รวมเรื่องสั้นผีเปิดหลุม หลุมที่ 2 ความรักครั้งแรก (ตอนจบ)

กระทู้ความเดิมจากตอนที่แล้ว

https://pantip.com/topic/37462780/




หลังช่องประตูรั้วไม้ระแนง พ่อของแป้งยังคงเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ที่ ไม่ว่าผมจะมาดูลาดเลากี่วัน ผมก็ยังเห็นพ่อของแป้งอยู่ที่บ้านเหมือนกับว่าพ่อของเธอไม่ได้ออกไปไหนเลย และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ บางวันผมก็เห็นภาพพ่อแม่ของเธอทะเลาะกันเสียงดังด้วยเรื่องอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ตามมาด้วยเสียงร้องห้ามปนเสียงสะอื้นของแป้งดังมา

“พ่ออย่า...อย่าทำแม่...”

“ไม่ต้องยิ้ม มันเป็นเรื่องระหว่างกูกับแม่ เข้าห้องไป แล้วไม่ต้องเสนอหน้าออกมา... ไป!” ตามมาด้วยเสียงห้าวตวาดไล่ลูกสาวกลับเข้าห้อง และเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก็คือ เสียงปิดประตู ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกำลังถูกบีบด้วยคีมเหล็ก รู้สึกสงสารสกาวเดือนจับใจ แต่ผมก็ยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเขา

นานวัน... ยิ่งสถานการณ์ตึงเครียดในบ้านเธอดำเนินไป แป้งก็ยิ่งพูดน้อยลง ความสดใสเหมือนดวงเดือนบนหน้าเธอค่อยๆ จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความหม่นหมอง หลายครั้งที่ผมเห็นเธอไม่สบายใจ ซึม และนั่งเหม่อเวลาเรียน บางครั้งก็ปลีกตัวออกไปอยู่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีต่อแป้งลดน้อยถอยลงเลย ตรงกันข้ามผมกลับแน่ใจด้วยซ้ำว่า สกาวเดือน คนนี้นี่แหละ คือความรักที่แท้จริงของผม และหากไม่มีอะไร หรือใครเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมและเธอแล้วละก็ ความรักที่มีอาจจะมากขึ้นตามกาลเวลาที่หมุนไปข้างหน้าก็ได้

ขณะที่ความรักกำลังเบ่งบานอยู่ภายในใจของผมอย่างเต็มที่นั่นเอง สถานการณ์ในชีวิตของแป้งก็ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ลง เพราะจู่ๆ เธอก็ขาดเรียนไปเฉยๆ ติดต่อกันถึงสองวัน และผมก็คิดว่าเธอคงไม่สบาย หรือไม่ปัญหาทางบ้านของเธอที่รุมเร้า ก็อาจทำให้เธอไม่มีกระจิตกระใจมาเรียนแล้วก็ได้...

“ฉันไม่ไหวแล้วว่ะ เย็นนี้เราไปบ้านแป้งกันดีกว่า คราวนี้ถึงพ่อแป้งจะอยู่ไม่อยู่ ฉันก็จะไม่อยู่แค่หน้าบ้าน มองหลังคา มองบ้านอีกแล้วล่ะว่ะ บอกตรงๆ นะโว้ย ว่า ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นแป้งเป็นเด็กมีปัญหา” ผมโพล่งขึ้น ขณะนั่งคุยกับเพื่อนทั้งสองอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นมะขามเทศต้นเดิม ในช่วงพักกลางวัน เพราะถึงสกาวเดือนจะหยุดไปแค่สองวัน แต่เมื่อวันศุกร์เป็นวันหยุดราชการ ดังนั้นเมื่อรวมที่เธอหยุดอีกสองวัน ก็เลยกลายเป็นว่านี่ก็ปาเข้าไปตั้งห้าวันแล้วที่ผมไม่ได้เจอหน้าเธอ อาการอัดอั้นตันใจที่ไม่ได้เจอคนที่ชอบ ทำให้ร้อนเหมือนมีไฟลนอยู่ในใจ เสียจนลืมแม้กระทั่งเรื่องเงามือข้างวัดที่ไอ้ทอยเจอเสียสนิท

“แล้วแกจะทำยังไง คิดว่าจะไปสอดเรื่องในครอบครัวเขาได้รึไง”

“ก็เออสิวะ งานนี้ฉันยอมถูกด่าว่ายิ้มแหละ เอ้า! แต่ฉันคงทนไม่ได้ถ้าเห็นพ่อแม่ของแป้งทะเลาะกัน แล้วแป้งต้องเป็นแบบนี้”

“แล้วแกจะช่วยแป้งยังไงวะ” ไอ้ทอยถามแทรกขึ้น คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน

“ฉันจะไปขอเจอแป้งที่บ้าน แล้วก็จะมาบอก ’ จารย์ขวัญใจ ฉันเชื่อนะโว้ยว่า’ จารย์จะต้องช่วยแป้งได้”

“แล้วแกว่า ’ จารย์จะช่วยยังไงวะ?” ไอ้แก่นถามขึ้นบ้าง

“อย่างน้อย ’ จารย์ก็ให้คำปรึกษากับแป้งได้แหละน่า ตอนนี้ฉันว่านะแป้งคงยังไม่พร้อม หรือไม่ก็ไม่กล้าเอาเรื่องไปปรึกษา’ จารย์หรอก เชื่อสิวะ ถ้า’ จารย์ขวัญใจรู้’ จารย์จะต้องตามแป้งไปที่บ้านแน่ๆ คราวนี้อะไรมันก็อาจจะดีขึ้นก็ได้นะโว้ย”

“เออ จริงว่ะ” ไอ้ทอยกับไอ้แก่นพยักหน้าหงึกๆ อย่างคล้อยตามความคิดผม ขณะที่ผมจ้องหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยแววตาเชื่อมั่นว่า ผมจะต้องช่วยคลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายในครอบครัวของสกาวเดือนได้อย่างแน่นอน คราวนี้ละ...เธอจะต้องเห็นความดีของผม และยอมตกลงเป็นแฟนผมอย่างแน่นอน

“แล้วเรื่อง “เงา” ที่วัดนั่นละ” แต่คำถามนี้ของไอ้ทอยกลับไม่มีใครตอบ และไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ยังไงผมก็จะทำตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน ผมพยายามเรียกความกล้าเข้าตัวอย่างหนักแน่น และพยายามคิดถึงแต่เรื่องของสกาวเดือนเอาไว้อย่างเดียว

ผมรอคอยเวลาเลิกเรียนอย่างใจจดใจจ่อ และทันทีที่เสียงออดเตือนหมดชั่วโมงเรียนของวันนี้ดังขึ้น ผมก็แทบจะร้อง้วยความดีใจทีเดียว ดีว่ายั้งเอาไว้ได้ทัน ผมจึงไม่ได้แสดงอะไรออกไปให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ สังเกตเห็น และทันทีที่ผมสตาร์ทรถ หัวใจก็โลดไปยืนรออยู่หน้าบ้านเธอเสียแล้ว



“อ๊อด! อ๊อด...!!”

เสียงออดหน้าบ้านจริงๆ แล้ว ก็เป็นแค่เสียงออดธรรมดา แต่ ตอนนี้มันกลับทำให้ผมใจเต้นระทึก มันร้องอย่างเกียจคร้านในตอนที่ผมมือกดลงไปที่แป้น ก่อนที่คนกดจะลอบถอนหายใจยาว เมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตูรั้วไม่ใช่พ่อหน้าดุ อย่างที่กลัว แต่เป็นแม่ของแป้ง ...ใบหน้าได้รูปนั้นสวยมากแม้จะถูกกาลเวลาช่วงชิงความสดใสไปบ้างแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังคงเป็นคนที่สวยมากๆ คนหนึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่สกาวเดือนผู้เป็นลูกถึงได้สวยน่ารักนัก หากไม่มีปัญหาครอบครัวจนทำให้ใบหน้าได้รูปนั้นซีดเซียวกว่าปกติแบบนี้ ผมคงนึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นดาราคนหนึ่ง มากกว่าแม่บ้านธรรมดาเสียอีก

"สวัสดีครับ” ผมกระพุ่มมือขึ้นไหว้ เกือบพร้อมกับสองคู่หู

“พวกเราเป็นเพื่อนแป้งครับ เห็นแป้งไม่ไปโรงเรียนมาสองวันแล้ว...ก็เลยมาเยี่ยม” ผมชิงแนะนำสิ่งที่ทำให้ผมต้องชวนเพื่อนมาที่นี่รัวเร็ว ราวกับกลัวว่าจะลืมทุกอย่างไป เพียงแค่ก้าวเข้าไปในบ้านเธอ

“อ้อ... อย่างนั้นเองเหรอจ๊ะ ถ้างั้นก็เชิญเข้ามาข้างในก่อนเถอะจ้ะ” คุณแม่ของแป้งลากเสียงยาวพยักหน้าหงึกหงัก คลายสีหน้าที่กำลังทำท่าทางสงสัยลง ก่อนจะเผยยิ้มที่ดูฝืนๆ ออกเดินนำให้พวกเราได้เข้าไปในบ้าน

“แป้งไม่ค่อยสบายน่ะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยก็แบบนี้แหละ” คุณแม่ของแป้งพูดขึ้น ในขณะที่ผายมือให้พวกเราได้นั่งลงบนโซฟา จากนั้นจึงหันมาบอกพวกเราพร้อมกับรอยยิ้มเซียวๆ คงเพราะเหนื่อยกับทั้งงานบ้าน ทั้งเรื่องครอบครัว ไหนจะต้องดูแลแป้งที่ไม่สบายอยู่อีก...

“รอเดี๋ยวนะจ้ะ เดี๋ยวป้าไปตามแป้งมาให้”

“ครับ” ผมตอบเกือบพร้อมกับสองคู่หู... หลังจากฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือการ์ตูน ดูนิตยสารบนโต๊ะไม่นานนัก ก็เห็นแป้งค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นสอง หน้าตาขาวผ่องที่บัดนี้ดูซีดเซียวจนน่าใจหายบอกให้ผมรู้ว่า เธอคงไม่สบายมากจริงๆ จึงได้ไม่ไปโรงเรียนติดต่อกันถึงสองวันอย่างนี้ จนผมรู้สึกใจหายหนัก โธ่! แป้ง... ไหนจะไม่สบายกายเพราะเจ็บไข้ ไหนจะยังมีเรื่องไม่สบายใจอีก

“พวกเราเห็นเธอไม่ไปโรงเรียนน่ะ ก็เลยมาเยี่ยม” ผมพยายามฝืนยิ้มส่งไปให้ ทั้งๆ ที่หัวใจแทบหล่นหายเมื่อเห็นสภาพของคนที่ตัวเองแอบชอบไม่สบายจนซูบซีดไปได้ถึงขนาดนี้

“เหรอ... ขอบใจมากนะ” น้ำเสียงแป้งช่างแหบพร่า คอ...เธอคงเจ็บมาก จนถ้าเจ็บแทนได้ ผมอยากจะเจ็บแทนนัก

“แล้วเอ่อ...” ไอ้แก่นมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบถามเบาๆ “พ่อแป้งไม่อยู่เหรอ?”

“ไม่อยู่หรอก พ่อ...คงไม่กลับมา...อีกแล้วแหละ” แป้งก้มหน้าลงมองพื้น เสียงพูดยิ่งแผ่วเบา ยิ่งทำให้ผมสะเทือนใจสงสารเธอ จนไม่กล้าแม้แต่ที่จะถามถึงแม้เหตุผล... ว่าทำไมแป้งถึงบอกว่าพ่อ...คงไม่กลับมา?

“แต่เอ่อ แม่แป้งก็อยู่นี่นา เนอะ” เห็นไอ้แก่นพยายามพูดปลอบ แม้น้ำเสียงจะไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลยว่า จะช่วยให้แป้งสบายใจขึ้นได้หรือไม่ก็ตาม ผมจึงได้สติ รีบเอาเพื่อนเป็นตัวอย่างบ้างทันที

“นั่นสิ แล้วแม่แป้งสวยมากเลยนะ แป้งเองก็สวยมาก เหมือนแม่เลย” ผมพยายามชมหวังจะให้เธอดีใจ แต่...

“เขาว่า... เด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนแม่มักอาภัพ” แป้งทอดสายตาต่ำลงอีก จนผมใจหาย นึกโมโหตัวเองที่เผลอพูดอะไรที่ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวออกไป จนทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นไปอีก

“อย่าคิดมากเลยนะแป้ง เราว่าเธอพักผ่อนให้เต็มที่ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงดีกว่านะ ให้หายเร็วๆ จะได้ไปโรงเรียนได้เจอเพื่อนๆ อีกไง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพัลวัน พลางถือโอกาสวางมือลงบนหลังมือของเธอเพื่อปลอบโยน ก่อนจะสะดุ้ง... มือ! ของเธอเย็นเฉียบ... นี่แป้งไม่สบายถึงขนาดนี้เลยหรือนี่?

“มือ... เธอเย็นมากเลยนะแป้ง ไปหาหมอมาหรือยัง?” ผมรีบถามอย่างเป็นห่วง จนแทบทนไม่ไหว อยากพาเธอไปหาหมอด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเธอยอม

“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉัน... ไป...แล้ว... ขอบใจมากนะแวน... ทอย กับแก่นด้วย พวกเธอสามคนดีกับเราจริงๆ” บอกตามตรง จากน้ำเสียงของเธอ ผมไม่แน่ใจเลยจริงๆ ว่า เธอจะไปหาหมอมาแล้วจริงๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอย่างไรต่อดี...

“ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา” ตอนที่ฝืนเอ่ยอย่างนั้นออกไป ให้ตายสิ! ผมละนึกอยากจะใช้คำอื่นแทนคำว่าเพื่อนจริงๆ แต่ก็กลัวว่าเธอจะโกรธ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการส่งยิ้มฝืนๆ ให้ พร้อมกับหน้าต่างแห่งหัวใจบานน้อยฉายชัดถึงความรู้สึกในใจเพียงชั่วแวบทุกครั้งที่สายลมอ่อนอุ่นพัดเข้ามากระทบม่านหน้าต่างแห่งหัวใจให้สะบัดพลิ้วไปตามแรงลม

“เหง่ง! ... หง่าง!! ...” เสียงระฆังดังบอกเวลามาจากวัดที่อยู่ไม่ไกล ผมพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา แล้วก็ได้แต่นึกเสียดายว่าทำไม เวลาอยู่ใกล้คนที่เรารักมันถึงรวดเร็วนัก เผลอแป๊บเดียวก็หกโมงเย็นเสียแล้ว ลำแสงสุดท้ายของวันกำลังค่อยๆ จางหายไปจากขอบฟ้าข้างนอก

“ถ้าแป้งหายเมื่อไหร่ แล้วค่อยเจอกันที่โรงเรียนนะ วันนี้ค่ำแล้ว เรากับเพื่อนคงต้องกลับก่อน อย่าลืมดูแลตัวเองนะ กินยา แล้วเวลานอนก็ห่มผ้าด้วยล่ะ”

“จ้ะ...” ในความห่วงใยของผม... สกาวเดือนตอบกลับมาเรียบๆ ไม่มีความเก้อเขินอยู่ในแววตาและน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

“อ้าว... จะรีบไปไหนกัน ไหนๆ ก็มาแล้ว อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิจ๊ะ”

ขณะที่ผมลุกจากเก้าอี้ตามไอ้ทอยกับไอ้แก่น หากยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องรับแขกไป แม่ของสกาวเดือนก็ก้าวออกมาจากในครัว เธอตบมือลงบนผ้ากันเปื้อนสีขุ่นที่สวมอยู่แทนผ้าเช็ดมือเพื่อให้มันแห้ง บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการล้างมือมาหลังทำอาหารเสร็จ

“เอ่อ...” ผมอึกอักทั้งที่อยากรับปากออกไปทันที แต่ก็ต้องสงวนท่าทีเอาไว้บ้าง เพื่อไม่ให้ดูประเจิดประเจ้อมากเกินไป

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ วันนี้พ่อแป้งเขาคงไม่กลับมากิน...ไอ้ฉันก็เผลอลืมไป ทำซะเยอะจนได้ เมนูโปรดของพ่อแป้งเขาเลยนะ อยู่ทานเถอะ...นะจ๊ะ อิ่มแล้วค่อยกลับก็ได้” อยากถามนักว่าทำไมถึงว่า พ่อแป้งคงไม่กลับมา แต่ เวลานี้ก็ใช่ที่

ผม หันไปมองเพื่อน ซึ่งทั้งสองพากันลอบพยักหน้าให้ ด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสดี ที่ หนึ่ง พ่อแป้ง ไม่อยู่ สอง จะได้รู้ด้วยว่า พ่อแป้งชอบอะไร เผื่อวันหน้าวันหลัง อาจจะมีโอกาสจัดหามาเยี่ยมมาไหว้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ได้บ้าง

ในครัวถูกจัดเป็นเคาน์เตอร์เล็กๆ กลางห้อง มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร และเก้าอี้ทำด้วยไม้ขัดเป็นมันจัดวางอยู่ด้วยกันหกที่นั่ง รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่บ้านแป้งอยู่กันแค่สามคน แต่กลับมีโต๊ะใหญ่ และเก้าอี้เยอะขนาดนี้ บางที... อาจจะเป็นเฟอร์นิเจอร์เดิมติดมากับบ้านอยู่แล้วก็ได้ ส่วนบนโต๊ะที่จัดไว้ เป็นอาหารล้วนสุกๆ ดิบๆ แบบที่ไม่เคยกินทั้งนั้น ทั้งซกเล็ก ลาบเลือด เลือดแปง ทำเอาผม กับไอ้ทอย ซึ่งไม่เคยกิน ถึงกับหน้าแหย ส่วนไอ้แก่นที่ดูเหมือนจะคุ้ยเคยกับอาหารแบบนี้อยู่บ้าง จึงไม่ได้อะไรมากนัก

“ไม่เคยกินกันเหรอ?” แป้งที่เดินตามมาทีหลังถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

ผม กับไอ้ทอยมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบตอบออกไปเกือบพร้อมกันว่า

“ไม่เคยจ้ะ”

“พ่อของแป้งเขาชอบน่ะ แต่เด็กๆ คงจะไม่ชิน งั้น เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาดีกว่าไหม?” แม่ของแป้งพูดยิ้มๆ เหมือนจะเดาใจพวกผมได้อย่างนั้นแหละ

“มะ ไม่ต้องหรอกครับ” ผมรีบระร่ำระลักห้ามด้วยความเกรงใจ

“ลองซักหน่อยซี อร่อยนะ พวกผู้ใหญ่ถึงได้ชอบทำกินกันไง” ไอ้แก่นซึ่งเป็นคนเดียวที่เคยได้ลิ้มสัมผัสเจ้าชิ้นเนื้อสดๆ พวกนี้ หันมาพยักพเยิดให้พวกผม อีกทั้ง คำว่า พ่อของแป้งเขาชอบน่ะ มีส่วนไม่น้อยเลยที่ทำให้ผมอยากลองชิมดู ว่ารสชาติที่พวกผู้ใหญ่ชอบกันนักหนานั้นมันจะเป็นยังไง

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหนึ่งของโต๊ะอาหารตามมาด้วย ไอ้ทอย และไอ้แก่น ในขณะที่แป้งอ้อมไปอีกด้าน นั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับผมพอดี

(ติดตามต่อในคอมเมนท์)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่