การเหยียดคนอีสาน หรือคนบ้านนอก ชนบท มันเริ่มมีมาตั้งแต่ตอนไหนครับ และบ้านนอกในสมัยก่อนนี่มันขนาดไหนครับ

อย่างเช่นเรื่องเรียนก็ (เก่งบ้านนอก ก็ไม่เท่า"กิ๊กก๊อก"ในเมือง)
หรือคนอีสาน คนบ้านนอก ใช้ชีวิตล้าหลังคนกว่าในเมืองหรือ กทม.  อยู่ในแหล่งที่ห่างไกลความรู้   ไม่เคยไปช๊อปปิ้ง กลางคืนก็มืดสนิท เชื่อเรื่องผีสางอะไรแบบนี้  อยากทราบว่าเรื่องแบบนี้มีมานานยังครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ถ้าถามว่าบ้านนอกขนาดไหน
-ผมเคยอยู่ในที่ๆเรียกว่าบ้านนอกจริงๆในภาคตะวันตกในยุคปลาย 90-2000 ต้นๆ แล้วเข้ามาเรียนในกทม. สังคมต่างกันมากๆ ชนิดที่แบบว่าเพื่อนในมหาวิทยาลัยจะรู้เลยว่าเราบ้านนอกจริงๆ โดยที่เราทำตัวปกติ ชีวิตของผมในช่วงเด็กผมเรียนโรงเรียนวัด เด็กเกือบทั้งห้องก็อาบน้ำคลอง เล่นน้ำคลอง กินน้ำฝนแบบนี้จนโตจริงๆ เครื่องบินๆผ่านก็ดีใจชะเง้อหน้าดู ตึกสูงๆๆไม่เคยเห็น การไปทัศนศึกษาต่างจังหวัดหรือใน กทม. คือสิ่งที่ดีใจจริงๆที่จะได้รับรู้โลกใหม่ๆ สิ่งที่กว้างขวางที่สุดในการรับรู้ข้อมูลแน่นอนครับ ทีวี วิทยุ FM AM แต่ถ้าบ้านไหนที่รวยๆก็จะมีอะไรที่ดีกว่านี้เช่นคอม และมักจะส่งลูกไปเรียนเอกชน หรือให้เข้ามาเรียนในเมือง หรือที่ กทม.กันตั้งแต่มัธยมหรือประถมเลยด้วยซ้ำ(อันนี้คือบ้านนอกที่รวยจริง)
-แน่นอนครับว่ายุค 2000s มี internetแล้ว แต่การเข้าถึงถึง internet ของคนบ้านนอกนี่ยากมาก ต้องไปร้านในเมือง คิดเป็นชั่วโมง hi5 google msn นี่พวกเรายังแทบไม่เคยเข้าไปแตะไม่รู้จักว่าเล่นกันอย่างไงเพราะไม่มีโอกาสไปร้านคอมมากนัก email ส่วนตัวไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่มีใครมี (พอมาเรียนใน กทม.เพื่อนจะรู้เเลยว่าไอ้นี่บ้านนอกมากๆ) เพราะขนาดemailก็ยังไม่มี การเข้ามาในเมืองต้องรอรถเมล์ (แค่เข้าตัวอำเภอ หรือเข้าเมืองยังยาก) ถ้าบ้านไหนมีคอม มีรถยนต์ บ้านนั้นคือรวยเลย  ศูนย์กลางการซื้อของในตอนนั้นก็คือร้านโชว์ห่วย ซึ่งในหมู่บ้านจะมีอยู่แค่ 2-3 ร้านเท่านั้น หมูกระทะ(ก็น้อยคนที่เคยกินเพราะมันมีแค่ในตัวอำเภอ)
-สังคมบ้านนอกนั้น จะให้ลูกหลานเข้าบ้านกันตั้งแต่ยังไม่มืด ตกเย็นกินข้าว ก็กับข้าวในถาดพวกแกง น้ำพริก ส้มตำ ปลาที่หาได้ในคลองพวกนี้แหละกินเสร็จก็ดูละครทีวีช่อง7  ช่อง3เสร็จและก็เข้านอนเลย ตื่นเช้าแน่นอนว่าเสียงที่ปลุกก็คือเสียง "ไก่ขัน"  พอสักพักคนก็จะมารวมตัวกันที่ร้านโชว์ห่วยเพื่อกินกาแฟร้อน ไข่ลวก อะไรแบบนี้
-อาชีพ ขรก.ครูที่หลายคนว่าเงินเดือนน้อย  แต่สำหรับคนบ้านนอกมองว่าอาชีพนี้คือคนรวยเป็นหน้าเป็นตาของตำบลเลยด้วยซ้ำ เวลาครูที่โรงเรียนชวนไปข้างนอกแม้กระทั่งไปยกของก็ยังอยากไปกันหมด เพราะหลายๆบ้านไม่มีรถยนต์ การไปแบบนี้พวกเราก็ถือว่าได้เที่ยวแล้ว เพราะปกติอยู่บ้านก็จะวิ่งเล่นกันแต่ในสวน ในนา ในป่าเขา ไปหาปลาตามคลองอะไรแบบนี้
-เด็กที่เรียนบ้านนอกมากกว่า 60% จะจบแค่ ป.6  หรือ ม.3 แค่นั้น  ถ้าบ้านไม่รวยหรือตัวเด็กไม่ขวนขวายหางานทำเอง การเรียนระดับ ป.ตรีหายากมากในสมัยนั้น เพราะต้นทุนชีวิตต่ำ
-อากาศช่วงหน้าหนาวจะหนาวมากๆๆ และหนาวนานด้วยโดยเฉพาะแถวเชิงเขา  เวลาหน้าร้อนก็ร้อนจริงๆๆจนดินแตกระแหง คนต้องมาอยู่ตามใต้ถุนบ้านเพื่อหลบร้อน คนที่ทำนาอาจจะต้องไปเอาน้ำเข้านาจากที่อื่น สังคมที่เที่ยว ผับ บาร์ ไม่เคยไปเพราะมันไกล มีแต่ตั้งวงกินเหล้าเฉยๆ  และที่เด็กดีใจที่สุดในตอนนั้นก็คือการที่มีหนังกลางแปลงมาตั้งในชุมชน มันเป็นอะไรที่เด็กสมัยนั้นได้ออกมาข้างนอกในช่วงกลางคืน การใช้ชีวิตลำบากแต่สมัยนั้นผมก็มองว่ามันเป็นอะไรที่ดีกว่าสมัยนี้จริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่