คุณตากับคุณยายของเรามีลูก 3 คน คนโตกับคนกลางเป็นผู้ชาย เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนคนสุดท้องเป็นผู้หญิง คือแม่ของเราเอง ซึ่งกลายเป็นลูกคนเดียวไปโดยปริยาย
คุณตาเรามีนิสัยส่วนตัวคคือขี้เหนียวมาก ขี้เหนียวกับคนในบ้านในครอบครัว อยู่ด้วยกันมากับยายไม่เคยให้เงินจุนเจือในบ้าน ไม่เคยควักค่าใช้จ่ายใดๆ แม้กระทั่งเล็กๆน้อยๆ คุณตาเรามีเงินเก็บแล้วก็ปล่อยเงินกู้มาตลอด ที่ผ่านมามีคนมากู้เงินมากหน้าหลายตา แต่เมีย ลูก หลาน ไม่เคยได้รับรู้ว่าคุณตาปล่อยกู้ให้ใครบ้าง เพราะคุณตาจะปิดเหมือนไม่อยากให้พวกเรารับรู้ ซึ่งเราก็แม่ก็เฉยๆ ไม่อยากให้รู้ก็ไม่รู้ เงินของเขา สิทธิ์ของเขาไม่อยากให้รู้ก็เฉยๆ
ที่ผ่านมาคุณตากับคุณมีปัญหาทะเลาะกันมาตลอดตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องเงินๆทองๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์เช่น สมัยหนุ่มๆสาวๆข้าวใหม่ปลามัน ช่วยกันทำมาหากิน แต่พอแก่ตัวมาทำงานไม่ไหวก็จะเป็นแม่เราที่ดูแล ส่วนเงินที่ว่าหามาด้วยก็เริ่มมาแบ่งกัน เก็บใครเก็บมัน คุณตาก็จะคิดว่าเงินที่คุณยายกินใช้ทุกวันก็เงินที่คุณตาทำมาด้วย ส่วนคุณยายก็จะคิดว่าเงินที่คุณตาเก็บไว้ปล่อยให้คนอื่นกู้ ส่วนหนึ่งก็มีเงินของยายอยู่ในนั้น (คือไม่รู้ว่าพอจะแยกกระเป๋ากันแล้วแบ่งกันไม่ลงตัวหรืออย่างไร จึงทำให้ทั้งสองท่านคิดแบบนี้)
ปัจจุบันคุณตากับคุณยายเราอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกันสองคน ตั้งแต่เกิดเรากับน้องอยู่กับตายายมาตลอด เพราะแม่ต้องเข้ามาทำมาหากินในกทม. แต่พอหลังจากเรียนจบ เรากับน้องต้องแยกออกจากตากับยาย น้องไปเรียนต่อในกทม. และอาศัยอยู่กับแม่ ส่วนเราหลังจากเรียนจบมา ได้งานทำที่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมหาเท่าไรนัก จะมีแต่แม่กับน้องที่จะคอยกลับไปเยี่ยมเยียน เดือนหนึ่ง 2-3 ครั้ง เนื่องจากแม่เราค้าขายไม่ค่อยมีวันหยุด และน้องเรากำลังเรียนหนังสือ
ที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยที่เรายังอยู่กับท่าน เรารับรู้ปัญหาที่ทั้งสองท่านทะเลาะกันตลอด (เรื่องเงินทอง) เช่น คุณตาจะอ้างว่าไม่มีเงินตลอด แม้กระทั้งเงิน 5 บาท 10 บาท ก็ไม่มี ซึ่งจริงๆแล้วคุณตา และมีเยอะด้วย สามารถปล่อยให้คนอื่นกู้ในหลักล้านได้ คุณยายก็ว่าคุณตาไม่เคยจุนเจือในบ้าน ลูกหลานไม่เคยให้ (ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้อะไร แต่คุณยายรู้สึกเดือดร้อนแทนแม่และเรา)
เวลาทะเลาะกันคุณยายจะเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยครั้งกระนู่นให้เราฟัง เช่นว่า แม่เราเคยขอให้คุณตาช่วย 50,000 บาท เพราะน้องเราที่กำลังจะคลอดเกิดร่างกายไม่แข็งแรง คลอดแล้วต้องเข้าไอซียูทันที มีโอกาสรอดน้อย (เป็นเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจตีบ ประมาณนั้น) แล้วแม่เราไม่มีเงิน คือมีแต่มีไม่พอ จึงขอหยิบยืมคุณตา คือขอยืมนะคะ จะทำหนังสือสัญญากู้ยืม เหมือนคนอื่นที่เคยๆมากู้เงินคุณตา แต่คุณตาเราบอกว่าไม่มี กรูจะเอาที่ไหนให้

ตอนนั้นแม่เราก็ช็อก ยายเราก็ช็อก สรุปคุณตาก็ไม่ให้ยืมค่ะ จริงมีอีกหลายเหตุการณ์ค่ะ แต่ขอยกตัวอย่างแค่นี้ก่อน
ที่นี้หลังๆหนักเข้า คุณตาเราเริ่มแก่ตัวลง อายุ 83 ปีแล้ว เริ่มหลงๆลืมๆ ความจำไม่ค่อยดี แกเริ่มมีอาการที่แบบว่าพูดเรื่องไม่จริง พูดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วบอกว่าเป็นเรื่องจริง เช่นว่าว่ายายเราไปขโทยของของแก ไปโขมยเงินแก หนักเลยคือบอกว่ายายเราไปมีชู้ ลูกทั้ง 3 คนของแก แกบอกว่าไม่ใช่ลูกแก แม่เราเสียใจมากๆค่ะ
ล่าสุดโทรมาร้องไห้กับเราแล้วบอกว่ารู้สึกเสียใจ น้อยใจมากๆที่คุณตาคิดกับแม่แบบนี้ แต่ไม่อยากว่าตา กลัวบาปกรรม แม่บอกว่าขนาดแม่เป็นลูกที่ดี แม่ยังลำบากขนาดนี้เลย แม่เราไม่เคยว่าพ่อแม่ในทางที่ไม่ดี ส่งเสียเลี้ยงดูดีทุกอย่างตามกำลัง ส่งเสียมาตั้งแต่แม่เข้ากรุงเทพใหม่ๆ (อายุ18-19) ทำงานเงินเดือนเดือนละ 750 บาท จนกระทั่งปัจจุบัน เจ็บป่วยก็พาไปหาหมอ แม่รู้สึกว่าแม่เป็นลูกคนเดียว ตากับยายมีแม่เราคนเดียว จึงเป็นเรื่องที่แม่เราเต็มใจทำแล้วก็ทำได้ดี เรารู้สึกสงสารแม่
เราเองก็พยายามคิดไปว่าอาจเป็นเพราะความแก่เฒ่า หลงๆลืมของแกทำให้แกคิดแบบนี้ แต่พอคิดไปคิดมา มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจมากๆเลยนะคะ เราต้องรับฟังแม่ รับฟังยาย ไม่ฟังก็ไม่ได้ สงสารยายค่ะ ยายไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง เราไม่รู้ว่าคุณตาคิดได้ไงว่าแม่เราไม่ใช่ลูกของแก เวลาคุณตาไปพูดให้คนนอกบ้านฟังมีแต่คนส่ายหน้าทั้งนั้น คนในระแวกบ้านจะรู้ค่ะว่าคุณตาเราไม่สงสารไม่เห็นใจคนในบ้าน ไม่เคยจุนเจือยายๆทั้งๆที่ยายหาให้กินทุกวัน แต่พอคนในระแวกบ้านได้ยินแกพูดว่าแม่เราไม่ใช่ลูกแก ก็ยิ่งแต่พากันส่ายหน้า
ล่าสุด น้องสาวของคุณตาเราเสียค่ะ คุณตาเราได้ใช้ค่าทำศพ 20,000 บาทไว้กับลูกของผู้ตาย ซึ่งก็ถือเป็น ลุง-หลานกัน กับตาของเรา ยายเรารู้ยายเราโกรธมาก เพราะที่ผ่านตาไม่เคยควักกระเป๋าให้ใครเลยนอกจากคนที่จะมากู้เงิน แล้วมารู้ตอนหลังอีกว่าช่วงก่อนที่น้องสาวของเขาจะเสีย ตาเราให้เงินเดือนน้องสาวของแกอีกเดือนละ 5,000 บาท ยายเรายิ่งปี้ดหนักเลยค่ะ แกร้องไห้ว่าคนในบ้านแท้ลูกเมียแท้ๆไม่เคยได้สักบาทสักสลึง เรากับแม่ก็เลยปลอบใจยายไปว่า เงินของเขาเขาพอใจจะให้ใครก็ได้เป็นสิทธิ์ของเขา แล้วนั่นก็เป็นน้องสาวเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกล
แล้วทีนี้มามีประเด็นตอนหลังว่า คนแถวบ้าน (ค่อนข้างสนิท แล้วก็รู้เรื่องในบ้านเราเยอะ) พูดกับคุณตาว่า “เงินกู้ใครมากู้บ้างไม่มีคนอื่นรับรู้ ไม่ให้ลูกเมียรับรู้ ตายไปจะทำยังไง ใครจะตามได้ เงินมันจะเหลือถึงลูกถึงหลานไหม” ตาเราตอบไปว่า “กรูมีลูกหลานของกรู สมบัติกรูก็ให้ลูกหลานกู” คนแถวบ้านเลยถามว่าลูกหลานที่ว่าคือแม่เรากับเราและน้องใช่ไหม แต่แกร้อง ฮึ๊ อารมณ์แบบว่า พวกเราไม่ใช่ลูกหลานแก แล้วคำว่าลูกหลานที่อกว่านั่นคือ ลูกสาวลูกชายของน้องสาวแกนั่นเอง
คนแถวบ้านโทรมาหาแม่เราแล้วบอกว่าคุณตาพูดแบบนี้ แม่เราเลยสั่งไม่ให้เอาเรื่องนี้บอกยาย กลัวยายจะเครียดค่ะ เราไม่รู้จะหาทางออกยังไงให้กับเรื่องนี้ค่ะ เราเคยคิดเล่นๆว่า ในเมื่อถ้าแม่และเราส่งเสียเลี้ยงดูขนาดนี้ ยังไม่มีความดี ยังไม่เห็นว่าเป็นลูกหลานในไส้ เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม (แต่แม่เราไม่มีความคิดนี้นะคะ แม่เรากลัวบาป กลัวผลกรรมส่งทำให้ลำบาก) เราเลยพูดกับแม่ว่า สมบัติเขายกให้ใคร ถ้าถึงเวลาที่ตาเจ็บป่วยก็ให้คนเหล่านั้นมาดูแลแล้วกัน อีกความคิดนึงก็อยากกลับบ้านไปถามค่ะ ถามว่าสรุปหนูใช่ลูหใช่หลานไหม ถ้าไม่ใช่ก็จะได้เหลือความเคารพแค่ผู้ใหญ่คนนึง คงจะไม่แยแสไม่ดูแลอะไรแล้ว เราคิดชั่วเกินไปไหมคะ
ตอนหลังเรามาคิดค่ะว่า ถ้าคุณตาเราทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ทางนั้นจริงๆ แม่เราก็คงจะไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆที่ทำหน้าที่ลูกที่ดีมาตลอด เมนหลักไม่ได้อยากได้อะไรนะคะ แต่แค่คิดว่าทำไมคนที่ไม่ได้ทำอะไร เป็นแค่คนอื่นกลับจะได้ทั้งหมดไป ในขณะที่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูก แม้แต่คำว่าเป็นลูกของเขาเขายังไม่ให้เป็นเลย สงสารแม่ค่ะที่ต้องมาเจอแบบนี้ เคยเจอแต่ในละคร
ถ้าพวกคุณเจอแบบเราหรือแม่เรา จะทำยังไงคะ เรารู้เสียใจ โกรธ น้อยใจ สงสารแม่สงสารยายในเวลาเดียวกัน
คุณตาของเราทำกับยายและแม่ของเราแบบนี้
คุณตาเรามีนิสัยส่วนตัวคคือขี้เหนียวมาก ขี้เหนียวกับคนในบ้านในครอบครัว อยู่ด้วยกันมากับยายไม่เคยให้เงินจุนเจือในบ้าน ไม่เคยควักค่าใช้จ่ายใดๆ แม้กระทั่งเล็กๆน้อยๆ คุณตาเรามีเงินเก็บแล้วก็ปล่อยเงินกู้มาตลอด ที่ผ่านมามีคนมากู้เงินมากหน้าหลายตา แต่เมีย ลูก หลาน ไม่เคยได้รับรู้ว่าคุณตาปล่อยกู้ให้ใครบ้าง เพราะคุณตาจะปิดเหมือนไม่อยากให้พวกเรารับรู้ ซึ่งเราก็แม่ก็เฉยๆ ไม่อยากให้รู้ก็ไม่รู้ เงินของเขา สิทธิ์ของเขาไม่อยากให้รู้ก็เฉยๆ
ที่ผ่านมาคุณตากับคุณมีปัญหาทะเลาะกันมาตลอดตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องเงินๆทองๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์เช่น สมัยหนุ่มๆสาวๆข้าวใหม่ปลามัน ช่วยกันทำมาหากิน แต่พอแก่ตัวมาทำงานไม่ไหวก็จะเป็นแม่เราที่ดูแล ส่วนเงินที่ว่าหามาด้วยก็เริ่มมาแบ่งกัน เก็บใครเก็บมัน คุณตาก็จะคิดว่าเงินที่คุณยายกินใช้ทุกวันก็เงินที่คุณตาทำมาด้วย ส่วนคุณยายก็จะคิดว่าเงินที่คุณตาเก็บไว้ปล่อยให้คนอื่นกู้ ส่วนหนึ่งก็มีเงินของยายอยู่ในนั้น (คือไม่รู้ว่าพอจะแยกกระเป๋ากันแล้วแบ่งกันไม่ลงตัวหรืออย่างไร จึงทำให้ทั้งสองท่านคิดแบบนี้)
ปัจจุบันคุณตากับคุณยายเราอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกันสองคน ตั้งแต่เกิดเรากับน้องอยู่กับตายายมาตลอด เพราะแม่ต้องเข้ามาทำมาหากินในกทม. แต่พอหลังจากเรียนจบ เรากับน้องต้องแยกออกจากตากับยาย น้องไปเรียนต่อในกทม. และอาศัยอยู่กับแม่ ส่วนเราหลังจากเรียนจบมา ได้งานทำที่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมหาเท่าไรนัก จะมีแต่แม่กับน้องที่จะคอยกลับไปเยี่ยมเยียน เดือนหนึ่ง 2-3 ครั้ง เนื่องจากแม่เราค้าขายไม่ค่อยมีวันหยุด และน้องเรากำลังเรียนหนังสือ
ที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยที่เรายังอยู่กับท่าน เรารับรู้ปัญหาที่ทั้งสองท่านทะเลาะกันตลอด (เรื่องเงินทอง) เช่น คุณตาจะอ้างว่าไม่มีเงินตลอด แม้กระทั้งเงิน 5 บาท 10 บาท ก็ไม่มี ซึ่งจริงๆแล้วคุณตา และมีเยอะด้วย สามารถปล่อยให้คนอื่นกู้ในหลักล้านได้ คุณยายก็ว่าคุณตาไม่เคยจุนเจือในบ้าน ลูกหลานไม่เคยให้ (ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้อะไร แต่คุณยายรู้สึกเดือดร้อนแทนแม่และเรา)
เวลาทะเลาะกันคุณยายจะเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยครั้งกระนู่นให้เราฟัง เช่นว่า แม่เราเคยขอให้คุณตาช่วย 50,000 บาท เพราะน้องเราที่กำลังจะคลอดเกิดร่างกายไม่แข็งแรง คลอดแล้วต้องเข้าไอซียูทันที มีโอกาสรอดน้อย (เป็นเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจตีบ ประมาณนั้น) แล้วแม่เราไม่มีเงิน คือมีแต่มีไม่พอ จึงขอหยิบยืมคุณตา คือขอยืมนะคะ จะทำหนังสือสัญญากู้ยืม เหมือนคนอื่นที่เคยๆมากู้เงินคุณตา แต่คุณตาเราบอกว่าไม่มี กรูจะเอาที่ไหนให้
ที่นี้หลังๆหนักเข้า คุณตาเราเริ่มแก่ตัวลง อายุ 83 ปีแล้ว เริ่มหลงๆลืมๆ ความจำไม่ค่อยดี แกเริ่มมีอาการที่แบบว่าพูดเรื่องไม่จริง พูดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วบอกว่าเป็นเรื่องจริง เช่นว่าว่ายายเราไปขโทยของของแก ไปโขมยเงินแก หนักเลยคือบอกว่ายายเราไปมีชู้ ลูกทั้ง 3 คนของแก แกบอกว่าไม่ใช่ลูกแก แม่เราเสียใจมากๆค่ะ
ล่าสุดโทรมาร้องไห้กับเราแล้วบอกว่ารู้สึกเสียใจ น้อยใจมากๆที่คุณตาคิดกับแม่แบบนี้ แต่ไม่อยากว่าตา กลัวบาปกรรม แม่บอกว่าขนาดแม่เป็นลูกที่ดี แม่ยังลำบากขนาดนี้เลย แม่เราไม่เคยว่าพ่อแม่ในทางที่ไม่ดี ส่งเสียเลี้ยงดูดีทุกอย่างตามกำลัง ส่งเสียมาตั้งแต่แม่เข้ากรุงเทพใหม่ๆ (อายุ18-19) ทำงานเงินเดือนเดือนละ 750 บาท จนกระทั่งปัจจุบัน เจ็บป่วยก็พาไปหาหมอ แม่รู้สึกว่าแม่เป็นลูกคนเดียว ตากับยายมีแม่เราคนเดียว จึงเป็นเรื่องที่แม่เราเต็มใจทำแล้วก็ทำได้ดี เรารู้สึกสงสารแม่
เราเองก็พยายามคิดไปว่าอาจเป็นเพราะความแก่เฒ่า หลงๆลืมของแกทำให้แกคิดแบบนี้ แต่พอคิดไปคิดมา มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจมากๆเลยนะคะ เราต้องรับฟังแม่ รับฟังยาย ไม่ฟังก็ไม่ได้ สงสารยายค่ะ ยายไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง เราไม่รู้ว่าคุณตาคิดได้ไงว่าแม่เราไม่ใช่ลูกของแก เวลาคุณตาไปพูดให้คนนอกบ้านฟังมีแต่คนส่ายหน้าทั้งนั้น คนในระแวกบ้านจะรู้ค่ะว่าคุณตาเราไม่สงสารไม่เห็นใจคนในบ้าน ไม่เคยจุนเจือยายๆทั้งๆที่ยายหาให้กินทุกวัน แต่พอคนในระแวกบ้านได้ยินแกพูดว่าแม่เราไม่ใช่ลูกแก ก็ยิ่งแต่พากันส่ายหน้า
ล่าสุด น้องสาวของคุณตาเราเสียค่ะ คุณตาเราได้ใช้ค่าทำศพ 20,000 บาทไว้กับลูกของผู้ตาย ซึ่งก็ถือเป็น ลุง-หลานกัน กับตาของเรา ยายเรารู้ยายเราโกรธมาก เพราะที่ผ่านตาไม่เคยควักกระเป๋าให้ใครเลยนอกจากคนที่จะมากู้เงิน แล้วมารู้ตอนหลังอีกว่าช่วงก่อนที่น้องสาวของเขาจะเสีย ตาเราให้เงินเดือนน้องสาวของแกอีกเดือนละ 5,000 บาท ยายเรายิ่งปี้ดหนักเลยค่ะ แกร้องไห้ว่าคนในบ้านแท้ลูกเมียแท้ๆไม่เคยได้สักบาทสักสลึง เรากับแม่ก็เลยปลอบใจยายไปว่า เงินของเขาเขาพอใจจะให้ใครก็ได้เป็นสิทธิ์ของเขา แล้วนั่นก็เป็นน้องสาวเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกล
แล้วทีนี้มามีประเด็นตอนหลังว่า คนแถวบ้าน (ค่อนข้างสนิท แล้วก็รู้เรื่องในบ้านเราเยอะ) พูดกับคุณตาว่า “เงินกู้ใครมากู้บ้างไม่มีคนอื่นรับรู้ ไม่ให้ลูกเมียรับรู้ ตายไปจะทำยังไง ใครจะตามได้ เงินมันจะเหลือถึงลูกถึงหลานไหม” ตาเราตอบไปว่า “กรูมีลูกหลานของกรู สมบัติกรูก็ให้ลูกหลานกู” คนแถวบ้านเลยถามว่าลูกหลานที่ว่าคือแม่เรากับเราและน้องใช่ไหม แต่แกร้อง ฮึ๊ อารมณ์แบบว่า พวกเราไม่ใช่ลูกหลานแก แล้วคำว่าลูกหลานที่อกว่านั่นคือ ลูกสาวลูกชายของน้องสาวแกนั่นเอง
คนแถวบ้านโทรมาหาแม่เราแล้วบอกว่าคุณตาพูดแบบนี้ แม่เราเลยสั่งไม่ให้เอาเรื่องนี้บอกยาย กลัวยายจะเครียดค่ะ เราไม่รู้จะหาทางออกยังไงให้กับเรื่องนี้ค่ะ เราเคยคิดเล่นๆว่า ในเมื่อถ้าแม่และเราส่งเสียเลี้ยงดูขนาดนี้ ยังไม่มีความดี ยังไม่เห็นว่าเป็นลูกหลานในไส้ เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม (แต่แม่เราไม่มีความคิดนี้นะคะ แม่เรากลัวบาป กลัวผลกรรมส่งทำให้ลำบาก) เราเลยพูดกับแม่ว่า สมบัติเขายกให้ใคร ถ้าถึงเวลาที่ตาเจ็บป่วยก็ให้คนเหล่านั้นมาดูแลแล้วกัน อีกความคิดนึงก็อยากกลับบ้านไปถามค่ะ ถามว่าสรุปหนูใช่ลูหใช่หลานไหม ถ้าไม่ใช่ก็จะได้เหลือความเคารพแค่ผู้ใหญ่คนนึง คงจะไม่แยแสไม่ดูแลอะไรแล้ว เราคิดชั่วเกินไปไหมคะ
ตอนหลังเรามาคิดค่ะว่า ถ้าคุณตาเราทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ทางนั้นจริงๆ แม่เราก็คงจะไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆที่ทำหน้าที่ลูกที่ดีมาตลอด เมนหลักไม่ได้อยากได้อะไรนะคะ แต่แค่คิดว่าทำไมคนที่ไม่ได้ทำอะไร เป็นแค่คนอื่นกลับจะได้ทั้งหมดไป ในขณะที่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูก แม้แต่คำว่าเป็นลูกของเขาเขายังไม่ให้เป็นเลย สงสารแม่ค่ะที่ต้องมาเจอแบบนี้ เคยเจอแต่ในละคร
ถ้าพวกคุณเจอแบบเราหรือแม่เรา จะทำยังไงคะ เรารู้เสียใจ โกรธ น้อยใจ สงสารแม่สงสารยายในเวลาเดียวกัน