
สศค.ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยด้านการบริโภคภาคเอกชน ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4 ปี 60 ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เผยสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
จากข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ว่า กำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี โดยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Fast Moving Consumer Goods (FMCG) ตกต่ำมาโดยตลอด ในปี 2560 หดตัวร้อยละ -0.4 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หดตัว ร้อยละ -2.4 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ผู้บริโภคคงที่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เป็นการอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของผู้บริโภคบางกลุ่มที่อาจไม่ครอบคลุมทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจที่เหมาะสมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลตัวเลขที่เกิดขึ้นของทั้งระบบเศรษฐกิจ อันสามารถสะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีการรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้
1. ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.8 มาสู่ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พบว่า การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 โดยประเภทสินค้าที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 แบ่งเป็นการบริโภคอาหารขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และการบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 สัญญาณ การขยายตัวดังกล่าวยังสอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และข้อมูลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม หักชาและกาแฟ เดือนตุลาคม 2560 – กุมภาพันธ์ 2561 จัดเก็บได้ 7,969 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 1,236 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.36 อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพของคนในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้า โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
นอกจากนี้ การที่ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ น่าจะส่งผลให้การบริโภคผ่านช่องทางปกติอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อลดลง โดยจากข้อมูลเบื้องต้นของกรมบัญชีกลาง พบว่า ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2560 – มกราคม 2561 มูลค่ารวม 20,665 ล้านบาท
2. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจาก (1) เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ 5 ปี (2) ภาวะ เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี โดยเป็นระดับต่ำกว่าร้อยละ 1.0 ต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน และ (3) สถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนของไทย มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติดต่อกัน โดยล่าสุด ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 77.35 ของ GDP
http://www.thansettakij.com/content/268950
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี..ซี้จุกสูญ กำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี ผู้บริโภครายได้คงที่หนี้สูง-อาหาร-เครื่องดื่มติดลบ 2.4%
ตลาดคอนซูเมอร์ปี 61 แนวโน้มติดลบต่อเนื่องถึง 1% หลังผู้บริโภครายได้คงที่ แต่หนี้ยังสูง ปีที่ผ่านมาตลาดตกตํ่าสูงสุดรอบ 10 ปี เหลือมูลค่ากว่า 4.42 แสนล้าน กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มโดนหนักสุดติดลบ 2.4% เหตุคนตัดรายจ่ายได้ง่ายและเลือกกินของถูกแทน กันตาร์ แนะออกสินค้านวัตกรรมกระตุ้นยอดขาย
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) หรือ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ตกตํ่ามาโดยตลอด ล่าสุด บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์)ฯ ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ออกมาเปิดเผยถึงการเติบโตของกลุ่มสินค้าดังกล่าว ในปี 2560 ที่ลดตํ่าลงมากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราการเติบโตที่ติดลบ 0.4% มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4.42แสนล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค คือ ภาวะเศรษฐกิจและความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคทั้งประเทศ ขณะที่รายได้ของผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ตามภาวะเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพที่สูงขึ้น สวนทางกับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายอิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อำนวยการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงผลการศึกษาชุด “สรุปภาพรวมตลาด FMCG ในปี 2560และแนวโน้มปี 2561-2562 พร้อปัจจัยที่กระทบต่อการเติบโตและการปรับกลยุทธ์” พบว่าภาพรวมของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ที่มีอัตราการเติบโต 2.6% ปี 2558 มีอัตราการเติบโต 2.2% ปี 2559 มีอัตราการเติบโต 1.7% และในปี 2560 ติดลบ 0.4% ดังกล่าว นับว่าเป็นอัตราตํ่าสุดนับตั้งแต่ที่ได้เกิดวิกฤติด้านการเงินในปี 2550 เป็นต้นมา จากการประเมินก่อนหน้าว่าหากสถานการณ์เลวร้าย สินค้าคอนซูเมอร์จะติดลบเพียง 0.1% เท่านั้น
โดยสินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ที่ติดลบในอัตรา 2.4% ซึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคเลือกลดการใช้จ่ายในสินค้ากลุ่มดังกล่าวเป็น กลุ่มแรกๆ และเลือกบริโภคสินค้าที่มีราคาถูกลงแทน ขณะที่สินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Home Care) มีอัตราการเติบโต 4.1% และกลุ่มสินค้าส่วนบุคคล มีอัตราการเติบโต 2.6%
จากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในรอบปีที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ยังส่งผลกระทบให้พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย คือ
1.ผู้บริโภคลด จำนวนครั้งในการออกไปซื้อสินค้า แม้ว่าผู้ประกอบการผู้ค้าปลีกจะออกแคมเปญโปรโมชันจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นความถี่ในการซื้อสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นได้ และผู้บริโภคยังมีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนแหล่งช็อปปิ้งไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหาสินค้าและโปรโมชันที่มีความคุ้มค่าและประหยัดเงินมากที่สุด
ประการที่ 2 ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในการซื้อสินค้า จากการขยายสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีกส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักในการนำเสนอโปรโมชัน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า
และ 3. ผู้บริโภคเลือกตัดกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นออก และมีการวางแผนการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
“กลุ่มสินค้าที่ได้รับผล กระทบมากที่สุด คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เพราะเป็นสิ่งที่ลดค่าใช้จ่ายได้ง่ายและตัดสินใจได้ทันที จึงเห็นหลายแบรนด์ขายสินค้าได้ไม่ดีนัก ขณะที่กลุ่มโฮมแคร์ยังขยายตัวได้ดี เป็นเพราะการมีนวัตกรรมออกมากระตุ้นตลาด แต่หากพิจารณาตลาดระหว่างในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะพบว่าในต่างจังหวัดตลาดลดลงมากกว่าส่งผลให้ผู้ประกอบการพยายามปรับกลยุทธ์ ด้วยการออกสินค้าที่มีแพ็กไซซ์เล็กลงเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ”
ส่วนแนวโน้มของตลาดคอนซูเมอร์ในปีนี้ ประเมินว่ายังคงเป็นปีที่ยากลำบากในการทำตลาด ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ภาพรวมตลาดจะเติบโตติดลบได้ถึง 1% เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจจะมีอัตราการเติบโตเป็นบวกได้ถึง 2% ซึ่งแนวทางที่ผู้ประกอบการต่างๆ จะนำมาใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตได้นั้น จะต้องหานวัตกรรมสินค้าที่มีความแปลกใหม่ไม่ใช่แค่การออกรสชาติใหม่เท่านั้น การจัดทำบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาดและผู้บริโภคการจัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง และการขยายช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นด้วย
https://pantip.com/topic/37465639
นี่แหละค่ะ ที่บอกว่าเสพข่าวใดต้องตรึกตรองให้ดีก่อนเชื่อนะคะ...

ลุงตู่บอกต้องกลั่นกรองให้ตกตระกอน เหลือน้ำใสๆแล้วค่อยเชื่อ
และข่าวที่แน่นอนต้องมาจากคำชี้แจงของผู้รับผิดชอบโดยตรงที่จะทราบข้อมูลดีที่สุดค่ะ
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆนะคะ......
💰👌~มาลาริน~เศรษฐกิจไทย อย่าให้ใครบิดเบือน....สศค.ชี้การบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
สศค.ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยด้านการบริโภคภาคเอกชน ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4 ปี 60 ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เผยสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
จากข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ว่า กำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี โดยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Fast Moving Consumer Goods (FMCG) ตกต่ำมาโดยตลอด ในปี 2560 หดตัวร้อยละ -0.4 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หดตัว ร้อยละ -2.4 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ผู้บริโภคคงที่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เป็นการอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของผู้บริโภคบางกลุ่มที่อาจไม่ครอบคลุมทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจที่เหมาะสมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลตัวเลขที่เกิดขึ้นของทั้งระบบเศรษฐกิจ อันสามารถสะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีการรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้
1. ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.8 มาสู่ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พบว่า การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 โดยประเภทสินค้าที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 แบ่งเป็นการบริโภคอาหารขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และการบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 สัญญาณ การขยายตัวดังกล่าวยังสอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และข้อมูลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม หักชาและกาแฟ เดือนตุลาคม 2560 – กุมภาพันธ์ 2561 จัดเก็บได้ 7,969 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 1,236 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.36 อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพของคนในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้า โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
นอกจากนี้ การที่ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ น่าจะส่งผลให้การบริโภคผ่านช่องทางปกติอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อลดลง โดยจากข้อมูลเบื้องต้นของกรมบัญชีกลาง พบว่า ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2560 – มกราคม 2561 มูลค่ารวม 20,665 ล้านบาท
2. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจาก (1) เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ 5 ปี (2) ภาวะ เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี โดยเป็นระดับต่ำกว่าร้อยละ 1.0 ต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน และ (3) สถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนของไทย มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติดต่อกัน โดยล่าสุด ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 77.35 ของ GDP
http://www.thansettakij.com/content/268950
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี..ซี้จุกสูญ กำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี ผู้บริโภครายได้คงที่หนี้สูง-อาหาร-เครื่องดื่มติดลบ 2.4%
ตลาดคอนซูเมอร์ปี 61 แนวโน้มติดลบต่อเนื่องถึง 1% หลังผู้บริโภครายได้คงที่ แต่หนี้ยังสูง ปีที่ผ่านมาตลาดตกตํ่าสูงสุดรอบ 10 ปี เหลือมูลค่ากว่า 4.42 แสนล้าน กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มโดนหนักสุดติดลบ 2.4% เหตุคนตัดรายจ่ายได้ง่ายและเลือกกินของถูกแทน กันตาร์ แนะออกสินค้านวัตกรรมกระตุ้นยอดขาย
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) หรือ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ตกตํ่ามาโดยตลอด ล่าสุด บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์)ฯ ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ออกมาเปิดเผยถึงการเติบโตของกลุ่มสินค้าดังกล่าว ในปี 2560 ที่ลดตํ่าลงมากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราการเติบโตที่ติดลบ 0.4% มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4.42แสนล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค คือ ภาวะเศรษฐกิจและความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคทั้งประเทศ ขณะที่รายได้ของผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ตามภาวะเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพที่สูงขึ้น สวนทางกับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายอิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อำนวยการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงผลการศึกษาชุด “สรุปภาพรวมตลาด FMCG ในปี 2560และแนวโน้มปี 2561-2562 พร้อปัจจัยที่กระทบต่อการเติบโตและการปรับกลยุทธ์” พบว่าภาพรวมของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ที่มีอัตราการเติบโต 2.6% ปี 2558 มีอัตราการเติบโต 2.2% ปี 2559 มีอัตราการเติบโต 1.7% และในปี 2560 ติดลบ 0.4% ดังกล่าว นับว่าเป็นอัตราตํ่าสุดนับตั้งแต่ที่ได้เกิดวิกฤติด้านการเงินในปี 2550 เป็นต้นมา จากการประเมินก่อนหน้าว่าหากสถานการณ์เลวร้าย สินค้าคอนซูเมอร์จะติดลบเพียง 0.1% เท่านั้น
โดยสินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ที่ติดลบในอัตรา 2.4% ซึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคเลือกลดการใช้จ่ายในสินค้ากลุ่มดังกล่าวเป็น กลุ่มแรกๆ และเลือกบริโภคสินค้าที่มีราคาถูกลงแทน ขณะที่สินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Home Care) มีอัตราการเติบโต 4.1% และกลุ่มสินค้าส่วนบุคคล มีอัตราการเติบโต 2.6%
จากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในรอบปีที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ยังส่งผลกระทบให้พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย คือ
1.ผู้บริโภคลด จำนวนครั้งในการออกไปซื้อสินค้า แม้ว่าผู้ประกอบการผู้ค้าปลีกจะออกแคมเปญโปรโมชันจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นความถี่ในการซื้อสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นได้ และผู้บริโภคยังมีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนแหล่งช็อปปิ้งไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหาสินค้าและโปรโมชันที่มีความคุ้มค่าและประหยัดเงินมากที่สุด
ประการที่ 2 ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในการซื้อสินค้า จากการขยายสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีกส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักในการนำเสนอโปรโมชัน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า
และ 3. ผู้บริโภคเลือกตัดกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นออก และมีการวางแผนการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
“กลุ่มสินค้าที่ได้รับผล กระทบมากที่สุด คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เพราะเป็นสิ่งที่ลดค่าใช้จ่ายได้ง่ายและตัดสินใจได้ทันที จึงเห็นหลายแบรนด์ขายสินค้าได้ไม่ดีนัก ขณะที่กลุ่มโฮมแคร์ยังขยายตัวได้ดี เป็นเพราะการมีนวัตกรรมออกมากระตุ้นตลาด แต่หากพิจารณาตลาดระหว่างในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะพบว่าในต่างจังหวัดตลาดลดลงมากกว่าส่งผลให้ผู้ประกอบการพยายามปรับกลยุทธ์ ด้วยการออกสินค้าที่มีแพ็กไซซ์เล็กลงเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ”
ส่วนแนวโน้มของตลาดคอนซูเมอร์ในปีนี้ ประเมินว่ายังคงเป็นปีที่ยากลำบากในการทำตลาด ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ภาพรวมตลาดจะเติบโตติดลบได้ถึง 1% เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจจะมีอัตราการเติบโตเป็นบวกได้ถึง 2% ซึ่งแนวทางที่ผู้ประกอบการต่างๆ จะนำมาใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตได้นั้น จะต้องหานวัตกรรมสินค้าที่มีความแปลกใหม่ไม่ใช่แค่การออกรสชาติใหม่เท่านั้น การจัดทำบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาดและผู้บริโภคการจัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง และการขยายช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นด้วย
https://pantip.com/topic/37465639
นี่แหละค่ะ ที่บอกว่าเสพข่าวใดต้องตรึกตรองให้ดีก่อนเชื่อนะคะ...
ลุงตู่บอกต้องกลั่นกรองให้ตกตระกอน เหลือน้ำใสๆแล้วค่อยเชื่อ
และข่าวที่แน่นอนต้องมาจากคำชี้แจงของผู้รับผิดชอบโดยตรงที่จะทราบข้อมูลดีที่สุดค่ะ
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆนะคะ......