว จะต้องไม่เกินวงเงินสูงสุดที่กำหนด ทำให้เราสามารถยืดหยุ่นค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆได้ แต่เบี้ยของประกันรูปแบบนี้จะค่อนข้างสูง
บริษัทประกันส่วนใหญ่จะรับทำประกันสุขภาพในวัยเด็กที่อยู่ในช่วง แรกเกิด-15 ปี การพิจารณาว่าควรจะทำช่วงไหนดีที่สุด คงขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ พ่อ แม่ ต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อย โดยแนะนำว่าการทำประกันตอนที่สุขภาพของลูกยังแข็งแรงจะสามารถทำได้ง่ายกว่า ตอนที่มีประวัติการเกิดโรคแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือ เราควรทำประกันสุขภาพให้ลูกในระดับที่สามารถชำระเบี้ยประกันได้โดยไม่เดือนร้อนต่อการใช้ชีวิตด้วยนะครับ
3 สิ่งสำคัญที่ต้องเช็ก! ก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพเด็ก
ความปลอดภัย และสุขภาพที่แข็งแรงของลูก เชื่อว่า พ่อ แม่ ทุกคนคงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด (ยิ่งเห็นลูกเจ็บป่วย พ่อ แม่บางคนอาจจะเจ็บป่วยยิ่งกว่า) โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กที่มีความเสี่ยง และมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะระบบภูมิต้านทานต่อโรคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ พ่อ แม่ จึงมักเลือกที่จะทำประกันสุขภาพเพื่อสร้างความอุ่นใจว่าลูกของเรานั้นจะได้รับการรักษาได้อย่างเต็มที่
วันนี้ K-EXPERT จึงอยากที่จะช่วยแนะนำในสิ่งที่สำคัญก่อนการตัดสินใจ เลือกประกันสุขภาพให้ลูกน้อยได้อย่างตรงความต้องการมากที่สุด
เรื่องแรก คือ การซื้อประกันสุขภาพแบบเดี่ยว หรือ ซื้อแบบพ่วง (ซื้อเป็นอนุสัญญาเพิ่มเติมจากประกันชีวิตหลัก)
การซื้อแบบเดี่ยว สำหรับคนที่เน้นความคุ้มครองให้ลูกในด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียว (ไม่ต้องซื้อประกันชีวิตเป็นสัญญาหลัก) โดยสามารถซื้อความคุ้มครองเป็นรายปีได้ตามความคุ้มครองที่บริษัทได้กำหนดแบบประกันไว้แล้ว และสามารถเปลี่ยนบริษัทได้หากมีตัวอื่นที่ดีกว่าในปีถัดไป
การซื้อแบบพ่วง สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองชีวิต พร้อมคุ้มครองสุขภาพ และอุบัติเหตุ โดยซื้อเป็นอนุสัญญาเพิ่มเติมพ่วงกับประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลัก มีการต่ออายุอนุสัญญาด้านสุขภาพเป็นรายปี ตัวอนุสัญญานั้นจะสามารถต่ออายุได้นานเท่ากับระยะเวลาคุ้มครองของสัญญาประกันชีวิตตัวหลัก เช่น โดยเฉลี่ยอนุสัญญาจะสามารถต่ออายุได้ถึง 80 ปี หากต้องการต่ออนุสัญญาจนถึงอายุดังกล่าว ก็ควรเลือกประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองถึงอายุอย่างน้อย 80 ปีเช่น แบบตลอดชีพ เพราะถ้าเลือกประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลักมีความคุ้มครองเพียง 10 ปี จะต่ออายุของอนุสัญญาได้เพียง 10 ปีเท่านั้น
เรื่องที่สอง คือ ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาล
ความคุ้มครองผู้ป่วยนอก(OPD) การรักษาโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนั่นเอง จุดนี้อาจพิจารณาจากจำนวนครั้งที่คาดว่าเด็กจะมีโอกาสเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละปี และวงเงินความคุ้มครองที่ต้องการ หากเราคิดว่าโอกาสเกิดไม่บ่อยครั้ง และเราสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายได้ ก็อาจทำในวงเงินที่ไม่สูงนัก หรือเลือกไม่ทำเลยก็ได้
ความคุ้มครองแบบผู้ป่วยใน (IPD) การรักษาตัวที่ต้องนอนโรงพยาบาล จุดนี้ พ่อ แม่ ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเด็กมีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ และไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียดในอาการตนเอง การให้เด็กนอน รพ. น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยเพราะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และพยาบาล แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงด้วยเช่นกัน โดยวงเงินคุ้มครองหลักๆ จากประกัน คือ ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์หากจำเป็นต้องผ่าตัด และความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหากเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถใช้วงเงินคุ้มครองเหล่านี้ และค่าเบี้ยของแต่ละที่เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
เรื่องที่สาม คือ รูปแบบวงเงินความคุ้มครอง มีให้เลือก 2 แบบคือ
1. กำหนดวงเงินทุกรายการค่าใช้จ่าย ประกันแบบนี้จะกำหนดมาเลยว่า ความคุ้มครองในแต่ละประเภทการรักษามีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดอยู่ที่เท่าไร เหมาะกับคนที่ลองคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ค่าห้องของ รพ. ใกล้บ้าน แนะนำเลือกแบบให้สอดคล้องกับ รพ. ที่จะเข้ารักษา หรือเลือกวงเงินคุ้มครองให้ครอบคลุม
2. กำหนดวงเงินบางส่วนและกำหนดวงเงินสูงสุด หรือบางคนมักเรียกว่า แบบเหมาจ่าย อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบเหมาจ่ายแต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายหลักๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่ารักษา แต่เพิ่มวงเงินแบบเหมาจ่ายในรายการค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ค่ารถโรงพยาบาลฉุกเฉิน ค่าผ่าตัด โดยสามารถเบิกได้ตามจริงและเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายหลักแล้ว จะต้องไม่เกินวงเงินสูงสุดที่กำหนด ทำให้เราสามารถยืดหยุ่นค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆได้ แต่เบี้ยของประกันรูปแบบนี้จะค่อนข้างสูง
บริษัทประกันส่วนใหญ่จะรับทำประกันสุขภาพในวัยเด็กที่อยู่ในช่วง แรกเกิด-15 ปี การพิจารณาว่าควรจะทำช่วงไหนดีที่สุด คงขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ พ่อ แม่ ต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อย โดยแนะนำว่าการทำประกันตอนที่สุขภาพของลูกยังแข็งแรงจะสามารถทำได้ง่ายกว่า ตอนที่มีประวัติการเกิดโรคแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือ เราควรทำประกันสุขภาพให้ลูกในระดับที่สามารถชำระเบี้ยประกันได้โดยไม่เดือนร้อนต่อการใช้ชีวิตด้วยนะครับ