ทุกวันนี้ในยุคที่มีไฮเทคมากขึ้นเราเจอ ผี น้อยลงเป็นเพราะสิ่งใด คุณคิดเห็นยังไงบ้าง? [2018]

มาถกกันหน่อยคับ เนื่องเป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่ได้เจตนาดูหมิ่นหรือลบหลู่ใดๆ ต่อใครทั้งหมด
ถ้าหากเป็นประเทศเสรีหรือประชาธิปไตยจริง ก็คงจะรับฟังความคิดกันสักเล็กน้อยสินะคับ (อ้างไปเรื่อย ฮ่าๆ)
แต่หากไม่พึงใจผมทำให้หงุดหงิดหงุดเงี้ยวอย่างใด ผมขอโทษไว้ตรงนี้คับ ไหนๆ ก็เข้ามาอ่านแล้วก็แค่บอกเอาไว้ก่อน
โย่! มาคุยกันโลดดดดด..


คุณเคยคิดเล่นๆ บ้างหรือเปล่า ว่าคนไทยมียุคนึงก่อนหน้านี้ที่มีคนทำหนังผีแล้วออกมาประสบผลดีสำเร็จดังปุบปับปุบปับเป็นพลุ
คนก็เริ่มสนใจหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องลึกลับที่ต้องค้นหามากหรือกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดและความกลัวอะไรบางอย่าง
เรียกได้ว่ากระแสฟีเว่อร์อึมครึมแปลกๆ เหมือนจะอิน ไม่ดิ!.. (ต้องใช้คำไหนดี?) เหมือนจะเพิ่มหรือขยี้ตีฟูความเชื่อที่มีมาแต่ดั้งเดิม
จนดำดิ่งลึกฝังลงไปในความเชื่อนั้นมากขึ้นไป ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังเชื่อเรื่องการทำบุญและกุศลนะ การนับถือการให้ความเคารพ
หลักสอนทางศาสนา แต่เรื่องผี..! ไม่เคยเข้าใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่แถวบ้านผม พูดตามตรงว่าเป็นชนบทบ้านนอกมาก
ผมรู้ว่าถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อนพวกคนตามเมืองใหญ่ๆ บางท่านอ่านกระทู้นี้แล้วก็อาจจะคิดได้ว่า ก็คิดว่าไม่ได้น่ากลัวอะไร
ก็ใช้ชีวิตปกติเรื่อยมายังไม่มีอะไร ผีเผออาไร้.. มีที่ไหนกัน! บ้านเมืองถึงยุคไหนแล้ว.. หรือบางคนที่นับถือหรือเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว
แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่ก็เป็นเรื่องที่คู่บ้านคู่เมืองกันมานานก็ไม่คิดมากอะไรแต่ก็ยังมีความเชื่ออยู่
หรือจะมีอีกพวกนึงพวกอยากพิสูจน์..

เม่าตาสว่าง เม่านอนไม่หลับ

แต่คิดหรือไม่ว่าสมัยที่แม้แต่ยุดที่ Nokia 3310 ยังคงแพงเท่าไอโฟนปัจจุบัน ตามหัวเมืองบ้านนอกที่ทิวทัศน์ดี๊ดีโคตรๆ
อากาศก็แสนจะดี คนในหมู่บ้านก็รักกันดี(อะไรจะปานนั้น..แต่หลายที่ก็รักใคร่กันมากจริงๆนะสำหรับเมื่อก่อน)
นั่นแหละคับที่เรียกว่าชนบท แล้วแถมเป็นยุคที่ผู้คนโหยหาชีวิตที่ดีและมุ่งหน้าเข้าไปหาชีวิตดีๆ ในเมืองในยุคบุกเบิกความเจริญ
ทำให้ตามบ้านนอกนี้มีเวลามีงานรื่นเริงใหญ่ๆระดับหมู่บ้าน ตำบล กระทั่งระดับอำเภอ มันเป็นช่วงเวลาที่คนมักจะออกมาทำอะไรร่วมกัน
กระทั่งงานที่ใช้ช่วงเวลาดำเนินงานตอนกลางคืนก็เช่นกันคับ ไม่ว่าจะงานกุศล อกุศล หรือมหรสพต่างๆ
ก็ไม่พ้นว่าจะมีสิ่งที่มันจะต้องมี คือเรื่องที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งไงล่ะ เมื่อผู้คนมาชุมนุมกันในเวลาแบบนี้โดยเฉพาะ
พวกวัยหนุ่มสาวนี่แหละ วัยที่ชอบความท้าทาย ความสนุก วัยคึกคะนอง

เม่าดี๊ด๊า เม่าแพนิค

ผมมองว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะสำหรับเพื่อความบันเทิงในยุคเก่าก่อน หรือเพื่อเป็นฝ่าฝืนความเคารพอะไรบางอย่างก็ตาม
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหน มักจะมีเรื่องเล่าน่ากลัวหรือเรื่องที่ฟังดูเกินจริงอยู่เสมอแล้วยื่งมีเรื่องบางเรื่องที่มีการผูกกันเข้ากับ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในเหตุการณ์จริงและเติมแต่งมันเข้าไป ทำให้หลายๆ เรื่องที่หลายคนนำมาเผยแพร่นั้นพอฟังๆ ไปแอบขนลุกไปด้วยเลย
ตอนเด็กๆ เคยได้ยินเรื่องเล่าแปลกๆ อยู่บ้างทั้งพิธีกรรมบ้าง บุคคลบ้าง ถ้าใครอยู่ภาคอีสานก็คงจะได้เคยได้ยินหรือแม้แต่
อาจเคยได้ร่วมพิธีกรรมไล่ปอบในหมู่บ้าน(ถ้าปัจจุบันมีอายุ 30 ขึ้นไปนะ แต่ตอนนี้ผมยังไม่ถึง 30 หรอกและตอนที่ได้เห็นพิธีแบบนี้ก็เด็กมากๆ)
แต่ผมเองก็พอจะทันอยู่หน่อยนึงในสมัยที่เค้าทำพิธีไล่ผียกทั้งหมู่บ้านเลย แต่มันเป็นยุคท้ายๆ มากๆ และไม่เคยมีอีกเลย
สงสัยเพราะช่วงเวลานั้นมีคนตายพร้อมกันจำนวนมากและบางรายก็มีสาเหตุที่คำอธิบายของปัจจุบันสามารถอธิบายได้
แต่ไม่ใช่..สำหรับเมื่อก่อน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทด้วยแล้ว


นั่นแหละคับ มันเป็นเรื่องหลายคนต่างก็อาจจะเคยเสพหรือได้ยินมาหรือโตมากับเรื่องราวพวกนี้ที่ยุคสมัยนั้นหล่อหลอมเรามา
ปลูกฝังมาแต่บรรพบุรุษ เรื่องราวก็แตกต่างกันออกไปตามท้องถิ่นและความเชื่อของตัว แล้วสืบเนื่องมาจนยุคสมัยที่เริ่มมีการถ่ายทอด
เรื่องราวลงไปบนสิ่งเหมือนจะเรียกได้ว่า เป็นการจารึกเรื่องราวแบบเคลื่อนไหวเห็นภาพและเสียง เพิ่มตอบสนองความรู้สึกนึกคิด
ต่อสิ่งเร้าแบบหมู่คณะ ฮ่าๆ แต่ผมชอบนะ รู้ทั้งรู้ว่าอาจทำให้ชีวิตหดหู่ในช่วงเวลาใดเวลานึงก็ตามที
แต่มนุษย์คือมนุษย์เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ประเภทพวกรู้ทั้งรู้แต่ก็ทำมันอยู่ได้ หรือก็คือมันขัดต่อความรู้สึกและอารมณ์แต่ยังคงฝืน
ดื้อดึงทำต่อไป เช่น.. เผ็ดชี้บหายก็ยังจะกินลงไปให้ลำบากปากลำบากกระเพาะ หรือสุรา ขมคอ ฉุนจมูก แสบคอก็ยังหลอก
ตัวเองว่าเป็นรสชาดที่ยอดเยี่ยม (อันนี้ก็ว่าใครมากไม่ได้เดี๋ยวเข้าตัว) ลงไปแล้วกลับรู้สึกดี หรือกระทั้งเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลก
ที่ยอมฆ่าตัวตาย ซึ่งสัคว์อื่นไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่ทำอย่างนี้ เอ้า..วกกลับมาเรื่องผี! ออกทะเลไปไกลเลย นั่นล่ะคับ..รู้ว่ามันส่งผล
ยังไงส่งผลต่อความคิดยังไง แต่มันก็มีขอดีอยู่นะ เพราะมันทำให้ร่างฝึกตอบสนองต่อการรับรู้และความรู้สึกที่มีต่อความกลัว
ได้ดีอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน

อมยิ้ม05

มีเรื่องเล่าต่างๆ เยอะแยะมากมายที่ถูกแต่งเติมให้ส่งผลต่อความกลัวได้ดีมากขึ้น จนถึงยุคที่หนังผีเริ่มมีแบบแผนบทบาทมากขึ้นช่วงนึง
มีการกล่าวอ้างถึงเรื่องที่มีทั้งเรื่องเล่าต่อๆ กันมา ตำนาน เทพนิยายต่างๆ หนังบางเรื่องก็รับอิทธิพลมาจากอะไรพวกนี้
แล้วไหนจะเรื่องราวใหม่ๆ ที่ไหลหลั่งออกมาตามกระแสสังคมนิยมอีก มันจะมียุคนึงที่อะไรๆ ก็ผีๆ กันหมดเพราะเป็นยุคที่ประเทศเรา
ยังนับถือและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ยังหาคำตอบได้ยากเกินคำอธิบายที่ตนมี บวกกับยุคสมัยที่เทคโนโลยียังก้ำกึ่งๆ
ทั้งยังยังเป็นช่วงแรกเริ่มของทางบ้านเรา ผมเลยคิดว่าทุกวันนี้แม้เรื่องที่เคยกลัวยังเสื่อมความนิยมลงไป หรือเพราะหนังในยุคนั้น
รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศมากเกินไป อย่างหนังผีญี่ปุ่นก็มีเยอะมากเหมือนกัน หรือจีน หรือฝรั่งก็ตาม

เม่าโศกเม่าเศร้าเม่าปัดรังควาน

เป็นเพราะเทคโนโลยีรึป่างก็แอบสงสัย ผมตีความเอาอย่างนั้นเพราะว่า ยิ่งก้าวมาถึงยุคที่มีความเปลี่ยนรวดเร็วในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
แรงขับเคลื่อนต่อชีวิตที่หลากหลาย ผู้คนเริ่มมองเห็นช่องทางของการพิถีพิถันต่อตัวเองมากขึ้น ทำให้สิ่งที่เคยพบเคยได้ยินเวลาผ่านไป
อาจเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวของกาลเวลาข้ามผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แต่ก็ยังศรัทธาการบูชาสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของการยึดเหนี่ยวจิตใจ
เอาไว้อยู่ ไม่ว่าทุกคนจะคิดคล้ายๆ กันหรือต่างออกไปก็อาจไม่เคยนึกเอะใจอะไรมากนัก แต่บางคนก็ทำได้แค่ เอะ อ๊ะ อ๋อ เออ..
แต่ก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเร็วมากขึ้น และเราใช้ชีวิตอย่างรวดเร็วจนลืมสิ่งที่เคยคิดเคยทำเคยเชื่อ
หรือเคยรับรู้ได้ยินไปเลย บางคนในทุกวันนี้ก็อาจไม่ได้เชื่อสิ่งไหนเลยอีกแล้ว และไม่ว่าสิ่งเลือกทำอยู่จะดีหรือไม่แต่ทุกการกระทำ
ก็ยังส่งผลต่อโลกอยู่ดีไม่มากก็น้อยมันเป็นสิ่งที่เรียกว่า วิวัฒนาการทางสังคม

เม่าติดดอย

ทั้งนี้ทั้งนั้นผมขอไม่เอ่ยพูดถึงต่างประเทศมากนัก เพราะจริงๆ อยากพูดอยู่เหมือนกันแต่ก็พูดได้เท่าที่นึกได้
และอยากให้ทุกคนได้ฉุกคิดด้วยเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเราเกิดมาท่ามกลางสิ่งที่หล่อหลอมให้เราต้องเติบโตจากการตีความ
ทางความคิดแบบหมู่คณะ จนเกิดเป็นแบบแผนและสืบต่อกันมา.. ผมก็ให้ดูดีไปงั้นเอง
ที่จริง..อยากพูดแค่ว่า ตกลงแล้วผีไม่มีจริงและเริ่มเสื่อมความนิยมลงในยุคที่จับไต๋จับทริคได้ง่ายๆ โดยเทคโนโลยีอย่างปัจจุบัน
แต่ผมก็ไม่ได้อยากลบหลู่มากไปกว่านี้เพราะว่าผมคิดว่า มันมีหลายอย่างที่มนุษย์ในยุคนี้ยังไม่อาจค้นพบ ความลึกลับที่ยังมีอยู่
คงจะลึกลับมากจริงๆ เพราะถ้าคิดในแง่กลับกัน เทคโนโลยีมันก็เป็นสิ่งปกป้องเรื่องลึกลับไว้นั่นเอง แทนที่จะใช้มันเพื่อค้นหา
แต่กลับเป็นสิางที่บังตาเรามากขึ้น และบางที่ประโยชน์สูงสุดของมันจริงๆ เราในยุคนี้ไม่สามารถคงอยู่ดูจนถึงวันนั้นได้
สรุปแล้วมันเป็นเพราะเราเองให้ความสำคัญมันน้อยลงใช่หรือป่าว แบบว่าเลิกสนแล้วว่าจะมีหรือไม่มีอะไรแบบนี้
หรือเพราะเทคมันทำให้ทุกอย่างมันช่างง่ายต่อการจับผิดทริคต่างๆ กันแน่ หรือจริงๆ แล้วความลึกลับมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเท่าตัวกันแน่

อมยิ้ม36
โอ้โห่ ใครอ่านจบช่วยบอกในคอมเม้นด้วยนะคับ.. นับถือจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ไม่เกี่ยวครับ
1.เกิดจากการเลิกสนใจ และเลิกเชือ
จริงๆ ผี หรือ ญิณ ซาตาน มีแน่นอน แต่เมื่อคนเลิกเชื่อเพราะคิดว่าพิสูจน์ไม่ได้ (จริงๆพิสุจน์ได้อีกหลายทาง เช่นการเห็นเอง กระบวนการไสยศาสตร์ การใส่ความคิดแง่ลบ และอื่นๆ) แต่ผู้คนเลิกเชื่อและหันไปเชื่อในคำพูดนักวิทยาศาตร์มากขึ้น ซึ่งมีทั้งทฤษฎีทั้งผิดถูก
ผีเหล่านี้ก็คงไปหลอกหลอนในรูปแบบอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า ความคิดแง่ลบ ความเกลียดชัง ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน

2.เกิดจากความเสื่อมของไสยศาตร์ระดับสูง
นักไสยศาตร์ระดับที่มีอำนาจจากตัวเองที่ไม่ใช่สื่อใดๆในการทำพิธีหายเกือบหมดหรือหมดไปแล้ว ซึ่งใครโดนไสยศาตร์จากคนระดับนี้มีถึงตาย

3. ผีมาให้เห็นแค่บางคน เกิดจากความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันของคนบางส่วนด้านพลังงานที่มีความเข้มข้น แสงสีม่วง ซึ่งเป็นคล้ายๆรัสมีเกราะคุ้มกันเปราะบางลง มีช่องโหว่ให้ซาตานโจมตีง่ายยิ่งขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่