ขับแท็กซี่เป็นงานอดิเรก ทำในวันหยุด เจ้านายมีสิทธิไล่ออกได้หรอ???

ปัญหาคือ...
ปกติทำงานประจำ หยุด เสาร์-อาทิตย์ อยากหางานอดิเรกทำ
ตัวเลือก มี ขับรถแท็กซี่ ขายของออนไลน์ ขายของที่ตลาดเสาร์-อาทิตย์ สรุปเลือกที่จะขับแท็กซี่ เหตุผลเพราะจะซื้อรถใหม่อยู่แล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเลยซื้อแท็กซี่เลยดีกว่า ไม่ได้จะจริงจัง แค่อยากขับวันหยุดเท่านั้นเอง เป็นรายได้เสริม เพราะลำพังเงินเดือน 2 หมื่นต้นๆคงไม่พอ ไหนจะส่งรถ ส่งบ้าน ค่าใช้จ่ายจิปาถะ คงไม่พอ ถ้าเสาร์-อาทิตย์มีรายได้สักอาทิตย์ละ พัน สองพัน ก็ยังพอช่วยกันได้ เรื่องเลยเกิดเพราะ... ได้รถแท็กซี่มา ได้ทะเบียนแล้วเรียบร้อย แต่ไม่เคยขับไปที่ทำงาน มาวันนี้ขับมาทำงาน เจ้านายเห็น เจ้านายเรียกเข้าห้องเย็น บอกจะไล่เราออก เพราะเราทำผิดกฏของบริษัท ถ้าไม่อยากโดนไล่ออก เจ้านายบอกให้ไปเปลี่ยนรถเป็นรถปกติ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เจ้านายให้เลขาเอาข้อกำหนดของบริษัทออกมาดู มันมีอยู่ข้อนึ่งที่บอกว่า **ห้ามพนักงานรับเงินหรือค่าจ้างใดๆ จากบุคคลอื่นซื่งอันจะเกิดความเสียหายให้กับบริษัท** เจ้านายบอกว่าที่เราทำแบบนี้เราทำผิดกฏ และมันกระทบต่องาน และที่ให้หยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาให้หยุดพักผ่อน เพื่อวันจันทร์จะได้มาทำงานได้เต็มที แต่ถ้าเราไปทำงานอื่นในวันหยุดพักผ่อนที่ให้ไป มันก็ผิดวัตถุประสงค์ของบริษัท [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเลยบอกงั้นแบบนี้ได้ไหม ต่อไปนี้เราจะไม่ขับรถมาจอดที่บริษัทอีก เจ้านายตอบว่า... ไม่!!!! เค้ายืนยันคำตอบเดิมคือ เราต้องไปเอาอุปกณ์ออกไปทำให้รถเป็นรถทะเบียนปกติ และต้องมาอัพเดทให้เค้ารู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงรถเราแล้ว ถ้าเราไม่ทำตาม เค้าบอกจะให้เราออกในข้อหาทำผิดกฏบริษัท โดยที่เราจะไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ เลย

อยากรู้ว่านายจ้างมีสิทธิขนาดนี้เลยหรอ
เราควรไปต่อยังไงดี รถพึ่งเปลี่ยนป้ายแดงมาเป็นป้ายเหลืองได้อาทิตย์เดียว ยังไม่ได้วิ่งเพื่อหาเงินเลยซักเที่ยว เกิดปัญหาแบบนี้ ไปต่อไม่เป็นเลย
ลืมบอกบริษัทไม่ใช่สัญชาติไทย และนายก็ไม่ใช่คนไทย
หนักใจมากตอนนี้...จะไปต่อยังไง เพราะยังไม่รู้เลยว่าถ้าเลือกที่จะขับแท็กซี่รายได้มันจะยังไง หวังว่าซื้อมาเพื่อหารายได้เสริมแต่กลับตาลปัดแบบนี้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ค่าจ้าง
- เป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตาม สัญญาจ้าง
สำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้
โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และรวมถึงเงินที่นายจ้าง
จ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุด และวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่มีสิทธิ์ได้รับตามกฎหมายคุ้มครอง
แรงงาน


วันหยุดประจำสัปดาห์
- ต้องไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน โดยมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน
- ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ (ยกเว้นลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมง
หรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย)


เป็นเรื่องมองคนละมุม
คนจ้าง ก็คงคิดจ้างว่าทั้งเดือนนิ กินเที่ยวจะไม่ว่าเลย
คนถูกจ้าง ก็คิดวันหยุดนิ จะทำอะไรก็ได้

ความจริงปกติมันหยวนกันได้ แต่นี่เป็นต่างชาติดิคิดอ่านไม่เหมือนเราแน่
เรื่องรับงานนอกที่จริงก็ไม่ควรเที่ยวไปบอกทั่วในบริษัทถือว่าให้เกียรติงานประจำ จขกท.ก็ซวยหน่อยไปให้เขาเห็นพอดี

ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็สู้กัน ผมไม่รู้ว่ามีฎีกาเรื่องนี้แล้วบ้างมั้ยจะได้เป็นบรรทัดฐานให้คนทำงานได้รู้ไว้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
อ่าน Comment หลายๆอันแล้วอนาถใจแทนคุณภาพชีวิตคนไทย

พึ่งรู้ว่าการที่เราทำงานกับบริษัทนึง คือเราขายชีวิตให้เค้าไปเลย
เสาร์อาทิตย์ คือวันของบริษัท
ความคิดเห็นที่ 18
นายจ้าง ก็มีข้อต่อสู้ในเรื่องเงินเดือน ที่ตามกฏหมายถือว่าจ้างทุกวัน แต่ให้มาทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน อีก 2 วัน ให้หยุดงานได้ ดังนั้น แม้เป็นวันหยุด ก็ถือว่ายังรับค่าจ้าง ก็ยังอยู่ในระเบียบของบริษัทก็พอได้ และยังมีกฏระเบียบของบริษํท ในเรื่องการ  **ห้ามพนักงานรับเงินหรือค่าจ้างใดๆ จากบุคคลอื่นซื่งอันจะเกิดความเสียหายให้กับบริษัท** มาบังคับโดยตรง อันนี้ก็ตามความเห็นบน ๆ ว่า ไซด์ไลน์ของเรา ทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทละป่าว

ที่ทำงานผม เป็นธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ ก็มีพนักงานขับรถแท็กซี่มาทำงาน จอดในอาคารจอดรถ ผมก็เห็นเขาขับมาทำงานหลายปีละ ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไร เพราะหากหัวหน้างานจะห้าม ป่านนี้เขาคงเลิกขับไปละ สรุปว่า กรณีนี้ นายจ้างไม่เดือดร้อน

เอาละ คุณจะยืนยันขับแทกซี่วันหยุด นายจ้างอาจเลิกจ้างคุณ คุณก็ไปฟ้องศาลแรงาน ระหว่างสู้คดี คุณก็ตกงานไปละ ยังไม่รู้ว่าคำพิพากษาจะจบอย่างไร  เรื่องนี้มีข้อคิด

1. นายจ้างคุณ ผมว่าเขาไม่เดือดร้อน ถึงคุณจะชนะความ อย่างมากเขาก็รับคุณเข้าทำงานถ้าเขาไม่ยอมจ่ายเงินชดเชย หรือค่าเสียหายให้คุณ แต่คุณจะทนทำกับเขาต่อไปไหม และเขาอาจมีทางอื่นที่จะทำให้คุณอยากออกจากงานเอง โดยไม่ผิดกฏหมาย ก็ทำได้ แก้วที่ร้าว อย่างไรก็ไม่อาจประสาน

2. ตัวคุณล่ะ  ระหว่างสู้คดี ก็หางานใหม่ไป ระหว่างนั้น คุณโอเคไหม คงมีรายจ่ายเพิ่มค่าทนาย ไม่ใช่ประเด็น แต่ที่คุณไม่มีงาน ไม่รู้ว่านานแค่ไหน งานใหม่จะดีกว่าเก่าหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ถ้าคุณชนะ แล้วเขาเลือกจะรับคุณเข้าทำงาน คุณจะทำงานที่เดิมไหวไหม แต่ถ้าคุณไม่ชนะล่ะ

3. การมีข้อขัดแย้งจนเป็นความกับนายจ้างเดิม จะเป็นผลดีกับประวัติของคุณหรือไม่ คงไม่มีใครรู้หรอก ถ้าคุณไม่บอก แต่ขื่อบริษัทเก่ายังอยู่ใน Resume คุณ ซึ่งถ้าบริษัทที่คุณไปสมัครงานเกิดรู้เรื่องความขัดแย้งเข้า ไม่ว่าจะโดยวิธีใด แม้เขาจะรู้ดีว่า คุณต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่คุณว่าเขาจะสบายใจรับคุณเข้าทำงานไหม อันนี้ก็เสี่ยงเล็ก ๆ อยู่เหมือนกัน

ดังนั้น แม้คุณเองก็อยากออกจากงานอยู่ละ ก็ควรพิจารณาว่า จะออกมาอย่างมีประวัติความขัดแย้ง(ที่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด) หรือเต็มใจแยกทาง ต่างคนต่างไป

4. กรณีของคุณ ส่งผลกระทบในทางที่ให้คุณกับพนักงานบริษัทหรือเปล่า คือ พูดง่าย ๆ การต่อสู้ของคุณ ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นไหม อันนี้ไม่รู้ได้ เพราะถ้ามีผลกับชีวิตของเขา คุณก็มีกองเชียร์ แต่ถ้าไม่มีล่ะ อันนี้ต้องประเมินเอาเองละ

ผมไม่อาจชี้ได้ว่า คุณจะเอาไงกับเรื่องนี้ดี แต่คุณควรจะประเมินทางเลือก และผลกระทบ บางที ทางเลือกที่ถูกต้อง ชอบธรรม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ให้ผลกระทบที่ตามมา ดีที่สุด อยู่ที่ว่า คุณต้องการ Final Solution เป็นอะไร คงไม่ใช่แค่ชนะคดี เพราะชนะคดีแล้ว ยังมีเหตุการณ์ต่อไปในชีวิตอีกมากมาย ไม่อาจจบเป็นตอน ๆ เหมือนหนังซีรี่ส์

การต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม อันนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ และลูกจ้างอย่างผม ก็ประทับใจ และชื่นชมที่มีผู้กล้าลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมของนายจ้าง แต่มันก็อาจต้องแลกไง แล้วความเสี่ยงที่ว่า มันก็ไม่ได้เกิดกับผม ผมเลยไม่เลือกที่จะสนับสนุน หรือห้ามปราม

สิ่งนี้ แม้ในองค์กรใหญ่ที่มีสหภาพแรงงาน บางกรณีหากนายจ้างรู้จักที่จะเจรจากับคนที่ Manipulate ฝูงชนได้ มีหลายวิธีที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามในการเจรจา มาเป็นพวกเดียวกันได้ โดยไม่ต้องใช้อำนาจ(ขอไม่ลงในรายละเอียด) หากทำได้(ซึ่งมีหลายที่ประสบความสำเร็จแล้ว) ข้อพิพาทแรงงานก็ไม่เกิด ลูกจ้างก็ต้องอยู่ในภาวะจำยอมต่อไป กรณีของคุณ ไม่กระทบกับพนักงานโดยรวม คุณคิดว่า เขาจะเจรจา หรือหาทางเข้าพวกกับคุณไหมล่ะ

ขอให้เรื่องนี้ จบลงได้ด้วยดี
ความคิดเห็นที่ 64
นายจ้าง (หรือผู้แทนนายจ้าง)โง่มาก รวมถึงหลาย คห. ในนี้ก็แสดง คห. ได้ไม่เข้าท่า สะท้อนถึงคนไม่รู้แต่ขยันทำ ขอเถอะเรื่องกฎหมายถ้าไม่มีความรู้จริง อย่าพิมพ์มา คนอ่านมีมากมาย คนที่ไม่รู้มาอ่านเข้าจะเละเทะ บ้ารึป่าว

จ่ายค่าจ้างจะรายเดือนหรือรายวันก็เป็นแค่เงื่อนไขว่าตกลงจะจ่ายให้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะจ่ายค่าจ้างแบบใดก็ตาม มันคนละส่วนกับการทำงาน

กฎหมายกำหนดให้มีข้อบังคับการทำงาน กำหนดให้มีหัวข้อสำคัญ เช่น

วันและเวลาทำงาน เช่น วันทำงานปกติ วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดนักขัตฤกษ์  

เวลาทำงานปกติ การทำงานล่วงเวลา การทำงานล่วงเวลาในวันหยุด

ลูกจ้างมีหน้าที่มาทำงานตามระเบียบข้อบังคับการทำงานที่กำหนดไว้

นอกเหนือวันและเวลาทำงานปกติเป็นสิทธิที่ลูกจ้างจะหยุดพักผ่อนตามอัธยาศัย ไม่มาทำงานไม่ผิด แม้แต่การทำงานล่วงเวลายังต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆไป วันนี้จะให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาก็ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน พรุ่งนี้จะให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาอีกก็ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างอีก เช่นนี้เป็นคราวๆไป

เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานจำเป็นต้องทำงานต่อเนื่องกันไป หากหยุดจะเสียหายแก่งาน ทั้งนี้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฯ

วันหยุดก็เป็นสิทธิของลูกจ้าง ที่จะหยุดพักผ่อน จะไปเที่ยว ไปทำมาค้าขาย ไปอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง เช่น ไปพบลุกค้าของนายจ้างเพื่อจะแย่งลูกค้ามาเป็นของตัวเอง แบบนี้ถึงจะเรียกว่าผิด ถ้ามีสัญญาตกลงกันไว้ เป็นต้น

แล้วไปขับแท๊กซี่เพื่อหารายได้เสริมมันผิดตรงไหน? ผิดสัญญาข้อใด ทำให้นายจ้างเสียหายอย่างไร มีแต่คนพิมพ์มโนท่วมทุ่ง บ้าไปแล้ว

อะไรนะ บาง คห. จ่ายให้เป็นรายเดือนแล้ว วันหยุดคือจ้างพักผ่อน ต้องนอน ต้องหลับพักผ่อน ถือว่าจ้างเป็นเดือน วันหยุดก็จ่ายเงินให้ เหอะๆ!!! คิดมโนแล้วก็พิมพ์ลงบอร์ดสาธารณะ

#ว่างจึงมาต่อ
#คนไทยไม่รู้แต่ทำเหมือนรู้ทำไมเยอะจริง
ความคิดเห็นที่ 8
ในความเป็นจริง เอารถมาขับในวันหยุดแทนที่จะพักผ่อน ย่อมส่งผลต่องานในวันปกติอยู่แล้วครับ

เสมือนคุณทำงาน 7 วัน ย่อมส่งผลต่อสุขภาพ ยังไงก็ไม่มีทางเต็มที่เท่ากับตอนที่พักผ่อนในวันหยุดอยู่แล้วครับ

เจ้านายทุกคนรู้ดี แต่อยู่ที่ว่าเขาจริงจังแต่ไหน แต่ปกติก็ทำเป็นหลับตาข้างนึง

แต่ปัญหามันเกิดเพราะคุณดันเอาแท็กซี่มาที่ทำงาน เป็นการกระทำที่โฉ่งฉ่างเกินไป ถ้าพนักงานคนอื่นเห็นแล้วทำตามบ้าง ระยะยาวประสิทธิภาพรวมของบริษัทคงลดลง ก็เลยเชือดคุณเป็นตัวอย่างคนอื่นซะเลย
ความคิดเห็นที่ 13
ไร้สาระมากครับ ตราบใดที่เรายังรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเองได้ดีอยู่

ผมเข้ามาตอบเพราะมีงานเสริมที่เป็นความชอบส่วนตัวคล้ายกัน คือเป็นคนชอบขับรถมาก ชอบอาชีพคนขับรถ และทำควบคู่กับงานประจำมาโดยตลอด โดยที่งานประจำก็ยังรับผิดชอบได้ดี ตำแหน่งตอนนีผมอยู่ที่ระดับ Assist Manager

ทุกๆวันเสาร์ ผมจะไปขับรถเมล์ เป็นอาชีพเสริม มีใบอนุญาต ท.2 ถูกต้อง ที่ผ่านมาเคยขับทั้งรถแท็กซี่ รถตู้ เคยซื้อแท็กซี่ของตัวเอง (เอาให้คนเช่าแล้วเจ๊ง)

วันธรรมดาเลิกงาน บางครั้งก็เอารถมอเตอร์ไซค์วิ่งรับงาน Grab bike, Skootar  

ทุกอย่างคนที่ทำงานรู้หมดครับ ไม่เคยมีปัญหาอะไร

ถ้าจะห้ามเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยจนทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ คงต้องห้ามไปเที่ยว ตจว. เสาร์ อาทิตย์ หรือห้ามเรียน ป.โท ด้วยนะ เพราะเหนื่อยกว่าขับรถอีก

วันหยุดคงทำได้แค่นอน กับไปเดินห้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่