💰😉~มาลาริน~เพื่อแม้วเงิบ! ผู้แทนIMF พบ'สมคิด'ชมเปราะ เศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้น 👍👍👍👍👍👍

กระทู้คำถาม
เพื่อแม้วเงิบ!ผู้แทนIMFพบ'สมคิด'ชมเศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้น



9 มี.ค.61 - ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยภายหลังการหารือกับ นาย Markus H. Rodlauer รองผู้อำนวยการกรมเอเชียและแปซิฟิก และผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ว่า คณะผู้แทนของไอเอ็มเอฟได้เดินทางมาพบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย และหลายประเทศเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจ โดยไอเอ็มเอฟชื่นชมที่เศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นและเห็นด้วยกับแนวนโยบายของไทยที่พยายามสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาเรื่องดิจิทัลและเศรษฐกิจท้องถิ่นเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นายสมคิด กล่าวว่า ไอเอ็มเอฟได้สอบถามถึงสาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะtประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยในบางส่วนอาจลดลง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเข้าไปดูแลไม่ให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป หลังจากที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาตลอด หากอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเร็วเกินไปอาจกระทบต่อประชาชน

นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยมีส่วนเกินของทุนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก ปัจจุบันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เงินในส่วนนี้เมื่อมีมากเกินไปส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าและกระทบต่อภาคการส่งออก จึงเสนอว่าไทยควรมีการนำบางส่วนที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศออกไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแล้วนำผลตอบแทนที่ได้กลับมาจัดตั้งเป็นกองทุนดูแลผู้สูงอายุหรือจัดสรรเป็นสวัสดิการสำหรับดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย

“ได้บอกกับไอเอ็มเอฟว่าแนวคิดดังกล่าวยังต้องทำความเข้าใจกับประชาชนเพราะไทยไม่คุ้นเคยกับแนวคิดในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ จึงได้ชี้แจงให้ตัวแทนของไอเอ็มเอฟทราบว่าการมีสภาพคล่องส่วนเกินเกิดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้จะทำเงินบาทแข็งค่าก็ต้องบริหารจัดการ ส่วนในเรื่องการนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน คนไทยยังมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกับการลงทุนของ กบข.หรือกองทุนประกันสังคมก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจซึ่งแบงก์ชาติมีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ ซึ่งก็ขอให้ไอเอ็มเอฟทำงานร่วมกับแบงก์ชาติเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาด้านการเงินของประเทศ เช่น เดียวกับที่ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกได้มาทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังแล้ว”นายสมคิด กล่าว

รองนายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องการดูแลสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปหาแนวทางที่จะจัดหางบประมาณเพิ่มเติมมารองรับภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน ต้องใช้ประโยชน์จากผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น ในเรื่องของท่องเที่ยวโดยในเร็วๆ นี้ จะมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ จะเสนอมาตรการเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ที่จะมีการประชุมในวันจันทร์ ที่ 12 มี.ค.นี้ด้วย โดยในระยะต่อไปมาตรการด้านการท่องเที่ยวจะมีความสำคัญมากขึ้นในฐานะที่เป็นเศรษฐกิจภาคบริการ (service sector) ที่มีสัดส่วนรายได้ในจีดีพีถึง 60% และเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างใกล้ชิด

http://www.thaipost.net/main/detail/4630

'ไอเอ็มเอฟ' ถก 'สมคิด' ชมเปราะเศรษฐกิจไทยขยายตัว



'ไอเอ็มเอฟ' ถก 'สมคิด' ชมเศรษฐกิจไทยขยายตัว แนะ ดึงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน แก้บาทแข็งค่า รองนายกฯ แจง ยังไม่พร้อม แต่ระบุ "ธปท." กำลังศึกษาอยู่ สั่งคลังเพิ่มรายได้รับสังคมผู้สูงอายุ จ่อ ชงมาตรการหนุนคนแก่ท่องเที่ยว

9 มี.ค.61 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยภายหลังการหารือกับ นาย Markus H. Rodlauer รองผู้อำนวยการกรมเอเชียและแปซิฟิก และผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ว่า คณะผู้แทนของไอเอ็มเอฟได้เดินทางมาพบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย และหลายประเทศเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจ โดยไอเอ็มเอฟชื่นชมที่เศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น และเห็นด้วยกับแนวนโยบายของไทยที่พยายามสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาเรื่องดิจิทัลและเศรษฐกิจท้องถิ่นเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นายสมคิด กล่าวว่า ไอเอ็มเอฟได้สอบถามถึงสาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะtประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยในบางส่วนอาจลดลง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเข้าไปดูแลไม่ให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป หลังจากที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาตลอด หากอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเร็วเกินไปอาจกระทบต่อประชาชน นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยมีส่วนเกินของทุนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก ปัจจุบันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เงินในส่วนนี้เมื่อมีมากเกินไปส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าและกระทบต่อภาคการส่งออก จึงเสนอว่าไทยควรมีการนำบางส่วนที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศออกไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแล้วนำผลตอบแทนที่ได้กลับมาจัดตั้งเป็นกองทุนดูแลผู้สูงอายุหรือจัดสรรเป็นสวัสดิการสำหรับดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย

"ได้บอกกับไอเอ็มเอฟว่าแนวคิดดังกล่าวยังต้องทำความเข้าใจกับประชาชนเพราะไทยไม่คุ้นเคยกับแนวคิดในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ จึงได้ชี้แจงให้ตัวแทนของไอเอ็มเอฟทราบว่าการมีสภาพคล่องส่วนเกินเกิดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้จะทำเงินบาทแข็งค่าก็ต้องบริหารจัดการ ส่วนในเรื่องการนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน คนไทยยังมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกับการลงทุนของ กบข.หรือกองทุนประกันสังคมก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจซึ่งแบงก์ชาติมีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ ซึ่งก็ขอให้ไอเอ็มเอฟทำงานร่วมกับแบงก์ชาติเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาด้านการเงินของประเทศ เช่น เดียวกับที่ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกได้มาทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังแล้ว" นายสมคิด กล่าว

รองนายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องการดูแลสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปหาแนวทางที่จะจัดหางบประมาณเพิ่มเติมมารองรับภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน ต้องใช้ประโยชน์จากผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น ในเรื่องของท่องเที่ยวโดยในเร็วๆ นี้ จะมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ จะเสนอมาตรการเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ที่จะมีการประชุมในวันจันทร์ ที่ 12 มี.ค.นี้ด้วย โดยในระยะต่อไปมาตรการด้านการท่องเที่ยวจะมีความสำคัญมากขึ้นในฐานะที่เป็นเศรษฐกิจภาคบริการ (service sector) ที่มีสัดส่วนรายได้ในจีดีพีถึง 60% และเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างใกล้ชิด

http://www.naewna.com/politic/325685

"วัฒนา"โพสต์ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นตกต่ำเพราะรัฐบาล

"วัฒนา"โพสต์ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นตกต่ำเพราะรัฐบาล


วันที่ 9 มี.ค.2561 นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Watana Muangsook ระบุว่า “ถ่วงความเจริญจริงด้วย”
          

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาล คสช. อ้างดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงสุดในรอบ 3 ปี ว่าเป็นผลงานของรัฐบาลที่ทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทุกตัวติดแล้ว ซึ่งผมได้แสดงความเห็นค้านไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ว่า ความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นผลงานของรัฐบาล แต่เกิดขึ้นเพราะในเดือนธันวาคม 2560 ประชาชนยังมีความหวังว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 แต่เมื่อการเลือกตั้งเริ่มมีความไม่แน่นอนจะกระทบถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนอย่างแน่นอน
          

ในที่สุดสิ่งที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นจริง ล่าสุดผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ตกต่ำเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เนื่องจากประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองที่อาจมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ยืนยันความเห็นของผมตามโพสต์ข้างต้นว่า การเลือกตั้งเร็วคือความหวังของประชาชนเพราะหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาล คสช. มานานแล้ว

http://www.banmuang.co.th/news/politic/105000
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


"ไอเอ็มเอฟ" ชื่นชมเศรษฐกิจไทย

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1224297

เงิบกันไปตามๆกันค่ะ...😉😉😉😉😉

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่